Thai-Hindi 24 July 2022

 
prinwut
วันที่  24 ก.ค. 2565
หมายเลข  43387
อ่าน  405

Thai-Hindi 24 July 2022


- ไม่ว่าจะได้ยินคำว่าอะไร แล้วอยากเข้าใจว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร หรือว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาเอง อยากจะเกิดก็เกิดตามสิ่งนั้นเพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนว่า อะไรที่เราจะพูดถึงเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะพูดคำที่เราไม่รู้จัก

- ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลของความเป็นจริงว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแต่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แล้วจะเข้าใจได้ไหมว่า อะไรเกิดจากปัจจัยอะไร

- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้จักอะไรสักอย่างหนึ่งไหม ถ้าไม่รู้จักจะรู้ไหมว่าสิ่งนั้นนั้นเกิดขึ้นเองหรือว่าเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น

- ไม่ลืมว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังคำของพระองค์เลย จะมีความเห็นของตัวเองมั้ย คิดเองได้ไหมว่า ขณะนี้มีอะไรและเกิดขึ้นเพราะปัจจัยอะไร

- ถ้าไม่เข้าใจความละเอียดของพระปัญญาที่ตรัสรู้ความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้แต่กล่าวว่า มีพระองค์เป็นที่พึ่ง แต่ว่าพึ่งอย่างไรถ้าไม่เข้าใจคำของพระองค์

- เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัยก็ต้องรู้ว่า แต่ละหนึ่งก่อนที่จะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ละหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะปัจจัยอะไร เพราะหลากหลายเป็นแต่ละหนึ่งจะเกิดเพราะปัจจัยอย่างเดียวกันได้ไหม

- นี่เป็นหนทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเคารพในคำทุกคำที่พระองค์ตรัสถ้าไม่ฟังเลย ไม่มีโอกาสที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

- ต้องไม่ลืม ไม่ลืมว่า ฟังคำของใคร ท่านผู้นั้นเป็นใคร พระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดง พระธรรมทุกข้อนั้นมาจากการที่พระองค์ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเมื่อฟังคำของพระองค์

- เมื่อฟังคำของพระองค์เริ่มรู้ความจริงว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าอะไรทั้งหมด หลงว่าไม่รู้สิ่งต่างๆ แต่ว่า มีคำของพระพุทธเจ้า ฟังคำของพระองค์ด้วยความเคารพสูงสุดจึงรู้ว่า อยู่ในโลกของความมืด ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ

- เดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏใช่ไหม การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี อยู่ในความมืดสนิทของความไม่รู้รึเปล่า

- ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี มืดไหม มืดสนิทไหม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม

- ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร

- เคารพในความจริงของสิ่งที่มีที่พระองค์ตรัสรู้ทุกคำรึยัง

- ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่รู้จักว่า ใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เมื่อฟังโดยไม่เคารพ ฟังเผินๆ โดยไม่ไตร่ตรอง ยังไม่ชื่อว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้จริง

- เริ่มเป็นผู้ตรง เดี๋ยวนี้มีอะไร ทุกคำถามเป็นคำถามให้คิดให้ไตร่ตรองตามความเป็นจริงเพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร ไม่ใช่ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตาแต่ไม่รู้อะไรเลย

- เพราะฉะนั้นทุกคำถาม ให้ไตร่ตรอง ให้คิดเอง เข้าใจว่าถูกหรือผิด

- ถ้าไม่มีคำถามเลยจะมีอะไรให้คิดไตร่ตรองไหม

- ไม่ใช่ฟังแล้วคิดว่า เข้าใจแล้ว แต่ความเป็นจริงจะรู้ว่า เข้าใจแค่ไหนต่อเมื่อมีคำถาม

- ถ้าเพียงตอบว่า สิ่งนี้เกิดเพราะอะไร สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะปัจจัยอะไร ไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี

- เหมือนรู้ เหมือนเข้าใจทุกคำที่พูดแต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย

- ทางที่จะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ไม่ว่าโดยนัยของปัจจัยหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งนี้ รู้ไหมว่า เป็นหนทางเดียวซึ่งจะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

- ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้ง ที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่จึงจะรู้ความจริงและทรงแสดงความจริงทุกคำหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

- ตรัสความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกคำเพื่อให้มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย

- เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้นเป็นคนตรง ไม่ใช่รีบร้อนไปจำคำไปเข้าใจเพียงคำแต่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- คำอะไรก็ตามที่ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มีประโยชน์ไหม

เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงพูดถึงคำที่พระองค์ตรัสแล้ว เช่น ปัจจัยต่างๆ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มีประโยชน์ไหม

- ก่อนอื่นบารมีคืออะไร เพื่ออะไร เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปคิดเรื่องอื่นต้องรู้ทุกคำแม้แต่คำว่าบารมี ไม่ใช่สำหรับพูดให้ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า บารมีคืออะไร

- เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดเรื่องอื่น ไม่ว่าจะพูดคำไหนด้วยความเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจทุกคำ มิฉะนั้นคิดว่ารู้แล้วผิดพลาดเพราะเหตุว่า คิดเอง

- เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีรึเปล่า สมควรที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีไหม

- รู้ไหมว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้คืออะไร เพราะฉะนั้นถามเพื่อให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ รึเปล่า อะไรที่มี

- เพราะฉะนั้นรู้จักคิดไหม สมควรที่จะรู้จักไหมเพราะมีจริงๆ

- ถูกต้องไหมที่มีสิ่งที่มีจริงและไม่เคยรู้มาเลย และความจริงก็เป็นความจริงและก็จะไม่รู้ไปตลอดแต่ก็สามารถที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจสิ่งที่มีถูกต้องตามความเป็นจริงได้ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นบารมีเริ่มจากเข้าใจถูกต้องสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติที่ผ่านมา ไม่เคยรู้ความจริง เพราะเดี๋ยวนี้มีเหมือนกันแต่ไม่รู้อย่างนั้นเพราะฉะนั้นเป็นการสมควรที่จะรู้แต่จะรู้เองก็ไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังคำของผู้รู้เพื่อเข้าใจถูกต้องตามที่ท่านผู้นั้นได้ประจักษ์แจ้งแล้ว นี่คือปัญญาบารมี


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 24 ก.ค. 2565

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้รึเปล่า เริ่มเห็นแล้วใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีซึ่งคนอื่นๆ ไม่รู้

- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้แม้แต่คำว่า บารมีคืออะไรรึเปล่า เพราะฉะนั้นต้องฟังคำ เคารพใคร

- เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจถูกต้องว่า พระองค์ตรัสความจริงของสิ่งที่มีทุกอย่าง

- เริ่มฟังคำของพระองค์ด้วยความเบิกบานใจที่มีโอกาสที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงตลอดมาทุกกาลสมัย

- ถ้าไม่เริ่มฟังคำของพระองค์จะไม่รู้จักพระองค์จะไม่มีการเบิกบานที่ได้มีโอกาสได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามคำที่พระองค์ได้ทรงแสดง

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสเพราะกิเลสไม่ทำให้รู้ความจริงจนกระทั่งพระองค์สามารถตรัสรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระองค์ว่า ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์อย่างละเอียดด้วยความเคารพ ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยใช่ไหม

- การเริ่มต้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพทุกคำที่ค่อยๆ เข้าใจความจริงนั่นคือความเห็นที่ถูกต้องเป็นการเริ่มต้นของปัญญาบารมี

- ความไม่รู้และกิเลสทั้งหมดไม่ทำให้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- การไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอกุศลเป็นสิ่งที่เป็นกิเลสไม่สามารถจะพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งสามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

- ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยการฟังโดยละเอียดยิ่งทุกคำและยังต้องเห็นโทษของความไม่รู้จึงสามารถเพิ่มการฟังด้วยความสนใจ มีความรู้คุณขึ้นจึงสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นได้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้ละชั่ว ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นความชั่วซึ่งเป็นสิ่งที่นำความชั่วอื่นๆ มากมายหลายอย่างเพราะความไม่รู้

- ถ้าทำชั่วอยู่เรื่อยๆ โดยไม่เห็น ไม่ละความชั่ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะพระองค์ตรัสถึงเหตุที่ให้ทำความชั่ว

- เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นโทษของความชั่วจึงรู้ว่า การที่จะเข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสให้ละเหตุของความชั่วเพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่า อะไรดีอะไรชั่ว

- ความเข้าใจความจริงค่อยๆ นำไปสู่ความเห็นโทษของความไม่ดีและมีความเพียรที่จะละความไม่ดีโดยการฟังพระธรรมจนเข้าใจขึ้น

- เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินคำว่า บารมี เข้าใจว่าบารมีหมายความว่าอะไรไม่พอ ต้องมีความเข้าใจขึ้นในความจริงทุกอย่าง นั่นต้องอาศัยความเพียรซึ่งนำไปสู่การเข้าใจความจริงจึงเป็นวิริยะบารมี

- เมื่อมีความไม่เข้าใจความจริงของธรรมก็ทำสิ่งที่ไม่ดีมากมายในสังสารวัฏฏ์แม้ในชาตินี้

- เมื่อรู้ว่า การจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ยากและลึกซึ้งมาก แต่ความรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระมหากรุณาของพระองค์ที่ทำให้เริ่มมีความเห็นถูก ทำให้มีความอดทนต่อการที่จะเป็นกุศลแม้ว่ายังมีอกุศลอยู่แต่ความเข้าใจถูกก็เห็นโทษและเริ่มเป็นกุศลทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น

- เทียบการไม่ดีที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์กับการที่กุศลจะเกิดบ้าง เทียบได้ไหมว่า เล็กน้อยแค่ไหนที่จะต้องมีความมั่นคง อธิษฐานบารมี รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะรู้ความจริงได้จึงเป็นผู้ที่อดทนมั่นคงที่จะเข้าใจถูกต้องว่า การรู้ความจริงไม่ใช่ขณะอื่นเลย ต้องขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วรู้ความจริงของสิ่งนั้น

- ถ้าไม่มีความอดทนที่จะทำกุศลเพิ่มขึ้นยังคงมีอกุศลมากมายสามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม

- เพราะฉะนั้นเริ่มต้นของบารมีคือ รู้ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยากและถ้ายังคงมีความชั่วและความไม่ดีต่างๆ ก็รู้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีความมั่นคงว่า บารมีเพื่อที่จะรู้ความจริงซึ่งถ้ายังเป็นอกุศลรู้ไม่ได้จึงเริ่มที่จะเป็นกุศลตามกำลังของปัญญา เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึยัง

- ถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาจะสามารถรู้สภาพธรรมถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักปัจจัยใช่ไหม ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรม สนใจที่จะรู้ความจริง ไม่มีทางที่จะบำเพ็ญความดีเพื่อรู้ความจริง เพราะฉะนั้นนี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- และสำหรับคนอื่นที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อมีความเข้าใจก็เริ่มที่จะทำความดีซึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้วันหนึ่งสามารถที่จะเป็นอริยสาวก รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงให้ดำเนินหนทางนี้ด้วย

- มีความเข้าใจปัจจัยอย่างนี้รึเปล่า ทุกอย่างที่จะเกิดต้องมีปัจจัยที่เหมาะสม ปัจจัยมีมากแต่ปัจจัยทั่วๆ ไปตามความเป็นปัจจัยนั้นๆ เป็นภาษาบาลีจะใช้คำว่า ปกตูปนิสสย

- ถ้าเริ่มมีความเข้าใจมั่นคง ทุกอย่างเกิดไม่ได้มีไม่ได้ถ้าไม่มีปัจจัย ความจริงทั้งหมดมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นมีสภาพอย่างนั้นๆ เท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น

- มีความเข้าใจจริงๆ เริ่มแล้วหมายความว่า เริ่มมีความเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจทุกคำเพื่อที่จะมีความเข้าใจคำต่อๆ ไปที่พระองค์ตรัสใน ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจ ไม่มีเรา เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม

- พระองค์ตรัสว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งปวง สัพเพ ธัมมา อนัตตา เริ่มค่อยๆ เข้าใจคำที่พระองค์ตรัส เมื่อพระองค์ตรัสอย่างไรเปลี่ยนไม่ได้

- แต่ต้องไม่ลืมคำแรก ธรรม สิ่งที่มีจริงมีลักษณะสภาพความเป็นจริง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นอื่นไม่ได้นอกจากไม่ใช่สิ่งใดเลยทั้งสิ้น อัตตาคือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

- เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริง ธรรมแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้เป็นอย่างนั้นเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราถือว่า เที่ยง ยั่งยืน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะแต่ละหนึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เห็น ไม่ใช่อย่างอื่น ไม่ใช่คิดไม่ใช่จำ

- เพียงเท่านี้อย่าเพิ่งคิดว่า เข้าใจธรรมแล้ว ต้องไตร่ตรอง แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ธรรมแต่ละหนึ่งเป็นธรรมนั้นเท่านั้นเป็นอื่นไม่ได้

- ธรรมมีจริง จะเข้าใจธรรมนั้นต่อเมื่อธรรมนั้นกำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้อะไรกำลังปรากฏว่ามีจริงๆ ถ้าไม่รู้ รู้จักธรรมรึเปล่า เดี๋ยวนี้ธรรมอะไรปรากฏ ต้องไม่ลืม เห็นเกิดรึเปล่า เกิดแล้วใช่ไหม ใครทำให้เห็นเกิด

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัจจัย ไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตาเดี๋ยวนี้เอง เห็นเกิดไม่ได้ จริงไหม - เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะเหตุว่า เกิดขึ้นเห็น เป็นเห็น

- คุณอาช่ากำลังเห็น เห็นเป็นคุณอาช่ารึเปล่า แล้วเห็นเป็นอะไร ต้องไม่ลืม ไม่มีอาช่าแต่มีเห็น

- เริ่มรู้จักธรรมใช่ไหม เริ่มรู้ว่า เห็นเกิด ไม่มีใครทำให้เห็น และเห็นเกิดแล้วก็ไม่ได้เห็นตลอดไปเพราะขณะที่ได้ยินไม่มีเห็นแน่นอน

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงไม่มีใครรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิด เห็นแล้วดับ เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ถ้าเข้าใจว่า เราเห็น เห็นเป็นเรา ถูกหรือผิด

- ความเห็นผิดมีจริงๆ ไหม มีเราไหม มีความไม่รู้มานานแสนนานก็ไม่รู้อย่างนี้มานานใช่ไหม กว่าจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา อีกนานไหม หวังได้ไหมว่าจะรู้เมื่อไหร่ ทำวิธีไหนๆ เพื่อที่จะให้รู้ความจริงได้ไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 24 ก.ค. 2565

- นอกจากเห็นมีอะไรอีกที่เป็นธรรม ไม่มีเราแน่นอน มั่นคงรึยัง แล้วประจักษ์ความจริงของธรรมรึยัง

- เริ่มเห็นความลึกซึ้งว่า แม้มีก็เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เพียงรู้ว่ามีเท่านั้นแต่ยังคงเข้าใจว่า เป็นเรา จะหมดความเป็นเรา ต้องเป็นความรู้อีกระดับหนึ่งซึ่งจะเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใจ

- ไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากเหตุปัจจัยที่จะให้ธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เป็นความไม่รู้ เป็นความรู้ต่างกันตามเหตุปัจจัย ปัจจัยอะไร มีหลายปัจจัย เพราะปัจจัยมีหลายอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว

ถามอย่างนั้นต้องฟังคำถามแล้วตอบให้ตรงคำถาม เมื่อกี้ถามว่า ปัจจัยอะไร ปัจจัยมีหลายปัจจัย ปัจจัยอะไรที่ทำให้เป็นอย่างนั้น - ปกตูปนิสสยปัจจัย

- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ปกต-อุป-นิสสย-ปัจจย ปกต คือ ความเป็นไปของธรรมตามปกติเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง นิสสย แปลว่า เป็นที่อาศัย อุป เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ปกตูปนิสสยปัจจัยตามสภาพความเป็นสิ่งนั้นๆ

- เพราะฉะนั้นเราจะค่อยๆ เข้าใจธรรมทีละคำแต่ไม่ใช่เพียงจำชื่อ ต้องเข้าใจความหมายด้วย ถ้าเรารู้ว่า ความหมายคือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นต้องเป็นปัจจัยแน่นอนและต้องมีปัจจัยและไม่ใช่ปัจจัยเดียวเพราะต้องมีหลายๆ อย่างก็ต้องเกิดจากหลายๆ ปัจจัย

- เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้รู้จริงๆ ว่า ธรรมแต่ละหนึ่งอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเรายังไม่กล่าวถึงปัจจัยของหนึ่งนั้นว่าเป็นปัจจัยอะไรบ้าง ต่อเมื่อเรารู้ว่า เป็นธรรมอะไร เราจึงจะกล่าวถึงปัจจัยของธรรมนั้น มิฉะนั้นก็จะเป็นการศึกษาชื่อธรรมแต่ไม่เข้าใจธรรม

- ต้องไม่ลืม ต้องรู้จักธรรมก่อน แล้วจะรู้จักธรรมละเอียดขึ้นโดยความเป็นปัจจัยจึงจะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้

- การศึกษาธรรมลึกซึ้งไหมเพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ว่า เป็นอะไร แต่แม้ฟังแล้วยังไม่ประจักษ์ความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์

- ทุกคำที่พระองค์ตรัสลึกซึ้งเพราะกล่าวถึงความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จนสามารถรู้แจ้งความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงให้เข้าใจถูกต้อง

- พิจารณาความลึกซึ้งอีกบ่อยๆ ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้จะมีความเข้าใจไหม ถ้าไม่มีคำถามให้คิดให้ไตร่ตรองจะเข้าใจความลึกซึ้งไหม

เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม พุทธศาสนา คำสอนของผู้ที่รู้ความจริงให้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง

- จะรีบร้อนไปศึกษาคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้มากมายโดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏจะมีประโยชน์ไหม

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำเพื่อให้เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งหรือไม่ให้รู้ความจริงว่าละเอียดลึกซึ้ง

- ที่พูดอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อเตือนให้รู้ความจริงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจก็จะนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เข้าใจทีละคำจริงๆ ละเอียดขึ้นดีไหม เพราะฉะนั้นคุณอาช่าถามถึงปัจจัยและเวลานี้ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ คุณอาช่าอยากรู้ปัจจัยอะไร

- แต่เขาไม่รู้ว่า เขาจะรู้ปัจจัยอะไรของอะไร เดี๋ยวนี้มีอะไรและปัจจัยของสิ่งนั้นคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการรู้ใช่ไหม หรือทั่วๆ ไปชีวิตทั้งหมดรู้ได้ไหมทีเดียว

- คุณอาช่าเริ่มลืมความละเอียดของสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าลืมไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ มีโอกาสจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏไหม

- ลืมคิดถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจขึ้นจนกระทั่งรู้ความจริง เราคิดถึงเรื่องอื่นๆ ต่อไป นั่นจะไม่มีประโยชน์เลย ไม่เป็นการดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เริ่มรู้จริงๆ ว่า เมื่อไม่เข้าใจแต่ละหนึ่งก็ไม่เข้าใจทั้งหมด นี่คือผู้ที่รู้จักความจริง พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถึงอะไร สิ่งนั้นมีความละเอียดลึกซึ้งซึ่งต้องเข้าใจถูกต้องตั้งแต่ต้นจึงสามารถเข้าใจคำต่อๆ ไปของพระองค์ได้

- เพราะฉะนั้นกลับมาเริ่มต้นทีละคำ ทีละคำ คือ ธรรมทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะกล่าวถึงอะไร

- นี่คือหนทางเดียวที่นำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้นานแสนนาน ยังมีผู้ที่ได้รับประโยชน์ ยังมีผู้ที่เข้าใจความจริง ไม่เปลี่ยนคำของพระองค์และคิดเอง นี่เป็นประโยชน์สูงสุดที่จะได้มีคำของพระองค์อีกครั้งหนึ่งซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งที่จะมีคนได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เริ่มเข้าใจคำของพระองค์ที่ลึกซึ้งเริ่มเห็นคุณสูงสุดที่ประเทศนี้ ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วได้มีผู้ที่บำเพ็ญบารมีหลายชาติจากสวรรค์ลงมาสู่มนุษย์ เพราะว่าที่นี่เป็นที่ที่มีคนสามารถที่จะมาฟังธรรมแม้แต่เทวดาทั้งหลายซึ่งมนุษย์จะไปฟังธรรมที่บนสวรรค์ไม่ได้ แต่เทวดาและพรหมสามารถที่จะมาเฝ้ามาฟังธรรมได้ เพราะฉะนั้นที่นี่เป็นที่ที่ ณ กาลครั้งหนึ่งทรงแสดงความจริงสูงสุดซึ่งถูกปิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์และเปิดให้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดคำของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงไว้ก็ไร้ค่า ไร้ความหมายไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครเข้าใจ แต่จะรู้ว่ามีค่าสูงสุงในสังสารวัฏฏ์ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจจริงๆ ในทุกคำ ไม่ประมาท

- อดทนไหมที่จะรู้คุณและไม่ลืมพระคุณยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นมีความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงตรงตามที่พระองค์ทรงแสดงความลึกซึ้งซึ่งกว่าพระองค์จะได้ประจักษ์แจ้งความลึกซึ้งทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วเรากำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะเข้าใจคำของพระองค์เพื่อที่จะดำรงคำสอนของพระองค์ให้มีผู้ที่ได้เข้าใจสืบต่อไปใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นทุกคำต้องเข้าใจในความลึกซึ้ง ต้องไม่ลืม การจะดำรงพระธรรมคำสอนคือ ด้วยความเข้าใจถูกต้องในแต่ละคำ ไม่ประมาทเลย เมื่อเข้าใจแล้วก็สามารถที่จะกล่าวถึงแต่ละคำตรงตามความเป็นจริง

- เข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ต้องไม่ลืม ธรรมทั้งหมดที่มีจริงเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราต่อไปแต่ว่าตราบใดที่ยังเป็นเราก็เพราะเหตุว่า ยังไม่ได้รู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังปรากฏ

- ถ้าไม่ฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏจะสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม เพราะฉะนั้นความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏนี้แหละเป็นเครื่องวัดโดยไม่ต้องถามใคร ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงว่า มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏแค่ไหน

- ความเข้าใจหรือปัญญาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ต้องถามใครเลยเพราะว่า ความเข้าใจถูกต้องเป็นของบุคคลนั้น ไม่ใช่ไปเอาคำตอบของบุคคลอื่นมาคิดว่า ถูกหรือผิด จะถูกหรือผิดก็กล่าวตามที่เข้าใจคำนั้นก็จะแสดงว่า ผู้นั้นเข้าใจถูกหรือผิดมากน้อยแค่ไหน

- ต้องไม่ลืม จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและตอบแทนคุณของพระองค์ที่ทำให้สามารถเข้าใจถูกได้ก็โดยการกล่าวคำของพระองค์ที่ตรงตามความเป็นจริงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

- ทุกคนที่เกิดมาแล้วก็จากโลกนี้ไป ถ้าไม่ให้คนอื่นได้ดำรงรักษาคำของพระพุทธเจ้าด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อันตรธาน

- เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจความจริงจากที่พระองค์ได้ทรงแสดงจะรู้คุณของพระองค์ ก็จะให้คนอื่นได้ฟังได้เข้าใจถูกต้องเพื่อที่จะดำรงคำของพระองค์ต่อๆ ไป

- แต่ถ้าไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรม ไม่ศึกษาโดยเคารพ เข้าใจผิดคลาดเคลื่อน เป็นการทำลายคำสอนของพระองค์

- ต้องไม่ลืม ศึกษาเพื่อเข้าใจคำของพระองค์ถูกต้อง ไม่เข้าใจผิดซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระองค์ทั้งหมด

- เคารพสูงสุดด้วยความเป็นผู้ตรงต่อความจริงจึงจะดำรงคำสอนของพระองค์ไว้ได้

- ไม่ทราบว่าที่คุณอาช่าถาม คุณมานิชถาม และอีกท่านหนึ่งถามได้รับคำตอบเพียงพอหรือยัง

- ต้องไม่ลืม นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นที่ถูกต้อง คือ พูดคำใดในสิ่งที่กำลังมีที่กำลังเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้นไว้โดยละเอียดโดยประการทั้งปวงถึงที่สุดซึ่งสามารถประจักษ์แจ้งได้และต้องไม่ลืมว่า ต้องตรงต่อความจริงเป็นสัจจบารมีมิฉะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้

- ต้องตรงต่อความถูกต้องที่ลึกซึ้งเพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะถึงความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้แน่นอนที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

กราบขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 25 ก.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ