ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๖

 
khampan.a
วันที่  4 ก.ย. 2565
หมายเลข  43606
อ่าน  1,071

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๖




~ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงความจริงทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ให้รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของและไม่ใช่ของใครด้วยและก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรม จึงต้องไตร่ตรอง เพื่อที่จะเริ่มรู้ทางที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่ใช่ทางอื่น แต่เป็นทางที่จะมีความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้

~ คนที่มีปัญญา เห็นประโยชน์ของการมีชีวิต เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้เลยว่าจะจากโลกนี้ไปขณะไหนได้ทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าเป็นขณะที่กำลังเข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะที่กำลังเป็นธรรมในขณะนี้ได้ ขณะนั้นก็ประเสริฐที่สุด เพราะว่า จากไปด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูก

~ การฟังธรรม จะเห็นได้ว่าเป็นปัจจัยที่จะทำให้กุศลแต่ละขั้นเกิดขึ้น จากการที่ไม่เคยคิดว่า ธรรม จะมีคุณถึงอย่างนี้ แต่ก็ได้เริ่มเข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ก็เริ่มจะเห็นคุณ ขณะนั้นก็เป็นความดี อารักขา (รักษา) ให้เห็นว่าควรที่จะได้มีการฟังต่อไป เพื่อจะได้ไม่เป็นความไม่รู้ต่อๆ ไปเรื่อยๆ

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ทรงแสดงความจริง เมื่อใช้คำว่า “อนัตตา” ต้องเป็นไปตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงตลอดเวลาที่ยังไม่ปรินิพพาน เพราะเมื่อรู้ความจริงแล้ว เปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้เลย การที่รู้ความจริง ก็คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราที่จะบังคับ ถ้าใครยังคิดจะบังคับ ขณะนั้นก็คือยังไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ

~ ความโกรธ ไม่ว่าจะเป็นของใคร ก็มีอาการที่ไม่สงบ ประทุษร้าย เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันที เวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น แล้วตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ?

~ โกรธมีหลายระดับ ตั้งแต่ขุ่นใจเล็กน้อยนิดหน่อยจนกระทั่งพยาบาท ไม่ลืมทั้งวันทั้งคืน ปรุงแต่งเป็นความคิดที่จะทำร้ายและทำลาย มาจากไหน? มาจากความไม่ดี ไม่เห็นโทษของความโกรธ ว่า เพียงโกรธเกิดขึ้น ใคร ไม่สบาย ใคร เป็นทุกข์?

~ กำลังจะกระทำทุจริต ไม่ทำ งดเว้น เพราะหิริโอตตัปปะ (ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป) กำลังจะพูดคำที่ไม่จริง อาจจะล้อเล่นสนุกสนานหรืออะไรก็ได้ แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อมีหิริโอตตัปปะ ก็ไม่พูด แสดงให้เห็นว่า หิริโอตตัปปะ คุ้มครองป้องกันจิตไม่ให้เป็นไปทางฝ่ายอกุศล

~ ธรรม ไม่ใช่สำหรับฟังแล้วเชื่อ แต่ฟังแล้วพิจารณา ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ และกำลังเริ่มเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงนั้นหรือเปล่า? ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมากน้อยแค่ไหน? แต่ต้องไม่ลืมว่า ธรรม เป็นจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าวันนี้เป็นอย่างนี้และต่อไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง ความจริงต้องเป็นความจริง โดยตลอด

~ ถ้าตราบใดที่มีกิเลส ก็ต้องมีกรรม แล้วก็ต้องมีวิบาก แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปกปิด เพราะเราไม่สามารถจะติดตามไปรู้ได้ว่า กรรมนี้จะให้ผลเมื่อไหร่ หรือว่าผลนี้เป็นผลของกรรมเมื่อไหร่

~ ผลดีที่คนหนึ่งๆ ได้รับ ต้องมาจากกรรมดีที่เขาได้ทำแล้ว และผลที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเราหรือกับใคร ไม่ใช่คนอื่นทำให้ เราทำเอง เพราะฉะนั้น จะไม่มีคำถามว่า ทำไมต้องเป็นเรา? เพราะคำตอบ ก็คือ เพราะต้องเป็นเรา ในเมื่อทำกรรมไว้แล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นเราที่จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น เราจะให้คนอื่นมารับผลของกรรมที่เราทำไว้ ไม่ได้

~ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมติดตามเหมือนเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติ ที่คอยอุปถัมภ์หรือเบียดเบียน กรรมดีก็เหมือนวงศ์ญาติที่ดี กรรมชั่วก็เหมือนวงศ์ญาติชั่ว ความจริงนั้น กรรมเท่านั้นที่เป็นเผ่าพันธ์ุวงศ์ญาติที่แท้จริงของผู้ทำกรรม เพราะเมื่อกรรมใดมีโอกาสให้ผล แม้แต่พ่อแม่พี่น้องหรือผู้ที่รัก ก็ช่วยเหลือแก้ไข หรือเบียดเบียนผลของกรรมนั้นไม่ได้ การได้รับสุข ทุกข์อันเป็นผลของกรรมของแต่ละคนนั้น ย่อมเป็นไปตามกรรมของผู้นั้นเอง ทุกคน จึงมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติที่แท้จริง

~ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นว่ามีแล้วก็หมดไป ไม่เหลืออีกเลย ควรติดข้องในสิ่งนั้นไหม? ต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรติดตามไปสักอย่าง ร่างกายที่เข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ติดตามไปไม่ได้ แล้วนี่หรือจะเป็นของเรา เพราะความจริงไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ

~ เมื่อมีความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ สะสมกุศล และเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดี ชีวิตประจำวันก็เป็นเครื่องแสดงว่าเข้าใจธรรมแค่ไหน ถ้ากุศลธรรมเกิดมาก อกุศลธรรมน้อยลง ก็แสดงว่ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

~ ความดี เป็นความดี ความชั่ว เป็นความชั่ว ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้น จะมีเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน ได้ไหม แทนที่จะโกรธ เพราะโกรธ ไม่ดีแน่ๆ จะมาอ้างสักนิดหนึ่งว่า ต้องโกรธ ไม่ได้เลย ทำไมต้องโกรธ? ดีตรงไหน?

~ ควรเจริญกุศลทุกทางทุกโอกาส เพราะเมื่อเป็นโอกาสของกุศลแล้วไม่ทำกุศล โอกาสของกุศลก็หมดไป โอกาสทำกุศลเป็นโอกาสที่หายากในชีวิต ในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาว่าอกุศลมากหรือกุศลมาก เมื่อมีโอกาสที่จะเจริญกุศลทางใด ก็ไม่ควรให้โอกาสนั้นผ่านไป เพราะเมื่อกุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด

~ คนกิเลสมากเป็นอย่างไร พฤติกรรมทางกายทางวาจาเกิดจากใจซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมากเท่าไหร่ การกระทำทางกาย ทางวาจา ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ากิเลสน้อยลง ความดีก็เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ดับกิเลสตามลำดับขั้น

~ อกุศลธรรมก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดปรากฏ และเมื่ออบรมธรรมที่เป็นกุศลมากขึ้น ธรรมที่เป็นกุศลนั่นแหละ จะขัดเกลาบรรเทาธรรมที่เป็นอกุศลให้น้อยลงได้

~ ชีวิตนี้ ไม่มีใครสามารถไปเลือกเป็นคนดี เป็นเศรษฐี เป็นคนชั่วหรือเป็นอะไรได้เลย ทั้งหมดที่เกิด เกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจ มีความเห็นใจ ใครก็ตามที่ไม่ดี ไม่ใช่เขาอยากไม่ดี แต่ว่า เขามีเหตุมีปัจจัยที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น คนที่ฆ่าคนมาสัก ๑๐๐ คน ต้องการให้มีใครเป็นเพื่อนสักคนหนึ่งไหม? เห็นไหม แม้สถานการณ์อย่างนั้น แล้วถ้าเราเป็นเพื่อนเขาหวังดีต่อเขา คิดดู ไม่ได้ทำร้ายอะไรใคร แต่ว่า ทำให้เกิดประโยชน์ ว่า เขาก็มีกำลังใจ ยิ่งสามารถที่จะให้เขาเข้าใจถูกเห็นถูกได้ ยิ่งเป็นประโยชน์

~ ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยได้หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น บุคคลที่รับเงินทอง ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย บวชทำไม? ต้องมั่นคง เพื่ออะไร? ไม่ใช่ไปทำผิดมา ฆ่าคนตาย รุ่งขึ้นก็ไปบวช อย่างนั้น ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ คือ ผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง แต่ถ้าคิดเอง ไม่ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เป็นชาวพุทธหรือเปล่า? ต้องตรง ถ้าไม่ตรงตั้งแต่ต้น ไม่มีวันที่จะเข้าใจความจริงได้ เพราะไม่ตรงตามความเป็นจริง ต้องตรงอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะรู้ความจริง ที่เป็นจริง จึงจะชื่อว่า เป็นสาวก ผู้ฟัง ไม่ใช่ฟังโดยไม่เข้าใจ โดยไม่รู้ แต่เป็นผู้ฟังที่สามารถเข้าใจและประพฤติปฏิบัติตามด้วย


ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๕



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
capacitor4
วันที่ 4 ก.ย. 2565

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 4 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ก.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
panneelew
วันที่ 4 ก.ย. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 5 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Junya
วันที่ 5 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาและขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์คำปั่น

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Jans
วันที่ 5 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มังกรทอง
วันที่ 5 ก.ย. 2565

น้อมรับการปันธรรมะ นำสู่การไตร่ตรอง อันเกิดสติ เข้าใจในธรรม จนเกิดปัญญาตามกุศลธรรมที่สะสมมา ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
siraya
วันที่ 5 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 5 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Wisaka
วันที่ 5 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
xaychlisaengthxng7
วันที่ 5 ก.ย. 2565

ขอนอบน้อมพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบอนุโมทนากุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
สิริพรรณ
วันที่ 5 ก.ย. 2565

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

การฟังพระธรรม เป็นเหตุให้ได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ให้ได้รู้ว่า ความเข้าใจถูก ตามความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีค่าที่สุดกว่าความรู้ใด เมื่อเห็นประโยชน์จึงอดทนฟังต่อไปด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศล อ.คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
suporn71
วันที่ 5 ก.ย. 2565

กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์ กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
Lai
วันที่ 6 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 7 ก.ย. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
xaychlisaengthxng7
วันที่ 7 ก.ย. 2565

ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
kukeart
วันที่ 8 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ