ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๔

 
khampan.a
วันที่  21 ส.ค. 2565
หมายเลข  43514
อ่าน  1,119

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๔



~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมเทศนา ๔๕ พรรษาโดยละเอียด เรื่องของสภาพธรรมล้วนๆ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังพิจารณาขั้นการฟังให้เห็นความเป็นอนัตตา ที่สภาพธรรมแต่ละอย่างจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ชั่วขณะเดียวที่เกิดทำกิจเฉพาะขณะนั้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

~ ถ้ารู้ประโยชน์จริงๆ ของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจก็จะรู้ว่าชาตินี้เป็นชาติที่มีโอกาสจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น มิฉะนั้น ก็เหมือนชาติก่อนๆ ที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี

~ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเรื่องของอกุศลมากทีเดียว เพื่อให้เห็นโทษ ถ้าใครที่ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ยังประมาทอยู่เพราะคิดว่า มีกุศลพอแล้ว แต่ถ้าเห็นโทษของอกุศลมากๆ จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท

~ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สุจริต ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เคยโกง หรือเคยส่อเสียด เคยกินสินบน เคยดุร้าย เคยหยาบคายในกาลก่อน เพราะเหตุว่าขณะใดที่โกง กำลังกระทำทุจริต ขณะนั้นย่อมไม่เห็นโทษ แต่ว่าโทษของทุจริตย่อมมี ไม่มีใครสรรเสริญ และผลของทุจริตนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมแล้วแต่ว่า จะได้รับผลของทุจริตในชาติปัจจุบัน หรือในชาติต่อๆ ไป

~ เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็สามารถรู้ว่า สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดี และธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ความดีนั้น คืออะไร ถ้ามีปัญญาเหมือนแสงสว่างก็จะนำไปสู่ทางของกุศล ห่างไกลจากอกุศลซึ่งเคยมีมากมาย แต่ว่าห่างทันทีไม่ได้เลย ค่อยๆ เป็นไปตามความเข้าใจ

~ โกรธง่ายหรือโกรธยาก? โกรธง่ายมากใช่ไหม? ทางตาเห็นนิดเดียวก็ไม่ถูกใจ โกรธแล้ว ทางหู พูดผิดหูไปนิดเดียว ก็โกรธแล้ว ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นผู้ที่โกรธง่าย ซึ่งความโกรธนั้นไม่เป็นภัยแก่คนอื่น นอกจากตัวท่านผู้โกรธเอง

~ เมตตาคือความหวังดี ความเป็นมิตร ไม่เลือกด้วย ไม่ว่ากับใคร พร้อมที่จะเกื้อกูล ถ้ามีโอกาสที่จะช่วยเหลือหรือทำอะไรได้ นี่คือความเป็นมิตร

~ อาจหาญที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้วทิ้งสิ่งที่ผิดทันที เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ทิ้งทันที โอกาสที่จะเสพคุ้นกับสิ่งที่ผิด ย่อมเพิ่มขึ้น แล้วก็ยิ่งละลำบากมากขึ้น

~ ใครจะเป็นอย่างไร มีความคิดเห็นอย่างไร กระทำทุจริตแค่ไหนระดับไหน ใจของเราไม่ขุ่นข้อง แต่ถ้าใจเราขุ่นข้อง ขณะนั้นก็เป็นพาลอีกเหมือนกัน เรานั่นแหละที่เป็นพาล

~ ผู้ที่เป็นมิตรที่หวังดี มีหรือที่จะไม่ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์กับผู้นั้นเองที่จะรู้ว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่กล่าวถึงพระธรรมวินัย ก็ด้วยประโยชน์ของความเป็นมิตรที่ดี ที่หวังว่า พุทธบริษัทก็จะต้องรู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัยให้ถูกต้องจริงๆ ก็เป็นผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนา

~ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องกุศลธรรมไว้มาก และทรงแสดงชี้แจงเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดไว้โดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการอบรมเจริญกุศล โดยประการที่จะทำให้ผู้ฟังได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ มากๆ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น

~ ทุกท่านที่มีความสุขในปัจจุบันชาตินี้ คงจะระลึกถึงอดีตกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วไม่ได้ก็จริง แต่ขณะใดที่เป็นกุศลวิบาก มีการได้รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นผู้ที่สามารถจะพิจารณาได้ว่า ต้องเกิดขึ้นเป็นผลของกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว คือ ไม่สูญหาย เมื่อเหตุได้กระทำไว้แล้ว สะสมไว้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น

~ ถ้าท่านเป็นคนดี และคนอื่นโกรธ คนที่โกรธท่านไม่สามารถทำให้ท่านเสื่อมจากคุณ จากศีลของตัวท่านได้เลย เพราะว่ายิ่งเขาโกรธ ก็ยิ่งเป็นโทษสำหรับเขา


~ เรื่องของความริษยา เป็นธรรมที่เป็นอันตรายมาก เพราะไม่สามารถแม้จะยินดีกับความสุขของคนอื่นได้ เป็นความรักตน สำคัญตนอย่างยิ่ง ซึ่งทนไม่ได้ต่อสมบัติของคนอื่น แต่น่าจะคิดว่า คนอื่นได้สมบัติ ทำไมตัวเองจะต้องเดือดร้อน ใครได้สมบัติอะไร ก็ตามบุญตามกรรมของคนนั้น เดือดร้อนทำไม แต่คนที่สะสมความริษยาก็จะเกิดสภาพธรรมที่ทนไม่ได้ต่อสมบัติของคนอื่น

~ สำหรับคนที่มีกิเลสด้วยกัน พอได้ยินคำที่คนอื่นว่าร้าย เกิดโกรธ ขณะนั้นแสดงให้เห็นว่า ความโกรธนั้น ไม่ได้เกิดจากคำของคนอื่น แต่ความโกรธ เกิดจากกิเลสที่สะสมไว้ของตน เพราะว่าถ้าเราไม่โกรธ เขาจะกล่าวร้ายอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ความโกรธของเราเกิดได้ ถ้าเราเป็นผู้ที่มีศีล เขาจะว่าเราอย่างไร เขาก็ไม่สามารถทำให้ศีลของเราเสื่อมหรือหมดไปได้

~ ถ้าใช้คำว่า ธรรม แล้ว ก็หมายความว่า ไม่ได้พูดถึงใครทั้งสิ้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ธรรม คือธรรม เป็นสภาพที่มีจริง เพราะฉะนั้นถ้าพูดว่าธรรมแล้ว ก็หมายความว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน

~ ไม่ว่าใครจะมีความประพฤติอย่างไรต่อท่าน หรือแม้แต่เพียงการที่จะนึกถึงคำพูดหรือการกระทำของคนอื่น ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังแม้นานมาแล้ว เป็นการที่จะทดสอบได้ว่า แม้ในขณะนั้นจิตที่คิดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าเป็นอกุศลยังโกรธ ขณะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้เจริญขันติ (ความอดทน)

~ การฟังธรรมก็เพื่อเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม เกิดปรากฏแล้วดับไป ชั่วคราว ทุกอย่างปรากฏชั่วคราว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชั่วคราวทั้งนั้น

~ อธิษฐานบารมี การตั้งใจมั่นในกุศล ไม่เปลี่ยนใจไปตามกิเลส ซึ่งถ้าจะสังเกตดูในวันหนึ่ง บางทีคิดเรื่องกุศล แต่อกุศลทำให้เปลี่ยนใจอยู่ได้ บางครั้งก็บ่อยๆ หรือเรื่อยๆ เคยมีไหมที่ตั้งใจว่า จะทำกุศล อาจจะเป็นการฟังธรรม หรือการเกื้อกูลสงเคราะห์ อนุเคราะห์บุคคลอื่น แต่พอมีอกุศลเกิดขึ้นแทรกแซง ทำให้เปลี่ยนใจไปตามอกุศลนั้นอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องกุศลที่คิดไว้หรือว่าตั้งใจไว้แล้ว เพราะฉะนั้น อธิษฐานบารมี คือ การตั้งใจมั่นในกุศล ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ ปัญญายังไม่คมกล้า ก็ไม่สามารถจะสู้กับกิเลสอกุศลได้

~ เวลาโลภะเกิด ไม่เคยละอายเลยที่จะมีโลภะ แม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงว่า เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่ไม่สะอาด แต่ทุกคนก็พอใจที่จะมีโลภะต่อไป เพราะไม่ละอายหรือไม่เกลียดอกุศลธรรม

~ ความโกรธเป็นโทษเป็นภัย เป็นอันตรายของตนเอง คนที่ถูกโกรธไม่เดือดร้อนอะไรเลย เพราะฉะนั้น กิเลสของตนเองที่เกิดกำลังทำร้ายตนเอง และจะสะสมเป็นอุปนิสัยที่จะทำให้เป็นผู้ที่โกรธต่อไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็อาจจะผูกโกรธเอาไว้นานด้วย และอาจจะถึงขั้นที่ไม่ยอมให้อภัย

~ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ฟังไป แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ควรค่าแก่การฟังเป็นอย่างยิ่ง และการที่จะฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ก็ยาก บางคนได้ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ บางคนได้ฟังแล้วก็ไม่ฟังอีก ก็มีหลากหลายตามการสะสม



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๓



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
capacitor4
วันที่ 21 ส.ค. 2565

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาอ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 21 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 ส.ค. 2565

แจ่มแจ้งยิ่งขอรับ จากความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยการศึกษาตั้งแต่เบื้องต้น คือการฟังพระธรรม ก็ต้องเริ่มให้ถูกต้องว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดจากเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วในแต่ละขณะ ซึ่งความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นนี้ จะนำไปในหนทางที่ถูกต้องในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริงต่อๆ ไป น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ สาธู ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 22 ส.ค. 2565

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Junya
วันที่ 22 ส.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบอนุโมทนาขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tim7755tim
วันที่ 22 ส.ค. 2565

กราบนอบน้อมพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์ และกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 22 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
talaykwang
วันที่ 24 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kukeart
วันที่ 25 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ