ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๕

 
khampan.a
วันที่  28 ส.ค. 2565
หมายเลข  43555
อ่าน  1,042

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๕



~ พระธรรมเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งแก่การได้ยินได้ฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก


~ พระธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เท่าที่กำลังของสติปัญญาจะเข้าใจได้ และอบรมต่อไป เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เปลี่ยนไม่ได้เลย เป็นความจริงถึงที่สุด

~ ธรรม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ซึ่งอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เห็นก็เป็นธรรม เสียใจในวันหนึ่งๆ ก็มี ความรู้สึกเสียใจมีจริงก็เป็นธรรม เสียงมีจริง เสียงเป็นธรรม กลิ่นมีจริง ก็เป็นธรรม รวมความว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือ รู้แจ้งความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ที่ปรากฏกับทุกคนในชีวิตประจำวันซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ทุกขณะ เช่น ขณะนี้เป็นธรรม ขณะที่เห็น มีธรรมไหม เคยขาดธรรมบ้างไหม ตั้งแต่เกิดมาขาดธรรมได้หรือเปล่า?

~ การฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม เกิดปรากฏแล้วดับไป ชั่วคราว ทุกอย่างปรากฏชั่วคราว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชั่วคราวทั้งนั้น

~ ประโยชน์ของการเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม คือ มั่นคงที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า ทุกขณะเป็นธรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย แม้แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ความลึกซึ้งของธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด โดยเข้าใจจริงๆ ก็ไม่สามารถเห็นความลึกซึ้งของธรรมได้

~ ถ้าทราบว่าเป็นผู้ที่ยังมีโมหะมากที่จะต้องขัดเกลา จะทำให้ไม่ละเลยในการฟังพระธรรม และไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย เพราะว่า ความประมาทย่อมพลิกชีวิต จากความเจริญไปสู่ความเสื่อมได้ จากการเป็นมนุษย์ ในชาตินี้ ไปสู่การเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์ในนรก ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือเย็นนี้ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้ารู้อย่างนี้ จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท

~ การเข้าใจพระธรรม เป็นความดีที่ประเสริฐกว่าอย่างอื่น ตั้งแต่เกิดมา ดีก็มีหลายอย่าง แต่ดีกว่าอย่างอื่น ก็คือ ได้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่จะเป็นสิ่งที่รู้ได้ง่ายเลย รู้ได้แสนยาก พอได้ยินคำนี้ ก็เข้าใจความหมายของคำว่าอดทน อดทนเหนืออย่างอื่น คือ ไม่ใช่เพียงแต่อดทนที่จะละชั่ว ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี และ อดทนทำความดี แต่อดทนยิ่งกว่านั้น คือ อดทนที่จะเข้าใจสิ่งที่ยากแสนยากและมีค่าที่สูงสุดคือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้

~ ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะ คือ ความจริง ไม่เว้นเลยสักขณะเดียว ทุกวันทุกเวลา สั้นยิ่งกว่าวินาที ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป โดยไม่รู้เลย

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง ละเอียดอย่างยิ่ง ยากที่จะเข้าใจ และส่วนใหญ่ ความไม่รู้ ความเห็นผิด ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ละเอียด เพราะฉะนั้น ก็ไม่เข้าใจคำสอนโดยลึกซึ้ง จึงทำให้มีความเห็นต่างจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว

~ คนที่มีความเห็นผิดแม้คนเดียวที่เกิดมา ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่า นอกจากจะไม่มีประโยชน์กับตนเอง ก็ยังให้โทษ เมื่อให้คนอื่นเข้าใจผิดๆ ตามกันไปด้วย

~ ถ้าใครพูดผิด ทำผิด คิดผิด คนที่เข้าใจธรรม ก็พูดสิ่งที่ถูก เพื่อให้เขาได้เข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปโกรธหรือไปขุ่นเคืองใจ เพราะขณะนั้น เป็นอกุศล ซึ่งเมื่อเห็นโทษของอกุศลแล้ว การเข้าใจนั่นแหละ จะค่อยๆ ทำให้สิ่งที่เป็นกุศลเจริญขึ้น

~ โอกาสที่ประเสริฐที่สุด คือ ให้คนอื่นได้สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ดำรงสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ถูกทำลายไป เพราะว่าการที่จะทำลายพระศาสนา ไม่ยาก เพียงแค่ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้ง ก็เข้าใจผิดได้

~ มิตรคือเพื่อน เพื่อนที่หวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล เป็นประโยชน์ ไม่คิดร้าย ไม่หวังร้าย ไม่ริษยา ไม่ทำร้ายเลยทั้งสิ้น นั่นคือเพื่อน เพื่อนที่ดี คือ กัลยาณมิตร
(มิตรที่ดีงาม) ใครก็ตามที่เป็นเพื่อนที่ดีของใคร ก็คือ หวังดี หวังประโยชน์เกื้อกูล เมื่อเขาเข้าใจผิด ก็ให้เขาเข้าใจถูก เขาไม่เข้าใจธรรม ก็สามารถที่จะอนุเคราะห์ให้เขาเข้าใจ นั่นก็เป็นเพื่อนที่หวังดีกับผู้นั้น

~ คนที่เป็นไข้ เวลาสร่างไข้แล้วก็ยังกำเริบขึ้นได้อีก เพราะยังมีเชื้อไข้อยู่ ฉันใด ผู้ที่สะสมความโกรธไว้ เวลาที่ความโกรธไม่ปรากฏ ก็เหมือนกับเป็นคนที่ไม่โกรธ แต่เวลาที่มีเหตุปัจจัย ความโกรธย่อมเกิด

~ ควรพิจารณาเห็นอกุศลตามความเป็นจริงและเห็นโทษ เพียรที่จะละคลายอกุศลทุกประการ และคิดถึงบุคคลอื่นในทางที่เป็นกุศล พร้อมกันนั้น เป็นผู้ที่ทำความดีเสมอและเพิ่มขึ้น เพราะว่า อกุศลมีมาก ซึ่งทางเดียวที่จะคลายอกุศลได้ คือ ด้วยการเจริญกุศล

~
ผู้ที่เลว คือ ผู้ที่มีอกุศลจิต อกุศลจิตเกิดขึ้นในขณะใด เป็นผู้เลวในขณะนั้น

~
ไม่รั้งรอที่จะบำเพ็ญความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่ไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ควรเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล

~ จะเห็นตามความเป็นจริงว่า แต่ละคนสะสมอัธยาศัยทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลมามากน้อยแค่ไหน ซึ่งควรจะต้องอบรมเจริญขึ้นทางฝ่ายกุศล “ทำดีเท่าไหร่ ไม่มีวันพอ” ควรจะเป็นคติประจำใจจริงๆ เพราะว่า อกุศลนั้นมีมากมายที่จะต้องละ

~ พระธรรมทุกคำ นำไปสู่ความเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา สำคัญที่สุด “อนัตตา” ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะเป็นอย่างที่อยากเป็น ก็ไม่ได้ จะไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็น ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเกิดแล้วเป็นแล้วทั้งหมด

~ ผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆ เท่านั้น จึงจะเห็นคุณค่าของพระธรรม จึงจะรู้ว่า การให้ธรรม ชนะการให้อื่นๆ ทั้งหมด เพราะประโยชน์ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว

~ เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว โดยกล่าวถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วให้คนอื่นได้ไตร่ตรองได้ฟังได้พิจารณาได้สนทนากันเพื่อความถูกต้อง สิ่งใดที่ผิดคลาดเคลื่อน ทิ้งทันที จะมีประโยชน์อะไรที่จะไปเก็บสิ่งที่ผิดๆ ไว้แต่เข้าใจว่าถูก ด้วยเหตุนี้ การที่พุทธบริษัททั้งหลายจะพร้อมเพรียงกัน สอบทาน ศึกษาธรรมด้วยความละเอียดยิ่งเท่านั้น ที่จะดำรงพระสัทธรรม คือ คำของพระพุทธเจ้าไว้ได้เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่ง

~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจถูกความเห็นถูก ไม่มีเรา มีแต่ธรรมประเภทนั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้น ธรรมฝ่ายดีก็ให้ประโยชน์ ไม่นำโทษมาให้ ธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ก็นำแต่โทษมาให้ คำนึงถึงข้อนี้หรือเปล่า ว่า ผลที่จะเกิดขึ้นข้างหน้ารออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดได้ ทำเลย นี่เป็นความหวังดีจริงๆ เวลาไม่รอท่าเลย การจากโลกนี้ไปพร้อมเสมอที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ก็ทิ้งสิ่งที่ผิด เป็นคนที่ตรงแล้วก็เริ่มเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๔



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 28 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
capacitor4
วันที่ 28 ส.ค. 2565

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Junya
วันที่ 28 ส.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบอนุโมทนากับอาจารย์คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 29 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 29 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 29 ส.ค. 2565

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 29 ส.ค. 2565

ยินดีในความดีของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 29 ส.ค. 2565

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มังกรทอง
วันที่ 29 ส.ค. 2565

อาจารย์สุจินต์ท่านแจ้งได้แจ่มแจ้งยิ่งนักขอรับ ด้วยแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เข้าใจ
วันที่ 29 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Lai
วันที่ 30 ส.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
มังกรทอง
วันที่ 31 ส.ค. 2565

สิ่งที่ปรากฏ จักเห็น จักได้ยิน จักได้กลิ่น ฯ ว่าเป็นเพียงจิต และเจตสิก ซึ่งล้วนไม่ใช่เรา ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Wisaka
วันที่ 1 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ