Thai-Hindi 27 August 2022

 
prinwut
วันที่  27 ส.ค. 2565
หมายเลข  43547
อ่าน  331

Thai-Hindi 27 August 2022


- ถามคุณอาช่าว่า ธรรมมีอย่างเดียวหรือหลายอย่าง (มีจิตก็ต้องมีเจตสิก)

- สงสัยไหมว่า มีปัญญาเกิดขึ้นอย่างเดียวเท่านั้นได้ไหม (ไม่สงสัย)

- หายสงสัยรึยังว่า ขณะที่ปัญญาเกิด มีจิตเกิดร่วมด้วยแล้วมีอะไรอีกที่เกิดร่วมกับสัญญาด้วย

- เพราะฉะนั้นต้องเรียนเรื่องเจตสิกละเอียดให้รู้ว่าเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกขณะมีอะไรบ้าง

- เพราะฉะนั้นแสดงว่า เดี๋ยวนี้ธรรมเป็นอย่างนี้แต่ไม่รู้ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเห็นความละเอียด ความลึกซึ้ง เพราะธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ให้ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีแต่ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจนกว่าจะชัดเจน

- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มี 45 พรรษา ไม่ใช่ไปจำคำแต่ทุกคำเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจผิด จะอ่านหนังสือ จะคิด จะไตร่ตรองเรื่องราวธรรมแต่ไม่รู้ว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่า เป็นอะไร

- เพราะฉะนั้นจิต ๑ ขณะมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย ไม่ได้ปรากฏให้รู้พร้อมกันใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นแม้ว่าเราจะพูดถึงธรรมคือ เจตสิกแต่ละ ๑ ที่กำลังปรากฏให้รู้ได้ก็ไม่ได้หมายความว่า มีเฉพาะสภาพธรรมนั้นเท่านั้น แต่มีสภาพธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นมากน้อยต่างกันตามประเภทของจิตแต่ที่ปรากฏคือ ๑ ที่ละหนึ่ง

- ถ้าไม่รู้ว่า จิตต่างกับเจตสิก ไม่มีทางที่จะรู้ว่า ไม่มีเราที่กำลังเห็น

- ถ้าเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิตไม่ปรากฏที่ละ ๑ ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นเจตสิกได้

- จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยน้อยที่สุดคือ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวงได้แก่ จิตเห็นขณะนี้ จักขุวิญญาณ เป็นผลของกุศลกรรม ๑ เป็นผลของอกุศลกรรม ๑ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ เท่านั้น

- ต้องไตร่ตรอง ต้องคิดพิจารณาคำพูดทุกคำ จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภทหมายความว่าอะไร

- เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรอง หมายความว่าอะไรที่กล่าวว่า จิตขณะนี้ที่กำลังเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ดวง

- จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวงเท่านั้นมีเท่าไหร่

- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ธรรมเปลี่ยนไม่ได้ มีจิตเพียง ๑๐ ดวงเท่านั้นที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวง

- เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่า ให้จำแต่จิตเห็นเดี๋ยวนี้เองสั้นแค่ไหนเพราะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวงจึงเกิดขึ้นเพียงเห็นแล้วดับ

- เห็นเกิดขึ้นเห็นเป็นคุณอาช่ารึเปล่า (เห็นเกิดขึ้นรู้สี)

- ไม่ได้ถามอย่างนั้น ไม่ได้ถามว่าเห็นเกิดขึ้นรู้อะไร แต่ให้เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น สั้นแค่ไหน น้อยแค่ไหน เพียงเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวงเท่านั้น

- ไม่ได้ถามอย่างนั้นเลย ให้บอกให้รู้ว่า ที่ฟังเรื่องเห็นให้รู้จักเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังเห็นไม่ใช่ใครและเกิดเห็นเพราะมีเจตสิก ๗ เกิดร่วมด้วยเท่านั้น ไม่มีมากกว่านั้นเลย เพราะฉะนั้นจิตทั้งหมด ถ้าพูดอย่างนี้หมายความว่า มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่า ๗ นอกจาก ๑๐ ดวงนี้เท่านั้น

- จิตที่เกิดเกิดก่อนเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ (ต้องมากกว่า ๗)

- ดีมาก ต้องไม่ลืมเลย เพื่อจะรู้ความจริงต้องค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เราเลย เป็นจิตแต่ละชนิดซึ่งเกิดตามปัจจัย เพราะฉะนั้นเจตสิกจำนวนเท่าไหร่ที่จะทำให้เกิดเจตสิกประเภทนั้นๆ ต่างกันไป

- จิตที่เกิดขณะที่ชอบมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ (ต้องมากกว่า ๗ เยอะ)

- แน่นอน แสดงให้เห็นว่า เริ่มค่อยๆ ละความที่เคยยึดถือว่า เป็นเราเพราะเข้าใจทีละน้อยว่า ไม่ใช่เราเพราะเป็นจิตและเจตสิกที่เกิดต่างๆ กันไป

- ขณะเกิดขณะแรกมีเจตสิกเกิดขณะนั้นเท่าไหร่ (มากกว่า ๗)

- ดีมากที่คิดและตอบตรงคำถาม ไม่พูดเรื่องอื่นเพราะว่า จะทำให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่พูดบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ให้มั่นคงขึ้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย

- จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้คือจิตที่เกิดทำกิจให้พ้นจากความเป็นบุคคลนี้ทันทีที่ที่จิตนั้นดับ มีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ (มากกว่า ๗)

- ถูกต้องเปลี่ยนไม่ได้เลย ทำให้เขาระลึกได้ว่า จิตไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นจิตอะไรก็ตามเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยต่างๆ กันไป ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

- การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์ที่จะเข้าใจในความไม่ใช่เราเพิ่มขึ้นจนหมดการที่เคยยึดถือว่าเป็นเราเพราะไม่มีเรา มีแต่ธรรม จิต เจตสิก รูป

- เริ่มเข้าใจถูกรึยังว่า ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นธรรมที่เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปแต่ละ ๑ เท่านั้น

- มีคุณอาคิ่ลไหม (ไม่มี) มีตำรวจไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้เราเข้าใจขึ้นจนกว่าจะหมดการยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน

- ถ้าไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่มีทั้งหมดต้องเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูปเท่านั้นก็ไม่สามารถที่จะละความติดข้องที่ยึดถือว่า มีเราและมีสิ่งต่างๆ มีคน มีทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะคุณอาคิ่ล คุณอาช่า ตำรวจ คุณวีระ คุณอรรณพ ใครทั้งหมด

- เพราะฉะนั้นจะเข้าใจขึ้นๆ จนมั่นคงได้ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมแต่ละ ๑

- มีใครที่มีคุณยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสังสารวัฏฏ์บ้าง ไม่มีเลยเพราะเหตุว่า เขาจะมีความดีสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ให้คนอื่นเข้าใจความจริงได้ด้วย

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ในชีวิต ในสังสารวัฏฏ์คือ ได้เข้าใจความจริงซึ่งถ้าไม่ได้ฟังความจริงจะไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง

- ใครจะเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีก เป็นคนโน้นคนนี้สักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ในสังสารวัฏฏ์จิตเกิดแล้วดับมากมายและไม่ได้กลับมาอีกเพราะฉะนั้นการค่อยๆ เข้าใจความจริงนี้จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 27 ส.ค. 2565

- วันนี้จะพูดเรื่องเจตสิกเพราะมีจริงๆ แต่ไม่รู้เพราะฉะนั้นเรื่องของเจตสิก ๗ ดวงที่เกิดกับจิตทุกดวงได้กล่าวถึงแล้วใช่ไหม

- ทบทวนเท่าที่จำได้และเข้าใจ สภาพธรรมที่ต้องเกิดกับจิตทุกดวงซึ่งเป็นเจตสิกต่างกันไปเป็น ๗ อย่าง เขาสามารถที่จะจำได้ ระลึกได้ไหม ขณะนี้มีอะไรบ้าง เป็นการเตือนให้เข้าใจว่า สิ่งนั้นมีจริงเกิดแล้วดับไป

- พูดถึงเจตสิกทีละ ๑ เพื่อให้เริ่มคิดถึงเจตสิกนั้นๆ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เริ่มจากเจตสิกไหน (สัญญา)

- สัญญาคืออะไร เดี๋ยวนี้มีไหม สัญญาเดี๋ยวนี้จำอะไร เพราะฉะนั้นสัญญาจำว่าเป็นสุนัขรึเปล่า เป็นอาช่าจำหรือเป็นสัญญาจำ เป็นสภาพจำ มีจริงๆ ลักษณะที่จำ ไม่ใช่จิต

- กำลังได้ยินเสียง จำหรือเปล่า

- กำลังเห็นจำอะไร จำสิ่งที่ปรากฏให้เห็น กำลังรู้ว่าเป็นแมว จำอะไร (จำบัญญัติว่าเป็นแมว)

- บัญญัติคืออะไร เพราะฉะนั้นจำสิ่งที่เกิดดับสืบต่อจนเป็นรูปร่างสัณฐานหลากหลายใช่ไหม

- นี่เป็นเจตสิก ๑ ที่เกิดกับจิตทุกขณะ และยังมีเจตสิกอะไรที่เกิดกับจิตทุกขณะใน ๗ ดวงบ้าง (ผัสสะ)

- ผัสสะคืออะไร ปรากฏไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นไม่เหมือนกับสภาพจำใช่ไหม

- สัญญากับผัสสะแล้วอะไรอีก (เจตนา)

- เจตนาคืออะไร (ยังไม่เข้าใจแค่ได้ยิน) ดีมากเลยที่รู้ว่า ธรรมลึกซึ้งจึงต้องฟังต่อไป

- ถ้าไม่เข้าใจสัญญาจะละการเป็นเราได้ไหม สัญญาเกิดกับจิตทุกขณะเพราะฉะนั้นสัญญาโดยชาติ (การเกิด) เป็นอะไรบ้าง

- สัญญาที่เกิดกับจิตเห็นเป็นชาติอะไร (วิบาก) พูดง่ายๆ เลยว่า สัญญาที่เกิดกับจิตเห็นเป็นวิบาก รู้ได้ไหม (ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ) แต่สามารถเข้าใจได้ไหม (ได้)

- เมื่อเข้าใจได้ สัญญา เจตนาที่เป็นวิบากทำไมไม่สามารถรู้ได้ (ไม่เข้าใจ)

- เดี๋ยวนี้แม้มีก็ไม่ปรากฏใช่ไหม แม้กำลังเห็น เห็นก็ไม่ปรากฏว่า ไม่ใช่เรา เป็นธาตุรู้

- เพราะฉะนั้นมีขณะที่เกิดขึ้นและตั้งใจจะทำสิ่งนั้นรึเปล่า เพราะฉะนั้นมีทุกอย่างแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรจึงเป็นเราทั้งหมด

- ศึกษาพระธรรมหมายความถึงศึกษาสิ่งที่มีให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา เป็นแต่ละ ๑ ของสภาพที่มีจริงๆ หลากหลายมาก

- ชีวิตประจำวันเป็นธรรมทั้งหมด ตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นมีความตั้งใจที่ละลุกไหม ลุกขึ้นแล้วตั้งใจจะเดินไหม ยืนแล้วตั้งใจที่จะก้าวไปไหม เดินไปแล้วตั้งใจที่จะหยุดไหม หยุดแล้วตั้งใจที่จะเอื้อมมือไปไหม

- แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เราก็ไม่รู้เลย เป็นเราหมดตั้งแต่ตื่นแล้วทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงเป็นธรรมทั้งหมด ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ไหมว่า ไม่มีเราเลยแต่เป็นธรรมทั้งหมด

- ตั้งใจเกิดแล้วดับไหม ตั้งใจเป็นเห็นรึเปล่า

- เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อรู้จักความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งแล้ว

- มีอะไรที่สงสัย อยากหายสงสัยไหม ถ้ายังสงสัยอยู่

- ตั้งแต่ตื่น ลืมตา ลุกขึ้น เดินไป หยิบนั่น หยิบนี่ทั้งหมดเป็นกุศลรึเปล่า (อกุศล)

- เป็นวิบากก็มี เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เร็วมากใช่ไหม สลับกัน

- ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็ยังคงเป็นเรา เพราะเป็นเรามานานด้วยความไม่รู้ เมื่อเริ่มรู้ก็จะรู้ได้ว่า ตั้งหลายแสนชาติมาแล้วไม่ได้รู้ความจริงอย่างนี้เลย

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือ มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีความเข้าใจขึ้น

- คนสมัยนี้ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแต่ชื่อแล้วเดินทางไปนมัสการที่ๆ พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมและปรินิพพาน

- คนในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทราบว่า มีการตรัสรู้ เค้าเดินทางไปในที่ๆ พระองค์ประทับเพื่อที่จะฟังธรรมให้เข้าใจ ต่างกับสมัยนี้ที่คนที่ไม่เข้าใจก็เดินทางไปที่นั่น กราบนมัสการแต่ไม่รู้จักพระองค์

- แต่คนสมัยนี้เริ่มเข้าใจที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา เมื่อเข้าใจแล้วจึงเดินทางไปแสดงความเคารพสูงสุดที่ได้มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาเพื่อเขาจะได้ฟังและเข้าใจ

- เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือ ได้รู้ความจริง ไม่ว่าพระองค์จะประทับที่นั่นหรือปรินิพพานแล้วพระองค์ก็ยังทำประโยชน์ให้กับเราสูงสุดคือ รู้ความจริงด้วย

- เพราะฉะนั้นคนที่ไปสังเวชนียสถานต่างกับคนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจพระธรรม ไม่สามารถที่จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ไปนมัสการในฐานะที่ได้ยินว่า พระองค์ตรัสรู้ความจริง

- แต่คนที่ได้เริ่มเข้าใจความจริง ไปกราบนมัสการเคารพสูงสุดในพระคุณที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีให้เขาได้มีโอการเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เข้าใจพระะรรมแล้วไปที่สังเวชนียสถานจะได้ประโยชน์อะไรไหม

- แต่เมื่อเข้าใจธรรมแล้วจากแสนโกฏิกัปป์ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาและตรัสรู้ ณ ที่นั้นเป็นที่ๆ สมควรที่สุดของการที่จะได้ประสูติ แสดงธรรม และปรินิพพาน

- เพราะฉะนั้นขณะที่มีชีวิตอยู่ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือ ได้เริ่มเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะว่าทุกคนจะจากโลกนี้ไปขณะไหนก็ได้

- มีอะไรที่ได้ฟังมาและสนใจที่จะเข้าใจให้ถูกต้องไหม จะได้รู้ว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสแล้ว

- การไปนมัสการมีเจตนาที่จะไปไหม (มี) เป็นกุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนา (กุศล) จริงหรือ

- กำลังวางแผนเป็นกุศลหรืออกุศล (ทั้งกุศลและอกุศล) นั่นเป็นความคิดใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ ฟังธรรมขณะที่เข้าใจเป็นกุศล ความลึกซึ้งคือ สิ่งนั้นเกิดแล้วชั่วขณะหนึ่งแล้วดับไป

- ขณะนี้เป็นความเข้าใจ คิดเรื่องสภาพธรรมไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไปทันที นี่คือความคิดถูก แต่ไม่ได้ประจักษ์แจ้งสิ่งนั้นตามความเป็นจริง

- ขณะนี้ธรรมเกิดดับนับไม่ถ้วนแล้วจะไปรู้ขณะที่เป็นกุศลขณะที่เป็นอกุศลได้ไหม ถ้าไม่มีปัญญาที่เข้าใจความจริงมากกว่านี้

- นี่เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่จะถึงความจริงได้ตามลำดับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

- ความจริงคือ ขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่การเกิดดับไม่ปรากฏว่า อะไรเกิดอะไรดับเลย

- เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมไม่ใช่รีบร้อน แต่ให้เห็นความจริงว่า ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งแต่สามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้

- ขณะนี้กำลังฟังเรื่องธรรมทุกอย่างเกิดดับ ไม่สามารถที่จะรู้แต่ละ ๑ ว่าอะไรเกิดอะไรดับ แต่เริ่มเข้าใจมั่นคงขึ้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

- ขณะนี้ไม่ใช่คนกำลังเกิดดับ โต๊ะเก้าอี้กำลังเกิดดับ แต่สภาพธรรมแต่ละ ๑ กำลังเกิดขึ้นดับไปเร็วจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานให้จำวาล่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งยังไม่ดับ นั่นไม่ใช่ความจริง

- กว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ อีกนานไหม

- เดี๋ยวนี้เจตนาเจตสิกกำลังเกิดดับ สัญญาเจตสิกกำลังเกิดดับ จิตกำลังเกิดดับ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับแล้วเร็วสุดที่จะประมาณได้

- บางคนคิดว่าฟังซ้ำๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
prinwut
วันที่ 27 ส.ค. 2565

- ขณะที่มีค่าที่สุดในชาตินี้คือ ได้ฟังความจริง ไม่ว่าชาติก่อนจะเป็นใคร ชาติต่อไปจะเป็นใคร ถ้าไม่มีโอกาสได้เข้าใจ ไม่มีโอกาสได้ฟังความจริง ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- เริ่มตรงต่อความจริงว่า ทุกอย่างที่มีจริง มีจริงชั่วคราว เพราะฉะนั้นไม่มีเราแต่มีธรรมซึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

- รู้ความจริงอย่างนี้มีประโยชน์ไหม มีประโยชน์กว่าอย่างอื่นไหม

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีความเข้าใจถูกต้องว่า มีชั่วคราวแล้วหมดแล้ว ไม่มีเรา จะเริ่มรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ความจริงถึงที่สุดเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้กำลังจำรึเปล่า สภาพจำเกิดดับรึเปล่า สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ถูกต้องไหม ความเข้าใจอย่างนี้มั่นคงรึยัง (มั่นคงแล้ว)

- มั่นคงเลยหรือ นี่เราที่กำลังได้ยิน มั่นคงตามกำลังของความเข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นมั่นคงพอรึยัง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงซึ่งกำลังเป็นอย่างนี้ที่เกิดดับ

- ถ้ารู้ว่า ความเข้าใจขณะนี้ความเข้าใจยังไม่มั่นคงพอ สามารถที่จะเข้าใจมั่นคงขึ้นได้ไหม (ได้) โดยวิธีไหน โดยปัจจัยอะไร (ฟัง) หนทางเดียวหรือมีหนทางอื่น (หนทางเดียว) ขณะนั้นมีเจตสิกอะไร (ปัญญา) มีเจตสิกอะไรอีกที่เกิดร่วมด้วย ลองคิดดูว่าเจตสิกอะไร (สติ) มีความเพียรไหม (มี) ความเพียรนั้นเป็นขันติรึเปล่า (เป็น) มีความจริงใจ มีความตรงที่จะเข้าใจธรรมเพื่อละรึเปล่า (มี) เพราะฉะนั้นก็เป็นบารมีแต่ละ ๑ บารมีที่เขาเริ่มรู้ว่าเป็นบารมีอะไร ถ้าไม่มีบารมีไม่สามารถที่จะเข้าถึงสภาพที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงได้

- กำลังไม่สบาย ป่วยไข้ สามารถที่จะนึกถึงธรรมได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นถ้าขาดบารมีจะสามารถเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นได้ไหม

- เพราะฉะนั้นการรู้ว่า ธรรมเข้าใจยาก รู้ยากแต่สามารถรู้ได้ มีความเพียรที่จะเข้าใจ และเป็นผู้ตรงต่อความจริงว่า ขณะนี้ไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงตามที่ได้ฟัง

- เพราะฉะนั้นขณะที่สภาพธรรมยังไม่ปรากฏแต่รู้ว่า ปรากฏได้จึงต้องอาศัยความเพียรและบารมีอื่นๆ ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นเพราะความเข้าใจถูกเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีได้นี่คือ ความจริงใจของผู้ที่เข้าใจถูกต้องและมั่นคงที่จะรู้ความจริงซึ่งรู้ยาก

- ถ้าไม่มีปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องว่า อกุศลทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้จึงไม่ใช่บารมีที่จะทำให้รู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกต้องทำให้ไม่ละเลยที่จะเพียรที่จะกระทำความดี เพราะขณะที่จิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นอกุศลเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจขณะหนึ่งๆ เป็นบารมีที่จะทำให้บารมีอื่นๆ เจริญขึ้น

- เพราะฉะนั้นอดทนที่จะฟังธรรมบ่อยๆ เพื่อที่จะไม่ลืมที่จะเข้าใจธรรมที่ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย

- เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่เข้าใจเป็นบารมี ขณะที่คุณความดีเกิดขึ้นเพราะเข้าใจถูกต้องก็เป็นบารมีเพราะฉะนั้นชาตินี้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะรู้ความจริง

- ขณะที่ไม่เข้าใจธรรม ขณะที่ไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นบารมีรึเปล่า (ไม่เป็น) ก็เป็นผู้ตรง สัจจบารมี

- ถึงแม้ว่าชาติต่อไป ไม่รู้ว่าจะเกิดเป็นอะไรแต่ความเข้าใจขณะนี้ก็ปลูกฝังที่จะทำให้มีความเข้าใจในชาติที่มีโอกาสได้ฟังและเข้าใจเพิ่มขึ้นได้

- ขณะนี้มีเจตนาไหม เจตนาประเภทไหน ขณะเห็นเป็นกุศลรึเปล่า เดี๋ยวนี้กำลังเห็น

- กว่าปัญญาจะรู้จริงๆ ต้องฟัง เข้าใจขึ้นละเอียดขึ้นเพื่อละความไม่รู้

- ขณะที่รู้ว่าเป็นกุศล ขณะไหนเป็นกุศล (ตอนที่คิด) ถ้าคิดไม่ดีเป็นกุศลไหม เพราะฉะนั้นความคิดมี ๒ อย่างใช่ไหม (มี ๒) ความคิดมี ๓ อย่างได้ไหม ถามอีกครั้งว่ามี ๓ อย่างได้ไหม ของใคร (พระอรหันต์)

- เห็นไหม ธรรมละเอียด ลืมไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นการถามทบทวนเพื่อไม่ลืมความจริง

- อกุศลที่คิดเป็นกุศลได้ไหม (ไม่ได้) กุศลที่คิดเป็นกิริยาได้ไหม (ไม่ได้) พระอรหันต์คิดรึเปล่า เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีกุศลไหม

- พระอรหันต์มีเจตนาเจตสิกไหม (มี) เป็นกิริยาใช่ไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นสำหรับพระอรหันต์ ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล มีแต่วิบากผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตและกิริยา ไม่มีการที่จะเกิดขึ้นเป็นกุศลเป็นอกุศลอีกต่อไป เพราะฉะนั้นไม่มีใครเลยแต่อรหัตต์หมายถึงสภาพจิตที่ดับกิเลสแล้ว

- เจตนาของคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์เป็นกิริยาได้ไหม (ได้) เมื่อไหร่?

- นี่คือประโยชน์ของการเข้าใจความละเอียด เหมือนเข้าใจหมดตอบได้ทุกอย่าง แต่จะรู้ว่าเข้าใจแค่ไหน เข้าใจถึงที่มีรึเปล่าต้องอาศัยการสนทนาซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มิฉะนั้นไม่มีวันจะรู้สิ่งที่ปรากฏได้เลย

- เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีกิริยาจิตได้ ให้ไปหามา ขณะไหน เมื่อไหร่ สำหรับวันนี้คงจะเพียงพอที่จะไปให้คิด ไปไตร่ตรองและเหตุผลด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jirat wen
วันที่ 27 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
siraya
วันที่ 29 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ