พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. อัมพปาลีเถรีคาถา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 พ.ย. 2564
หมายเลข  40749
อ่าน  365

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 354

เถรีคาถา วีสตินิบาต

๑. อัมพปาลีเถรีคาถา

อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 354

เถรีคาถา วีสตินิบาต

๑. อัมพปาลีเถรีคาถา

    [๔๖๗] พระอัมพปาลีเถรี ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

    แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำเหมือนสีแมลงภู่มีปลายผมงอน เดี๋ยวนี้ผมเหล่านั้นกลายเป็นเสมือนป่านปอเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน มวยผมของข้าพเจ้าเต็มด้วยดอกไม้หอมกรุ่น เหมือนผอบที่อบกลิ่น เดี๋ยวนี้ผมนั้น มีกลิ่นเหมือนขนแกะเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้าดก งามด้วยปลายผมที่รวบไว้ด้วยหวีและเข็มเสียบ เหมือนป่าไม้ทึบที่ปลูกไว้เป็นระเบียบ เดี๋ยวนี้ผมนั้นบางลงๆ ในที่นั้นๆ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน มวยผมดำ ประดับทอง ประดับด้วยช้องผมอย่างดี สวยงาม เดี๋ยวนี้ มวยผมนั้นก็ร่วงเลี่ยนไปทั้งศีรษะเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 355

    แต่ก่อน คิ้วของข้าพเจ้าสวยงามคล้ายรอยเขียนที่จิตรกรบรรจงเขียนไว้ เดี่ยวนี้ กลายเป็นห้อยย่นลงเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ดวงตาทั้งคู่ของข้าพเจ้าดำขลับมีประกายงาม คล้ายแหวนมณี เดี๋ยวนี้ ถูกชราทำลายเสียแล้วจึงไม่งาม พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน เมื่อวัยสาว จมูกของข้าพเจ้าโด่งงามเหมือนเกลียวหรดาล เดี๋ยวนี้กลับเหี่ยวแฟบเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ใบหูทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนตุ้มหูที่ช่างทำอย่างประณีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้กลับห้อย ย่นเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ฟันของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนหน่อตูมของต้นกล้วย เดี๋ยวนี้กลับหักดำเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ข้าพเจ้าพูดเสียงไพเราะเหมือนนกดุเหว่าที่มีปกติเที่ยวไปในไพรสณฑ์ในป่าใหญ่ ส่งเสียงไพเราะ เดี๋ยวนี้ คำพูดของข้าพเจ้า ก็พูดพลาดเพี้ยน

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 356

ไปในที่นั้นๆ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน คอของข้าพเจ้าสวยงามกลมเกลี้ยงเหมือนสังข์ขัดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เดี๋ยวนี้ กลายเป็นงุ้มค้อมลงเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแต่ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน แขนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม เปรียบเสมือนไม้กลอนกลมกลึง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นลีบเหมือนกึ่งแคคด เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน มือทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม ประดับด้วยแหวนทองงามระยับ เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือนเหง้ามัน เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส แต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ถันทั้งสองของข้าพเจ้าอวบอัดกลมกลึงตั้งประชิดกัน ทั้งงอนสล้างสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นหย่อนยานเหมือนถุงหนังที่ไม่มีน้ำเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน กายของข้าพเจ้าเกลี้ยงเกลาดังแผ่นทองสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นสะพรั่งด้วยเส้นเอ็นอันละเอียดเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ไม่แปรเป็นอื่น.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 357

    แต่ก่อน ขาอ่อนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเปรียบเหมือนงวงช้าง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือนข้อไม้ไผ่ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน แข้งทั้งสองของข้าพเจ้าประดับด้วยกำไลทองเกลี้ยงเกลาสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเหมือนต้นงาขาด เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนรองเท้าหุ้มปุยนุ่น เดี๋ยวนี้ แตกเป็นริ้วรอยเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    เดี๋ยวนี้ ร่างกายนี้เป็นเช่นนี้ คร่ำคร่าเป็นแหล่งที่อยู่แห่งทุกข์เป็นอันมาก ปราศจากเครื่องลูบไล้ เป็นเรือนชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    จบอัมพปาลีเถรีคาถา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 358

อรรถกถาวีสตินิบาต

๑. อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา

    ในวีสตินิบาต คาถาว่า กาฬกา ภมรวณฺณสทิสา เป็นต้นเป็นคาถาของ พระอัมพปาลีเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

    พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศล อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ บรรพชาอุปสมบทในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี สมาทานสิกขาบทของภิกษุณีอยู่ วันหนึ่ง ไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณเวียนขวา เมื่อพระขีณาสวเถรีเดินไปก่อน พลันถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายก็ตกไปที่ลานพระเจดีย์ พระขีณาสวเถรีไม่เห็นก็เดินไป ภิกษุณีรูปนี้. เดินไปข้างหลังเห็นก้อนน้ำลายนั้นก็ด่าว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้ ภิกษุณีรูปนี้ รักษาศีลในเวลาเป็นภิกษุณี เกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในอัตภาพเป็นอุปปาติกะ. ด้วยการตั้งจิตนั้น ในอัตภาพสุดท้าย ภิกษุณีรูปนั้น ก็บังเกิดเป็นอุปปาติกะ ที่โคนต้นมะม่วง ในพระราชอุทยาน กรุงเวสาลี. พนักงานเฝ้าอุทยานเห็นเด็กหญิงนั้นก็นำเข้าพระนคร. เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง นางจึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี. ครั้งนั้น พวกพระราชกุมาร [เจ้าชาย] มากพระองค์ เห็นนางสะสวยน่าชมน่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษมีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่เป็นต้น ต่างก็ปรารถนาจะทำให้เป็นหม่อมห้ามของตนๆ จึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน คณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อระงับการทะเลาะวิวาทของพวกราชกุมารเหล่านั้น จึงตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่าจงเป็นของทุกๆ คน.นางได้ศรัทธาในพระศาสดาสร้างวิหารไว้ในสวนของตน มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 359

มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ภายหลัง ฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ บุตรของตนก็บวชเจริญวิปัสสนา อาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลง เพราะชรา ก็เกิดสังเวชใจ เมื่อจะชี้แจงถึงความที่สังขารไม่เที่ยงอย่างเดียว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

    แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำเสมือนสีแมลงภู่มีปลายงอน เดี๋ยวนี้ ผมเหล่านั้นก็กลายเป็นเสมือนป่านปอ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน มวยผมของข้าพเจ้าเต็มด้วยดอกไม้หอมกรุ่น เหมือนผอบที่อบกลิ่น เดี๋ยวนี้ ผมนั้นมีกลิ่นเหมือนขนแพะ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้าดกงามด้วยปลายที่รวบไว้ด้วยหวีและเข็มเสียบ เหมือนป่าไม่ทึบที่ปลูกไว้เป็นระเบียบ เดี๋ยวนี้ ผมนั้นก็บางลงในที่นั้นๆ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริงเป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน มวยผมดำ ประดับทอง ประดับด้วยช้องผมอย่างดี สวยงาม เดี๋ยวนี้ มวยผมนั้น ก็ร่วงเลี่ยนไปทั้งศีรษะเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 360

    แต่ก่อน คิ้วของข้าพเจ้าสวยงามคล้ายรอยเขียนที่จิตรกรบรรจงเขียน เดี๋ยวนี้ กลายเป็นห้อย ย่นลงเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ดวงตาทั้งคู่ของข้าพเจ้าดำขลับมีประกายงาม คล้ายแหวนมณี เดี๋ยวนี้ ถูกชราทำลายเสียแล้วจึงไม่งาม พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน เมื่อวัยสาว จมูกของข้าพเจ้าโด่งงามเหมือนเกลียวหรดาล เดี๋ยวนี้ กลับเหี่ยวแฟบ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริงเป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ใบหูทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนตุ้มหูที่ช่างทำอย่างประณีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้กลายเป็นห้อยย่น เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ฟันของข้าพเจ้าสวยงามเหมือนหน่อตูมของต้นกล้วย เดี๋ยวนี้กลับหักดำ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ข้าพเจ้าพูดเสียงไพเราะเหมือนนกดุเหว่า ที่มีปกติเที่ยวไปในไพรสณฑ์ในป่าใหญ่

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 361

ส่งเสียงร้องไพเราะ เดี๋ยวนี้ คำพูดของข้าพเจ้า ก็พูดพลาดเพี้ยนไปในที่นั้นๆ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแต่ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน คอของข้าพเจ้าสวยงามกลมเกลี้ยงเหมือนสังข์ขัดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เดี๋ยวนี้ กลายเป็นงุ้มค้อมลง เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส แต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน แขนทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเปรียบเสมือนไม่กลอน กลมกลึง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นลีบเหมือนกึ่งแคคด เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอย่างอื่น.

    แต่ก่อน มือทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงาม ประดับด้วยแหวนทองงามระยับ เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเสมือนเหง้ามัน เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแต่ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ถันทั้งสองของข้าพเจ้าอวบอัดกลมกลึงประชิดกันและงอนสล้างสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นหย่อนยานเหมือนถุงหนังที่ไม่มีน้ำ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้า ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน กายของข้าพเจ้าเกลี้ยงเกลาดังแผ่นทองสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นสะพรั่งด้วยเส้นเอ็นอันละเอียด

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 362

เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน ขาอ่อนทั้งสองข้างของข้าพเจ้าสวยงามเปรียบเหมือนงวงช้าง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเหมือนข้อไม้ไผ่ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน แข้งทั้งสองของข้าพเจ้าประดับด้วยกำไลทองเกลี้ยงเกลาสวยงาม เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเหมือนต้นงาขาด เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    แต่ก่อน เท้าทั้งสองของข้าพเจ้าสวยงามเปรียบเสมือนรองเท้าหุ้มปุยนุ่น เดี๋ยวนี้ แตกเป็นริ้วรอยเพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    บัดนี้ ร่างกายนี้ เป็นเช่นนี้ คร่ำคร่าเป็นแหล่งที่อยู่แห่งทุกข์เป็นอันมาก ปราศจากเครื่องลูบไล้ เป็นเรือนชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัส แต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาฬกา แปลว่ามีสีดำ. บทว่าภมรวณฺณสทิสา ความว่า ผมแม้ดำก็สีเสมือนแมลงภู่ คือเขียวสนิท.บทว่า เวลฺลิตคฺคา แปลว่า มีปลายงอน อธิบายว่า งอน คือช้อนขึ้นตั้งแต่โคนจนถึงปลาย. บทว่า มุทฺธชา แปลว่า ผม. บทว่า ชราย ได้แก่เพราะชราเป็นเหตุ คือเพราะความงามที่ถูกชราทำลายเสียแล้ว. บทว่าสาณวากสทิสา ได้แก่ เสมือนป่าน เสมือนปอ ความว่า เสมือนเปลือก

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 363

ป่านและเสมือนเปลือกไม้ ดังนี้. บทว่า สจฺจวาทิวจนํ อนญฺถา ความว่า พระดำรัสเป็นต้นว่า รูปทั้งปวงไม่เที่ยง ถูกชราครอบงำไว้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสความจริง ความแท้ เป็นคำจริงอย่างเดียวไม่แปรเป็นอย่างอื่น ความเท็จไม่มีอยู่ในพระดำรัสนั้น.

    บทว่า วาสิโต ว สุรภี กรณฺฑโก ความว่า ผมมีกลิ่นหอมเหมือนกล่องเครื่องประดับ ที่อบให้จับกลิ่น ด้วยดอกไม้ของหอมและผอบเป็นต้น. บทว่า ปุปฺผปูร มม อุตฺตมงฺคภูโต ความว่า แต่ก่อนมวยผมของข้าพเจ้าไม่มีมลทิน เต็มด้วยดอกไม้มีดอกจำปา ดอกมะลิ เป็นต้น. บทว่า ตํ ได้แก่สิ่งที่เกิดบนศีรษะคือผม. ต่อมาภายหลังคือบัดนี้ กลายเป็นมีกลิ่นเหมือนขนของตนเอง คือกลายเป็นมีกลิ่นเป็นขนตามปกติ. อีกนัยหนึ่ง บทว่าสโลมคนฺธิกํ ได้แก่มีกลิ่นเสมอกับขนแพะ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เอฬกโลมคนฺธิกํ มีกลิ่นเหมือนขนแพะ ดังนี้ก็มี.

    บทว่า กานนํว สหิตํ สุโรปิตํ ความว่า เหมือนป่าเล็ก ที่มีต้นไม้มีกิ่งตรงและยาว ซึ่งอยู่ตอนบน เขาปลูกไว้ดี ชิดกัน ตั้งอยู่ทึบ.โกจฺฉสูจิวิจตคฺคโสภิตํ ความว่า แต่ก่อนผมมีปลายรวบไว้ด้วยการเสียบมวยผมด้วยหวีและเข็มเสียบทอง สวยงาม หรือผมเป็นเสมือนแปรงเพราะดกชื่อว่าสวยงามเพราะมีปลายรวบไว้ด้วยเข็มงาที่ซื้อมาจากตลาด. บทว่า ตํ ได้แก่ ผม. บทว่า วิรลํ ตหึ ตหึ ได้แก่ ที่บาง คือผมร่วงในที่นั้นๆ

    บทว่า กณฺหขนฺ กํ สุวณฺณมณฺฑิตํ ได้แก่ กลุ่มผมดำ ประดับด้วยเครื่องประดับมีวชิระทองเป็นต้น. แต่อาจารย์พวกใดกล่าวว่า ประดับด้วยลูกศรทองสวยงาม ความของอาจารย์พวกนั้น ก็ว่าประดับด้วยการเสียบมวยผมด้วยเข็มทองสวยงาม. บทว่า โสภเต สุเวณีหิลงฺกตํ ความว่าประดับด้วยช้องผมที่เสมือนมาลัยดอกราชพฤกษ์ อันงาม ย่อมส่องประกายมาแต่ก่อน.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 364

บทว่า ตํ ชราย ขลิตํ สิรํ กตํ ความว่า ศีรษะที่งามอย่างนั้นนั้น เดี๋ยวนี้ ถูกชราทำให้เลี่ยนคือ ทำผมให้ร่วง ขาดเป็นฝอยๆ .

    บทว่า จิตฺตการสุกตาว เลขิกา ความว่า แต่ก่อนคิ้วของข้าพเจ้าเหมือนดังรอยเขียนที่จิตรกรช่างศิลป์บรรจงเขียนด้วยสีเขียว. บทว่า โสภเตสุ ภมุก ปุเร มม ความว่า แต่ก่อนคิ้วที่สวยของข้าพเจ้าก็นับว่างาม. บทว่าวลีหิ ปลมฺพิตา ได้แก่ ก็ตั้งห้อยลงเพราะรอยย่นที่เกิดที่ริมหน้าผาก.

    บทว่า ภสฺสรา แปลว่ามีประกาย. บทว่า สุรุจิรา แปลว่า งามดี. บทว่า ยถา มณิ แปลว่า เหมือนแหวนตรามณี. บทว่า เนตฺตาเหสุํแปลว่า ได้เป็นดวงตาที่งาม. บทว่า อภินีลมายตา แปลว่า เขียวจัดกว้าง. บทว่า เต ได้แก่ ดวงตา. บทว่า ชรายภิหตา แปลว่า อันชราทำลายเสียแล้ว.

    บทว่า สณฺทตุงฺคสทิสี จ ได้แก่ โด่ง งาม และรับกับส่วนแห่งดวงหน้า และอวัยวะนอกนั้น. บทว่า โสภเต ความว่า จมูกของข้าพเจ้างามดังเกลียวหรดาลที่ฟันตั้งไว้. บทว่า สุ อภิโยพฺพนํ ปติ ความว่า จมูกในสมัยแรกรุ่นที่งามนั้น บัดนี้ก็เป็นเหมือนลดลงและเหมือนถูกกัน [ไม่ให้โด่ง] เพราะชราห้ามความงามไว้. ด้วยบทว่า กงฺกณํว สุกตํ สุนิฏฺิตํพระอัมพปาลีเถรี กล่าวหมายถึงความกลมกลึง ประหนึ่งเครื่องประดับปลายแขนทอง ที่นายช่างทำอย่างดี. บทว่า โสภเต ก็คือ โสภนฺเต แปลว่างาม หรือบาลีก็ว่า โสภนฺเต. คำว่า สุ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า กณฺณปาฬิโย [กลีบหู] ได้แก่ ใบหู. บทว่า วลิภิปฺปลมฺภิตา ความว่า ก็เหี่ยวย่นเพราะความเหี่ยวที่เกิดขึ้นในที่นั้นๆ เป็นเกลียวดั่งท่อนผ้าที่บิด ตกห้อยลง.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 365

    บทว่า ปตฺตลิมกุลวณฺณสทิสา ได้แก่ ฟัน มีสีและสัณฐานดังหน่อตูมของต้นกล้วย. บทว่า ขณฺฑิตา ได้แก่ หัก คือถึงความหัก แตกหลุดหล่นไป. บทว่า อสิตา ได้แก่ ถึงความเป็นฟันดำ เพราะสีเสียไป.

    บทว่า กานนมฺหิ วนสณฺฑจารินี โกกิลาว มธุรํ นิกูชิหํ ความว่า ส่งเสียงพูดจาไพเราะดังนกดุเหว่า เที่ยวหาอาหารอยู่ในป่า จับกิ่งไม้ร้องเพลงอยู่ในป่า. บทว่า ตํ ได้แก่ พูดจาส่งเสียงนั้น. บทว่า ขลิตํ ตหึตหึ ได้แก่ พูดผิดเพี้ยนไปในที่นั้นๆ เพราะลักษณะชรา มีฟันหักเป็นต้น.

    บทว่า สณฺหกมฺพุริว สุปฺปมชฺชิตา ได้แก่ คอเหมือนสังข์ทองที่เขาขัดอย่างดี ก็กลมเกลี้ยง. บทว่า สา ชราย ภคฺคา วินามิตา ความว่า [คอ] ค้อมน้อมลง เพราะชราปรากฏ โดยเนื้อค่อยๆ สิ้นไป.

    บทว่า วฏฺฏปลิฆสทิโสปมา ได้แก่ เทียบเท่ากับไม้กลอนอันกลม. บทว่า ตา ได้แก่ แขนแม้ทั้งสองนั้น บทว่า ปาฏลิปฺปลิตา ได้แก่ เสมือนกิ่งแคที่คดเพราะเก่าแก่.

    บทว่า สณฺหนุทฺทิกสุวณฺณมณฺฑิตา ได้แก่ ประดับด้วยแหวนอันเกลี้ยงและสุกใสที่ทำด้วยทอง. บทว่า ยถา มูลนูลิกา แปลว่า ก็เสมือนเหง้ามัน.

    บทว่า ปีนวฏฺฏสหิตุคฺคตา ได้แก่ เต่ง กลม ประชิดกันและกัน ชู งอนขึ้น. บทว่า โสภเต สุ ถนกา ปุเร มม ความว่า ถันแม้ทั้งสองของข้าพเจ้ามีรูปตามที่กล่าวแล้ว งามเหมือนหม้อทอง แท้จริงคำนี้เป็นเอกวจนะ ลงในอรรถพหุวจนะ เป็นคำปัจจุบันกาล ลงในอรรถอดีตกาล.บทว่า เถวิกีว ลมฺพนฺติ โนทกา ความว่า ถันของข้าพเจ้าแม้ทั้งสองนั้นเหี่ยวยาน เหมือนกะถุงน้ำที่ไม่มีน้ำ ที่เขากินน้ำหมดแล้ว อันเขาวางไว้ที่ท่อนไม้ไผ่.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 366

    บทว่า กจญฺจนสฺส ผลกํว สุมฏฺํ ความว่า ร่างกายของข้าพเจ้างามเหมือนแผ่นทอง ที่นายช่างเอาชาดหิงคุทาแล้วขัดนานๆ . บทว่า โสวลีหิ สุขุมาหิ โอตโต ความว่า ร่างกายของข้าพเจ้านั้น บัดนี้ก็เหี่ยว คือหนังเหี่ยวย่นในที่นั้นๆ เพราะเกลียวละเอียดๆ .

    บทว่า นาคโภคสทิโสปนา ได้แก่ เปรียบเท่ากับงวงของพระยาช้าง หัตถ์ในที่นี้ท่านเรียกว่า โภคะ งวง เพราะเป็นเครื่องจับกิน. บทว่า เต ได้แก่ ขาทั้งสอง. บทว่า ยถา เวฬุนาลิโย ความว่า บัดนี้ได้เป็นเสมือนปล้องไม้ไผ่.

    บทว่า สณฺหนูปุรสฺวณฺณมณฺฑิตา ความว่า ประดับด้วยเครื่องประดับเท้าทอง อันเกลี้ยงเกลา. บทว่า ชงฺฆา ได้แก่ กระดูกแข้ง. บทว่าตา ได้แก่ แข้งเหล่านั้น. บทว่า ติลทณฺฑการิว ความว่า ได้เป็นเหมือนต้นงาแห้งที่ขาดเหลืออยู่ เพราะผอม เหตุมีเนื้อเหลือน้อย. อักษรทำการต่อบท.

    บทว่า ตูลปุณฺณสทิโสปมา ได้แก่ เสมือนรองเท้าที่พันด้วยปุยงิ้ว [นุ่น] เต็ม เพราะเป็นของอ่อนนุ่ม. เท้าทั้งสองของข้าพเจ้านั้น บัดนี้กระทบอะไรก็ปริแตก เกิดเป็นริ้วรอย.

    บทว่า เอทิโส แปลว่า เห็นปานนี้. ร่างกายได้มีได้เป็นประการตามที่กล่าวมาแล้ว. บทว่า อยํ สมุสฺสโย แปลว่า ร่างกายของข้าพเจ้านี้. บทว่า ชชฺชโร ได้แก่ ผูกไว้หย่อนๆ . บทว่า พหุทุกฺขานมาลโย ได้แก่ เป็นที่อยู่ของทุกข์ทั้งหลายเป็นอันมาก ซึ่งมีชราเป็นต้นเป็นเหตุ. บทว่าโสปเลปปติโต ความว่า ร่างกายนี้นั้น ตกไปจากเครื่องลูบไล้ ตกไปเพราะสิ้นเครื่องปรุงแต่งลูบไล้ มีแต่บ่ายหน้าตกไป อีกอย่างหนึ่ง แจกบทว่า โสปิอเลปปติโต ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน. บทว่า ชราฆโร ได้แก่ ก็เป็น

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 367

เสมือนเรือนคร่ำคร่า อีกอย่างหนึ่ง ได้เป็นเรือนของชรา. เพราะฉะนั้นพระดำรัสของพระศาสดาของข้าพเจ้า จึงเป็นสัจวาจาของพระผู้ทรงเป็นสัจวาที ชื่อว่า ตรัสแต่ความจริง เพราะทรงทราบสภาวะตามเป็นจริงของธรรมทั้งหลายโดยชอบนั่นเทียว จึงตรัส คือเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หากลายเป็นอย่างอื่นไปไม่.

    พระเถรีนี้ พิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุข คือการกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพตนนั้น ตามแนวอนิจจลักษณะนั้น ขมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ ก็บรรลุพระอรหัต โดยลำดับมรรค.

    ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่าพระอัมพปาลีเถรี เปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนา อปทาน (๑) ของท่านว่า

    ข้าพเจ้าเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีของพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามดังมาลัยประดับศีรษะ ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วมีใจเลื่อมใส ถวายมหาทานแล้วปรารถนารูปสมบัติ นับแต่กัปนี้ไป ๓๑ กัป พระชินเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นนายกเลิศของโลก ทรงส่องโลกให้สว่าง ทรงเป็นสรณะของ ๓ โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้นข้าพเจ้าเกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอมรปุระที่น่ารื่นรมย์ โกรธ


    ๑. ขุ. ๓๓/ข้อ ๑๗๙ อัมพปาลีเถรีอปทาน.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 368

ขึ้นมาก็ด่าภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว [อริยุปวาท] ว่าท่านเป็นหญิงแพศยาประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายศาสนาของพระชินเจ้า ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตกนรกอันร้ายกาจ เพียบพร้อมด้วยทุกข์ใหญ่หลวงเพราะบาปกรรมนั้น จุติจากนรกนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ มีลามกธรรมทำให้เดือดร้อน ครองความเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงที่หกหมื่นปี ก็ยังไม่หลุดพ้นจากบาปอันนั้น เหมือนอย่างกลืนพิษร้ายเข้าไป ข้าพเจ้าเสพเพศพรหมจรรย์ [บวชเป็นภิกษุณี] ในศาสนาพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ด้วยผลแห่งบุญนั้น ข้าพเจ้าก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์] เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ ที่ระหว่างกิ่งมะม่วงด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัมพปาลี ข้าพเจ้าอันหมู่สัตว์นับโกฏิห้อมล้อมแล้ว ก็บวชในศาสนาของพระชินเจ้า บรรลุฐานะอันมั่นคงไม่สั่นคลอน เป็นธิดาเกิดแต่พระอุระของพระผู้เป็นพุทธะ ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในฤทธิ์ทั้งหลาย ในความหมดจดแห่งโสตธาตุ [หูทิพย์] เป็นผู้เชี่ยวชาญเจโตปริยญาณ [รู้ใจผู้อื่น] ข้าพเจ้ารู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในภพก่อนๆ [ระลึกชาติได้] ชำระทิพยจักษุหมดจด [ตาทิพย์] หมดสิ้นอาสวะทุกอย่าง [อาสวักขยญาณ]

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 369

บัดนี้จึงไม่มีภพใหม่ [ไม่ต้องเกิดอีก] ข้าพเจ้ามีญาณสะอาดหมดจด ในอรรถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา และปฏิภาณปฏิสัมภิทาเพราะอำนาจของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ภพทุกภพข้าพเจ้าก็ถอนเสียแล้ว ข้าพเจ้าตัดพันธะเหมือนกะช้างตัดเชือก ไม่มีอาสวะ อยู่ในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าก็มาดีแล้ว. วิชชา ๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธะ ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว ปฏิสัมภิทา ๔วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้ากระทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.

    ก็พระอัมพปาลีเถรี ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็พิจารณาทบทวนข้อปฏิบัติของตนแเล้ว ก็เอื้อนเอ่ยคาถาเหล่านั้นเป็นอุทานแล.

    จบ อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา