Thai-Hindi 20 August 2022

 
prinwut
วันที่  20 ส.ค. 2565
หมายเลข  43504
อ่าน  375

Thai-Hindi 20 August 2022


- เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ไม่ใช่คุณอาช่า ไม่ใช่คุณอาคิลนะ เดี๋ยวนี้มีธรรมอะไร (ได้ยิน)

- ถ้าไม่พูดถึงได้ยิน คุณอาช่าจะคิดถึงได้ยินไหม

- เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ถ้าเราไม่พูดถึง ไม่มีวันที่เราจะคิดถึง

- เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นขณะ “ศึกษาธรรม” ฟังคำของพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสเรื่องเห็นเรื่องได้ยินทุกอย่างที่มีจริงๆ

- เมื่อมีใครไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ตรัสเรื่องอื่นเลยว่า ใครกำลังป่วยไข้ใครกำลังทำอะไร

- ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์พระองค์แสวงหาความจริงของสิ่งที่กำลังมีจนกระทั่งพระองค์สามารถที่จะตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่คิดแต่ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เราไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้เลย

- ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้แม้แต่ว่า กำลังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ

- ไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจักษ์แล้วโดยไม่เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามสิ่งที่กำลังปรากฏ

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ใครทำอะไรเลยทั้งสิ้นเพราะเขาไม่รู้จะบอกให้เขาทำทำไม แต่เพราะเขาไม่รู้จึงค่อยๆ ให้เขารู้ความจริงโดยการที่ทรงแสดงพระธรรมตั้งแต่ต้นถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

- ถ้าเราไม่พูดสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เมื่อไหร่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพราะพระองค์ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว

- แม้ว่าเราจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องสิ่งที่กำลังมีแต่ก็ยังไม่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว

- วันหนึ่งๆ มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้างแล้วก็คิด เพราะฉะนั้นคิดในสิ่งที่กำลังมีแต่ไม่ได้รู้ความจริงแม้ของคิด

- ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี รู้จักพระพุทธเจ้ารึเปล่าเพราะฉะนั้นจะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเริ่มฟังคำของพระองค์ที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่ละ ๑

- เห็นขณะนี้ลึกซึ้งไหม ลึกซึ้งอย่างไร กำลังถามเขาๆ ต้องคิดว่า ถามว่าอะไร และจะตอบว่าอะไร

- คำถามที่ถามตอนแรก เขาบอกว่า ลึกซึ้ง ก็ถามให้เขาเข้าใจขึ้นว่าลึกซึ้งอย่างไร อยู่ดีๆ ลึกซึ้งได้หรือ

- เพราะฉะนั้นธรรมของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งถึงที่สุด ยังไม่ไปถึงไหนเลย ไปพูดถึงคนอื่นแล้ว

- ต้องการให้รู้ว่า ลึกซึ้งอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เอง ไม่ใช่ว่าลึกซึ้งเมื่อไปคิดถึงคนอื่น แต่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละ ลึกซึ้ง ไม่ต้องคิดถึงใครเลย

เวลาที่พูดถึงธรรมไม่ได้พูดถึงใครเลย นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ให้ค่อยๆ ถึงความไม่มีเราแม้แต่ความคิด แค่นี้รู้ไหมว่าลึกซึ้ง

- เห็นกำลังเกิดดับ แล้วคิดเรื่องอื่น พูดเรื่องอื่น แล้วเมื่อไหร่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของเห็นซึ่งไม่ใช่ใครเลยจึงสามารถประจักษ์การเกิดดับได้

- ถ้าไม่พูดเรื่องเห็นจะเข้าใจเรื่องเห็นทีละนิดทีละหน่อยไหม แม้กำลังพูด มีเห็น ก็ไม่สามารถจะเห็นความลึกซึ้งได้เพราะคิดถึงเรื่องอื่น

- ไม่ใช่มีแต่เห็นอย่างเดียว มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีนึก ทั้งหมดไม่รู้ความจริงแต่ไปคิดเรื่องอื่นหมด

- ถ้าไม่มีขณะที่เข้าใจธรรม นี่คือชาติ ๑ ซึ่งมีโอกาสจะได้เข้าใจขึ้นแต่ว่าไม่รู้ความจริงจะเข้าใจได้อย่างไรก็คิดเองหมดเพราะฉะนั้นไม่ใช่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส

- ถ้ารู้ประโยชน์จริงๆ ของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจก็จะรู้ว่าชาตินี้เป็นชาติที่มีโอกาสจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นก็เหมือนชาติก่อนๆ ที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี

- ไม่มีใคร บังคับอะไรก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วบังคับไม่ได้เลย หมดแล้วบังคับไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นการที่คิดอย่างไรก็เป็นเพราะการสะสม เพราะฉะนั้นถ้าสะสมการเห็นประโยชน์ของการเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้ค่าของชีวิตนี้

- มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเสียงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เป็นนก เป็นปู เป็นแมวไม่สามารถจะเข้าใจได้

- การเกิดเป็นคนไม่ง่ายเพราะว่า อกุศลกรรมทำไว้มากมาย เพราะฉะนั้นจากชีวิตนี้สั้นๆ แล้วไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่สุดคือ ได้เริ่มมีโอกาสได้รู้ความจริง

- การได้มีโอการฟังพระธรรม ไม่เป็นนก ไม่เป็นแมว มีค่ามากเพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีพื้นฐานเราก็หวังจะรู้จักคำนี้คำนั้น แต่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่สำคัญที่สุดว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีใครรู้ได้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความจริง เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังทุกคำของพระองค์จึงจะสามารถรู้จักพระพุทธเจ้าได้

- เพราะฉะนั้นก็จะเหมือนกับ นก หนู ปู ปลา ได้ยินเสียง ไม่สนใจที่จะค่อยๆ ฟังและไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

- เพราะฉะนั้นความสนใจ “ฉันทะ” สำคัญมาก ถ้าไม่มีการสะสมเลยจะไม่สนใจที่จะฟังเพราะคิดว่าอย่างอื่นมีค่ามากกว่า

- ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มลูกฟังธรรมแล้วลูกถูกงูกัด ผู้หญิงคนนั้นฟังพระธรรมต่อไป คิดว่าสิ่งที่มีประโยชน์มีค่าที่สุดไม่ใช่เป็นแต่เพียงลูกซึ่งถูกงูกัด ผู้หญิงคนนั้นทำถูกไหม (ถูก) เพราะรู้ความจริงว่า ขณะต่อไปเขาเองอาจจะตายก็ได้ ไม่ใช่ว่าลูกถูกงูกัดจะตาย

- เพราะฉะนั้นถ้าเป็นห่วงกังวลเรื่องลูกกับการได้เข้าใจพระธรรมแล้วจากโลกนี้ไป อะไรเป็นประโยชน์

- เพราะที่เข้าใจว่าเป็นลูกหรือเป็นตัวเขา ความจริงก็เป็นธรรม ไม่ใช่ใครเลย เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงได้ เมื่อได้ฟัง ไตร่ตรองและเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีวันที่จะเห็นว่า ความเข้าใจธรรมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอย่างอื่นสำคัญกว่าทั้งหมด

- ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรทุกเรื่องทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 20 ส.ค. 2565

- ใครไม่เดือดร้อนใจบ้าง (พระอรหันต์) พระอนาคามีก็ไม่เดือดร้อนใจ

- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้โทษให้เห็นว่า ต้องเป็นอย่างนี้ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง

- ไม่ใช่ห้ามไม่ให้เดือดร้อนใจ ไม่ใช่ห้ามไม่ให้เสียใจ ไม่ใช่ห้ามไม่ให้ร้องไห้ แต่ขณะนั้นต้องเข้าใจความจริงจึงจะสามารถรู้ได้แล้วจึงจะไม่เดือดร้อน

- ใครจะพ้นจากความเดือดร้อนใจได้ ตราบใดที่ยังเกิดแล้วตายๆ เหมือนเดี๋ยวนี้

- ไม่ว่าจะแสนสบายหรือเดือดร้อนใจก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหมดไป ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ตลอดสังสารวัฏฏ์เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเห็นโทษของการที่จะต้องเป็นอย่างนี้ไม่ว่าสุขหรือทุกข์รึยัง

- เพราะฉะนั้นต้องรู้ความจริงว่า ปัญญาระดับไหนจึงสามารถที่จะละการเกิดที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป

- เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้อะไรเลย ยังไม่เป็นพระโสดาบันแล้วจะละสิ่งที่จะต้องเกิดในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ยังไม่ได้

- คนที่มีความสุข ยังไม่มีความทุกข์ ไม่รู้เลยว่า ความทุกข์นั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ทุกคน เพราะฉะนั้นอะไรมีค่าที่สุดในชีวิตที่น้อยมาก สั้นมาก

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีค่าที่สุดคืออะไร (ความเข้าใจธรรม) เดี๋ยวนี้ใช่ไหมเพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ขณะนี้ที่กำลังสนทนาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจขึ้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ไม่ใช่ขณะอื่น

- ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจรู้ว่าลึกซึ้งมาก มีความอดทนที่จะรู้ว่า ความจริงนี้รู้ได้เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังพูดเรื่องคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เป็นขณะที่มีค่าที่สุด

- ถ้าไม่มีขณะนี้ มีโอกาสที่จะรู้ความจริงไหม มั่นคงไหม ขณะที่ค่อยๆ มั่นคงเป็นอธิษฐานบารมี ขณะที่รู้ว่า เดี๋ยวนี้จริงขณะอื่นไม่มีเป็นสัจจบารมี ต้องรู้ความจริงอย่างนี้นานอีกเท่าไหร่กว่าจะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขณะนี้ซึ่งเกิดดับ

- ถ้าไม่มีขณะนี้ที่ได้ฟังแล้วไตร่ตรองแล้วเข้าใจขึ้น จะมีขณะอื่นไหมที่จะทำให้รู้ความจริงได้

- เพราะฉะนั้นทุกคำในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเรื่องขันธ์ เรื่องอายตนะ ปฏิจสมุปบาท ธาตุ อายตนะทั้งหมด กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยต่างๆ ที่จะให้เข้าถึงความไม่ใช่เรา ไม่มีเรา

- ความจริงถึงที่สุดคืออะไร (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) หมายความว่า ไม่มีอะไรที่เที่ยง ที่ยั่งยืน

- เพราะฉะนั้นโลกเต็มไปด้วยความไม่รู้เพราะเดี๋ยวนี้มีทุกอย่างแต่ความจริง เกิดแล้วดับไม่เหลือเลย ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเลยดีไหม

- ไม่มีอาช่า ไม่อาคิล ไม่มีคุณสุคิน ไม่มีดิฉัน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะมีเหตุที่จะให้เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ว่างเปล่าตลอดทุกขณะแต่ใครเปลี่ยนโลกไม่ได้เพราะขณะนี้มีให้เห็นว่ามี

- แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่า ขณะนี้เกิดแล้วดับและไม่กลับมาอีกเลยจึงมีความไม่รู้และติดข้องเพราะยังเป็นเราที่เห็น ยังเป็นเราที่ได้ยินจนกว่าจะรู้เห็นจริงๆ ที่กำลังเกิดและดับจึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับดีที่สุดเพราะว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องเกิดดับต่อไปเรื่อยๆ

- เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้และเริ่มรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย การรู้ความจริงนั้นต่างกับความไม่รู้

- ความไม่รู้ก็จริง ความรู้ความเข้าใจถูกก็จริง เป็นเรารึเปล่า

- ต้องมั่นคง ถ้ามีใครว่าคุณอาช่า รู้สึกอย่างไร อีกนานไหมกว่าจะรู้ความจริง นานเท่าไหร่ เพราะอะไรกำหนดไม่ได้

- นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมีความเข้าใจถูกต้องจะค่อยๆ รู้ว่าชีวิตจริงๆ เป็นอย่างไรและถ้ามีความเห็นถูกต้องชีวิตจริงๆ จะเป็นอย่างไร

- มีประโยชน์ไหมถ้าเราจะรู้ชื่อ ปฏิจสมุปบาท รู้คำว่า อายตนะหมายความว่าอะไร มีเท่าไหร่ แต่ไม่สามารถที่จะรู้จริงๆ ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังเกิด

- กำลังโกรธจะรู้อะไรดี เลือกได้ไหม ขณะโกรธมีเห็น มีได้ยิน มีคิด เลือกได้ไหมที่จะรู้โกรธ

- เพราะฉะนั้นเห็นความเป็นอนัตตาเมื่อมีความเข้าใจถูกว่า สิ่งนั้นเกิดโดยไม่ได้เลือกแต่ตามเหตุตามปัจจัย

- มั่นคงไหม ฟังธรรมเพื่อรู้ความจริง เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนั้นรู้ว่า เลือกไม่ได้ ไม่ใช่เรา ก็ต่อเมื่อรู้ลักษณะของแต่ละ ๑ ทีละหนึ่งเท่านั้น

- ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้รู้ความจริง ขณะนั้นไม่รู้จะรู้อะไรใช่ไหม เหมือนเดี๋ยวนี้ไหม เลือกไม่ได้แล้วแต่จะเข้าใจอะไร

- จะไปเลือก จะพยายามเข้าใจสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เองต้องมีความเข้าใจมั่นคงว่า เป็นสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจได้เพราะกำลังปรากฏให้รู้ความจริงของสิ่งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้เพราะอะไร

- หมายความว่า เดี๋ยวนี้เลือกไม่ได้แต่รู้ว่า สามารถที่จะรู้ได้ เข้าใจได้ใช่ไหมเพราะมีจริงๆ เดี๋ยวนี้

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังแล้วเดี๋ยวนี้รู้อะไรได้ไหม รู้อะไรได้ อะไรรู้

- ปัญญารู้อะไรเดี๋ยวนี้ได้ เดี๋ยวนี้ปัญญารู้อะไรได้ เดี๋ยวนี้รู้รึยัง เพราะฉะนั้นทำไมยังไม่ถึงปัญญาระดับนั้น ความเข้าใจอย่างเดียวได้ไหม

-ไม่ต้องมีอะไรเลยหรือ มีปัญญาอย่างเดียวหรือ ที่ปัญญาเกิดไม่ได้เพราะอะไร แต่ปัญญาเกิดจากไหน

- ทุกคนฟังเหมือนกันแต่ทำไมปัญญาเกิด ปัญญาไม่เกิด

- ถ้าไม่มีจิตปัญญาเกิดได้ไหม เพราะฉะนั้นจิตเป็นปัญญารึเปล่า เพราะฉะนั้นจิตเป็นอะไร ปัญญาเป็นอะไร

- จิตคือจิต จิตคืออะไร แล้วปัญญาหล่ะ

- ปัญญาเห็นได้ไหม จิตเข้าใจถูกต้องในเห็นได้ไหม เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏที่จิตรู้แต่ไม่เข้าใจความจริง

- เวลาที่เห็นหรือได้ยิน เสียงดิฉัน เสียงคุณสุคินเหมือนกันไหม ทำไมรู้ว่าต่าง

- เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์เลยที่จะไปบอกว่าจิตมีเท่าไหร่ เป็นอะไร แต่เขาไม่รู้ลักษณะของจิตลักษณะของปัญญา เพราะฉะนั้นต้องให้เขาค่อยๆ รู้ทีละ ๑ เพื่อจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า อะไรเป็นอะไร ไม่ใช่จำแต่ชื่อใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ปัญญาเห็นได้ไหม ใช่ไหม เห็นเข้าใจธรรมได้ไหม

- ขณะที่กำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเดี๋ยวนี้ อะไรเห็น และขณะที่กำลังเห็นและเริ่มที่จะรู้ว่า เห็นอะไร เห็นรู้อย่างนั้นได้ไหม ขณะที่กำลังเห็นแล้วค่อยๆ เริ่มเข้าใจถูกว่า เห็นอะไร เป็นเห็นรึเปล่าขณะนั้นที่รู้ว่าเห็นอะไร

- ถามว่า เห็น เริ่มรู้ว่าเห็นอะไร ขณะนั้นเป็นเห็นรึเปล่าที่รู้ว่าเห็นอะไร เพราะฉะนั้นเห็นอะไร

- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้ตอบว่า เป็นรูป เป็นชื่อ แต่ให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้จริงๆ เห็นอะไร ไม่ใช่ให้ไปจำแต่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เข้าใจถูกไหมว่า เห็นอะไร

- เพราะฉะนั้นปัญญาเห็นไหม แล้วจิตเข้าใจถูกต้องได้ไหม อะไรเป็นใหญ่ที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

- จิตรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นแต่จิตสามารถเข้าใจสภาพของเห็นและสิ่งที่ถูกเห็นรึเปล่า ที่เข้าใจจิตเข้าใจได้รึเปล่าว่านี่เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อะไรเข้าใจ (ปัญญา) ความเห็นนี้ถูกต้อง

- เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เป็นอินทริยะ จิตคือ มนะ หรือ มโน เพราะฉะนั้นมนินทริยะ หมายความถึงจิตเท่านั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ไม่ได้เข้าใจอะไร

- เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นคุณมธุรึเปล่า เพราะทั้งหมดต้องรู้ทั้งหมดทีละเล็กทีละน้อยจนเข้าใจตลอดทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมนั้นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 20 ส.ค. 2565

- ถามว่า เสียงใคร จิตรู้ได้ไหม ทำไมจิตรู้ได้ว่า เสียงใคร (สัญญา)

- สัญญาคืออะไร (เจตสิก) เป็นปัญญาเจตสิกหรือ เป็นเจตสิกอะไร กำลังจำต้องเรียกว่าสัญญาไหมต้องเข้าใจลักษณะ ไม่ใช่ชื่อ แต่ต้องเข้าใจลักษณะสภาวะที่จำมีจริงๆ

- สัญญาเห็นไหม อะไรเห็น

- สัญญาเข้าใจไหม อะไรเข้าใจ

- เข้าใจจำรึเปล่า ต้องเข้าใจจริงๆ เดี๋ยวนี้มีธรรมที่ใครๆ ก็ไม่รู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงกำลังจำก็ไม่รู้ว่าอะไรจึงเป็นเราจำ กำลังเห็นไม่รู้ว่าเป็นอะไรจึงเป็นเราเห็น กำลังเข้าใจไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เป็นเราเข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงที่จะเข้าใจแต่ละ ๑ จึงจะสามารถค่อยๆ ละที่เป็นเราจำเราคิด เราเห็นได้

- กำลังเห็น จำรึเปล่า ขณะนี้เข้าใจรึเปล่า เข้าใจอะไร เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจมากกว่านี้ได้ไหมเป็นอย่างไรถึงจะเข้าใจได้ เข้าใจเพิ่มขึ้น

-อะไรเจริญ ความเข้าใจเท่านั้นหรือ ลองคิด ก็เป็นชื่ออีกนั่นแหละ เจริญบารมี บารมีมีตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นลองคิด ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ลืมรึยัง

- กำลังอดทนแต่ไม่ได้คิดถึงใช่ไหม ที่ฟังแล้วลืมรึยัง จะเจริญอธิษฐานอย่างไร ไม่ฟังคำของพระพุทธเจ้า คิดเองไม่มีทางที่จะถูกต้องเพราะไม่รู้ละเอียดถึงแต่ละ ๑ ที่เป็นธรรม

- มีจิตรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ มีสัญญาจำสิ่งที่ปรากฏ และมีปัญญาเข้าใจถูกในความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่ลืมไม่คิดถึงเลยทั้งวัน จบแล้ว เดี๋ยวคิดถึงโรงพยาบาล เดี๋ยวคิดถึงคุณอาคิล อะไรทำให้ไม่ลืมและคิดถึงสิ่งที่ได้ฟัง

- นั่นคือคิดและไม่ได้เข้าใจละเอียดว่า อะไรเป็นธรรมนั้น อะไรอดทน เพราะฉะนั้นเขาได้ยินคำนี้บ่อยมากแต่ถ้าไม่เข้าใจลักษณะจริงๆ ของสิ่งนั้น เรียกแต่ชื่อ เค้าเคยได้ยินคำว่า สติ ไหม

- เข้าใจหมด พูดได้หมด แต่ไม่รู้ขณะนี้อะไรเป็นอะไร อะไรต้องมี สิ่งนั้นจึงจะมีได้ เพราะฉะนั้นคราวหน้าจะพูดถึงเรื่องที่เราพูดถึงแล้ววันนี้เป็นการทบทวนให้รู้ว่า ไม่ใช่พูดชื่อแต่พูดถึงลักษณะจริงๆ ปัญญาไม่ใช่สติ ปัญญาไม่ใช่จิต สัญญาไม่ใช่สติ ทุกอย่างแต่ละหนึ่งๆ ละเอียดมาก นี่เป็นการตรัสรู้ของพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเองไม่ได้

- เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า คำที่ได้ยินบ่อยๆ ต้องมีลักษณะจริงๆ ให้รู้ได้ เพราะฉะนั้นลักษณะที่เข้าใจก็ไม่ใช่สติ เพราะขณะที่เข้าใจขณะเข้าใจไม่ใช่สติ สติไม่ใช่ความเข้าใจ เป็นสภาพธรรมแต่ละ ๑

- เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่เป็นธรรม ไม่อย่างนั้นเราก็เรียกชื่อว่า ธรรม แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร

- เพราะฉะนั้นเพียงรู้ว่าเป็นธรรมแต่ไม่ได้เข้าใจว่า ธรรมอะไร ไม่พอ ต้องเข้าใจด้วยว่าเป็นธรรมอะไรด้วย เป็นธรรมอะไรมิฉะนั้นก็พูดว่า เป็นธรรมๆ แต่เป็นธรรมอะไร

- เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่า เป็นธรรมๆ เท่านั้นไม่พอ ต้องรู้อีกว่า ธรรมอะไร วันนี้เข้าใจขึ้นไหม เข้าใจเป็นธรรมอะไร

- เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเข้าใจ มีแต่เพียงความเข้าใจเท่านั้นได้ไหม มีอะไรด้วยขณะนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
capacitor4
วันที่ 20 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาในกุศลทุกๆ ประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
namarupa
วันที่ 21 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของน้องตู่ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
siraya
วันที่ 21 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ