สงสารอยากจะช่วย แต่ช่วยไม่ได้หมด ทำให้จิตเศร้าหมอง

 
chatchai.k
วันที่  14 ก.พ. 2565
หมายเลข  42066
อ่าน  191

. เรามาประเทศอินเดียแทบจะทั่วทุกแห่ง เราจะเห็นผู้คน ความคิดที่เราจะเมตตากับคนก็ต่างกัน เด็กเล็กเราอาจจะเมตตามากกว่า อาจจะไม่ใช่เมตตา เป็นความสงสาร คนที่ขาหัก หรือคนที่อุ้มลูกเล็กๆ เรามีความรู้สึกสงสารต่างกัน ทำอย่างไรที่จะคิดให้ถูกต้อง อาจารย์ก็บอกว่าตามสภาพกรรมของเขา แต่ก็อดไม่ได้ว่า คนนี้น่าสงสารกว่าคนนั้น คนนั้นน่าสงสารกว่าคนนี้อยู่ตลอดเวลา

สุ. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำให้เราเห็นกรรมของทุกคนชัดเจน เพราะฉะนั้น เวลาที่ประสบสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เห็นว่าเป็นเด็กตัวเล็กๆ บ้าง หรือ เป็นคนพิการต่างๆ บ้าง เราควรพิจารณาจิตของเราว่า ขณะนั้นเป็นสภาพที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล บางคนใช้คำว่า สงสาร แต่ลืมสภาพจิตที่กำลังสงสารนั้นว่า เศร้าหมองหรือเปล่า

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดควรจะรู้ว่า กรุณาเป็นสภาพที่มีความเห็นใจ ในความทุกข์ยาก ในความเดือดร้อนของคนอื่น โดยที่จิตของเราเองไม่จำเป็นต้อง เศร้าหมอง เราเป็นผู้สามารถรักษาจิตของเราได้ เวลาที่เห็นอะไรก็ตามระลึกสภาพจิตในขณะนั้นว่า เศร้าหมองไหม ถ้าเศร้าหมองเป็นอกุศล ไม่ใช่กุศล

นี่เป็นเหตุที่ทำให้แม้เห็นเขาลำบากเดือดร้อน แต่ใจของเราก็ไม่ต้องเศร้าหมองเป็นอกุศล เราสามารถมีความเห็นใจ มีความเข้าใจจิตใจของเขา อย่างคนขับรถ ขับรถมานาน เหนื่อย หิว เรามีความเห็นใจ เราอาจจะให้ไข่ ให้ขนม น้ำ เพลงที่ เขาอยากจะฟัง นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ขณะนั้นจิตของเราไม่เศร้าหมอง แม้ว่าคนอื่น จะเป็นทุกข์ เรามีทางที่จะช่วยให้เขาสบายทางหนึ่งทางใดเราก็ทำ โดยที่จิตของเรา อย่าเศร้าหมอง

ต้องละเอียดพอที่จะอย่าสงสาร และทำให้จิตของเราเศร้าหมองด้วย เพราะว่าขณะนั้นจะมีอกุศลสลับ

ถ. มีเจตนาอยากจะช่วย แต่ช่วยไม่ได้หมด ทำให้จิตเศร้าหมองไป

สุ. เวลาจิตเศร้าหมองต้องรู้สึกตัว คือ ระลึกที่สภาพของจิตที่เศร้าหมอง และรู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย เขาต้องเป็นไปตามกรรมของเขา เมื่อถึงคราวที่กรรมของเขาจะให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่เราที่อยากจะช่วย ก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเขามี อดีตกรรมที่ทำให้เราสามารถช่วยเขาได้ในทางหนึ่งทางใดและเราช่วย เราก็เข้าใจ ถึงกรรมว่า กุศลกรรมของเขาเป็นเหตุที่ทำให้เราสามารถช่วยเขาได้ โดยที่ ไม่จำเป็นต้องเศร้าหมองเลย ไม่ว่าจะเห็นคนบาดเจ็บครวญคราง หรือเห็นสภาพที่ น่ากลัว น่าหวาดเสียวอย่างไรก็ตามแต่ ก็ไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่าทุกคนเป็นไปตามกรรมจริงๆ สุดปัญญาที่ใครจะไปยับยั้งได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากให้ใครถูกเผา แต่เมื่อกรรมของเขาเป็นเหตุ เขาก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น อาจจะเป็นเรา อาจจะเป็นเขา อาจจะเป็นใครวันหนึ่งวันใด ก็เหมือนกัน

นี่เป็นเหตุทำให้เราหวั่นเกรงภัยในอกุศลกรรม และเห็นโทษของอกุศลกรรมว่า เพราะอกุศลจิต เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีกุศลทางหนึ่งทางใด เล็กน้อยสักเท่าไร จะเป็นทางกายนิดหนึ่ง ทางวาจาหน่อยหนึ่ง เราก็ย่อมจะเพียรทำกุศลนั้นๆ เช่น สิ่งที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงและเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทส่วนใหญ่ ผู้ที่มีบริษัทมาก เพราะผู้นั้นประกอบด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ ๑. ทาน การให้ ๒. ปิยวาจา วาจาที่น่าฟัง ๓. อัตถจริยา การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ๔. สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอ

ถ้าพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่ประโยชน์แต่กับบุคคลนั้น แต่เป็นประโยชน์แก่ ตัวเราเองจริงๆ คือ ทาน การให้ ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้รับปลาบปลื้มใจ และจิตของผู้ให้ ก็อ่อนโยน คือ อ่อนโยนพอที่จะเสียสละวัตถุของตนเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นได้ ในขณะนั้นจิตก็มีความสบาย เพราะว่าไม่มีความตระหนี่ ได้ประโยชน์ทั้งจิตใจของตนเองก็อ่อนโยนและเบิกบานที่เห็นผู้รับมีความสุขได้ใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา เพราะฉะนั้น โลกย่อมร่มเย็นต่อไปได้ด้วยทาน การให้

สำหรับปิยวาจา วาจาที่น่าฟัง ซึ่งเป็นที่รัก แต่ก่อนเราอาจจะเป็นคนที่ตรงมาก มีความรู้สึกอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้ขัดเกลา หรือโดยลืมว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าเพียงเห็นประโยชน์นิดเดียวว่า กุศลควรพร้อมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เพราะฉะนั้น เวลาที่จะพูดกับใครก็พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ และพูดคำที่น่าฟัง มีการ นึกถึงจิตใจของเขา และอนุเคราะห์เกื้อกูลเขาให้เขาสามารถเข้าใจในเหตุในผลได้ คือ ด้วยวาจาของเรา สามารถเป็นประโยชน์กับคนอื่น เราก็มีปิยวาจาด้วย

ประการที่ ๓ อัตถจริยา คือ การประพฤติตนที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ข้อนี้สำหรับชาวพุทธเรารู้สึกว่าไม่ยาก ที่เมืองไทยเราก็อบรมกันมาที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ใกล้ชิดมิตรสหายกันอยู่แล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นกุศล แม้เพียงเล็กน้อยจิตใจ ก็สบายในขณะที่ทำทั้งผู้ให้และผู้รับ

ประการที่ ๔ สมานัตตตา คือ ความเป็นผู้มีตนเสมอกับคนอื่น ซึ่งจะไม่ทำให้ มีช่องว่างเลย และทำให้เรามีความสบายใจด้วย อย่างหลายคนที่มาอินเดีย ก็มักจะ เขา ชาวอินเดีย เขา อาหารอินเดีย แต่ถ้าเป็นผู้มีตนเสมอกับเขา คือ เขาก็มีตา เราก็มีตา เขาก็เห็น เราก็เห็น เขาก็มีหู เราก็มีหูเท่าๆ กัน เขามีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีโลภะ มีโทสะ มีกุศล ก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีผิวพรรณอย่างไรก็ตาม ก็ทำให้เราสามารถเข้ากับคนทั้งโลกได้ เพราะว่าสัตว์โลกทั้งหลายก็คือผู้ที่เกิดมา ร่วมโลก มีความเป็นมนุษย์ และเป็นผลของกุศลกรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่อกุศลที่สะสมมา หรือกุศลที่สะสมมาทำให้แต่ละบุคคลมีอัธยาศัยต่างๆ กัน ถ้าเราเข้าใจละเอียดลงไปจนกระทั่งถึงว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย เป็นสภาพธรรมของจิต ถ้าจิตของคนอินเดียเป็นกุศลก็น่าอนุโมทนามากกว่าอกุศลจิตของคนไทย เพราะว่ากุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ไม่ใช่กุศลของคนไทยต้องดีกว่ากุศลของคนชาติอื่น หรือไม่ใช่ว่าอกุศลของคนชาติอื่นจะต้องร้ายกว่าอกุศลของคนไทย

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าถึงสภาพธรรมจริงๆ และเมื่อเข้าถึงสภาพธรรม จริงๆ แล้ว จะไม่มีช่องว่างเลย มีความรู้สึกที่เป็นเพื่อน พร้อมที่จะมีพรหมวิหาร ทั้ง ๔ ทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และอบรมเจริญปัญญาที่จะให้เข้าถึงลักษณะแท้จริงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนยิ่งขึ้น ก็เป็นประโยชน์ทุกด้าน เพียงแต่ต้องพิจารณาจิตอย่าให้เศร้าหมอง และมีหลายทางที่จะเป็นกุศลได้ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ

ที่มา ... คลิกที่นี่


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ