การเจริญสติปัฏฐานนั้นต้องมีผู้ควบคุมใช่ไหม

 
chatchai.k
วันที่  6 ก.ย. 2565
หมายเลข  43717
อ่าน  216

ในพระไตรปิฎกนั้นกล่าวถึงโลกในวินัยของพระอริยะ ๖ โลก คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ

ผู้ใดไม่รู้ชัดในโลกทั้ง ๖ โลกนี้ตามความเป็นจริง ผู้นั้นไม่ได้ละความไม่รู้ ไม่ได้ละความสงสัย ไม่ได้ละความเห็นผิดที่ยึดถือโลกทั้ง ๖ นี้ว่า เป็นตัวตน ในพระไตรปิฎกไม่มีเลยที่พระผู้มีพระภาคจะตรัสให้ละเว้นการเจริญสติปัฏฐาน

ท่านก็คงจะเคยได้ยินได้ฟังว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นต้องมีผู้ควบคุมใช่ไหม แต่การเจริญสติปัฏฐานในพระไตรปิฎก ขอให้ดูว่า มีใครควบคุมใครบ้าง ต้องมีใครควบคุมไหม เรื่องของสติ ถ้าเป็นปกติแล้วไม่ต้องมีใครควบคุมเลย เพราะว่าไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย

ขณะนี้ทุกคนมีนาม มีรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางคนเป็นโลภะ เวลาเห็น บางคนเป็นโทสะ ไม่ชอบ ไม่พอใจ เพราะฉะนั้น การเจริญสติไม่ใช่ให้ทำอะไรขึ้นเลย เพียงแต่ระลึกได้ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ผู้เริ่มเจริญสติยังไม่รู้อะไรทางไหน ทางตายังไม่ได้พิจารณา ยังไม่ได้รู้นามเห็นกับสี ทางหูยังไม่ได้พิจารณา ยังไม่ได้รู้ความต่างกันของได้ยินกับเสียง ยังเป็นความไม่รู้อยู่ เพราะฉะนั้น ผู้เจริญสติเริ่มรู้ เริ่มใส่ใจที่ลักษณะของนามและรูปตามปกติ

พระผู้มีพระภาคตรัสเทศนา ๔๕ พรรษา วิริยารัมภกถาก็ดี สีลกถาก็ดี ปัญญากถาก็ดี ก็เพื่อที่จะให้ผู้ฟังระลึกได้เนืองๆ บ่อยๆ

ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติทุกอย่างโดยที่คนอื่นไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ใครกำลังเจริญสติปัฏฐาน หรือว่าใครไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน นี่จึงจะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน แต่ถ้าการเจริญสติปัฏฐานไม่เป็นปกติอย่างนี้ ไปจดจ้อง ไปเลือกเฟ้นนามชนิดนั้นรูปชนิดนี้เท่านั้น นามอื่นรูปอื่นไม่ได้ ผลคืออะไร ทั้งท่านที่ผ่านการปฏิบัติมาแล้ว ทั้งท่านที่ได้ยินได้ฟัง ผลคือการผิดปกติ ต้องมีผู้ควบคุมเพื่อแก้กลับคืนมาสู่ความเป็นปกติ เคยได้ยินได้ฟังอย่างนี้ไหม

ไม่ควรจะใช้คำว่าคุม แนะนำก็เป็นเรื่องแนะนำ ให้เข้าใจถูก ให้ละ ให้คลาย ไม่ใช่ให้จดจ้องเพื่อความต้องการหรือไม่ใช่ให้ไม่ให้รู้อะไร สัญญาณไฟก็ไม่รู้ คนก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้ นั่นเป็นไปได้หรือ เป็นปกติหรือว่าผิดปกติ ปกติเวลาไม่เจริญสติปัฏฐานรู้ทุกอย่างว่า อะไรเป็นอันตรายก็หลบหลีก ที่หลบหลีกนั้นก็เป็นนามเป็นรูป การถอยหลัง การก้าวไป การเคลื่อนไหว การเคลื่อนไป การเหยียดคู้ก็เป็นปกติ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ขับรถมีสติระลึกได้ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ การเจริญสติปัฏฐานไม่ผิดปกติเลย ทางตา นามเห็นเป็นสภาพรู้ทางตา สีเป็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นของจริงที่ปรากฏชั่วขณะที่ตาเห็นเท่านั้น การรู้ว่าเป็นคนเป็นสัตว์ก็เป็นเพียงนามชนิดหนึ่ง แล้วไม่ยั่งยืน เดี๋ยวก็มีนามอื่นรูปอื่นเกิดปรากฏอีก

เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ตรึกไปในเรื่องอื่น สติก็ใส่ใจในลักษณะที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะกระทบคันเร่ง หรือเกียร์ หรือพวงมาลัย ก็รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ผู้นั้นเป็นปกติเหมือนในขณะนี้ ถ้าสงสัยเรื่องการขับรถ ทุกอย่างก็ต้องสงสัยหมด ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว เพราะว่าชีวิตมีอันตรายรอบข้าง ต้องหลบหลีกอันตรายอยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่หลบหลีกนั้น เป็นเพียงนาม เป็นเพียงรูป ขณะที่รู้ว่าสภาพนั้นเป็นแต่เพียงของจริงชนิดหนึ่งเท่านั้น ขณะนั้นเป็นปัญญา


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 31

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 32


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ