พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. วัฑฒมาตาเถรีคาถา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 พ.ย. 2564
หมายเลข  40745
อ่าน  313

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 293

เถรีคาถา นวกนิบาต

๑. วัฑฒมาตาเถรีคาถา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 293

นวกนิบาต

๑. วัฑฒมาตาเถรีคาถา

[๔๖๓] พระวัฑฒมาตาเถรีกล่าวกะพระวัฑฒเถระผู้เป็นบุตรว่า

พ่อวัฑฒะ ตัณหาความอยากในโลก อย่าได้มีแก่พ่อไม่ว่าในกาลไหนๆ เลย พ่ออย่าเป็นภาคีมีส่วนแห่งทุกข์บ่อยๆ เลยนะพ่อ.

พ่อวัฑฒะ พระมุนีทั้งหลาย ไม่มีตัณหา ตัดความสงสัยได้ เป็นผู้เยือกเย็น ถึงความฝึกฝนไม่มีอาสวะ อยู่เป็นสุข.

พ่อวัฑฒะพ่อจงพอกพูนมรรค ทางที่ท่านผู้แสวงคุณเหล่านั้นประพฤติกันมาแล้ว เพื่อบรรลุทัศนะ เพื่อทำที่สุดทุกข์.

พระวัฑฒเถระกล่าวว่า

โยมมารดาบังเกิดเกล้า กล้ากล่าวความนี้แก่ลูกโยมมารดา ลูกเข้าใจว่า ตัณหาของโยมมารดาคงไม่มีแน่ละ.

พระเถรีกล่าวว่า

พ่อวัฑฒะ สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง มีทั้ง ต่ำสูง กลาง ตัณหาของแม่ในสังขารเหล่านั้น อณูหนึ่งก็ดี ขนาดเท่าอณูหนึ่งก็ดี ไม่มีเลย.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 294

    แม่ผู้ไม่ประมาท เพ่งฌานอยู่ สิ้นอาสวะหมดแล้ว วิชชา ๓ ก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระศาสดาก็กระทำเสร็จแล้ว.

พระวัฑฒเถระกล่าวว่า

    โยมมารดา มอบปะฏักอันโอฬารแก่ลูกแล้วหนอคือคาถาที่ประกอบด้วยปรมัตถ์ เหมือนคาถาอนุเคราะห์.

    ลูกฟังคำสอนของโยมมารดาบังเกิดเกล้าก็ถึงความสลดใจในธรรม เพื่อบรรลุธรรมอันเกษมปลอดโปร่งจากโยคะกิเลส.

    ลูกนั้น มีจิตเด็ดเดี่ยวด้วยความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน อันโยมมารดาเตือนแล้ว ก็สงบ สัมผัสสันติอันยอดเยี่ยม.

    จบ วัฑฒมาตาเถรีคาถา

    จบ นวกนิบาต

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 295

อรรถกถานวกนิบาต

๑. วัฑฒมาตุเถรีคาถา (๑)

    ใน นวกนิบาต คาถาว่า มา สุ เต วฑฺฒ โลกมฺหิ เป็นต้นเป็นคาถาของ พระวัฑฒมาตุเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

    พระเถรีแม้รูปนี้ ก็บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ มีสัมภารธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์ซึ่งรวบรวมมาตามลำดับ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในเรือนสกุลในภารุกัจฉนคร เจริญวัยแล้วก็มีสามี คลอดบุตรคนหนึ่ง บุตรนั้นมีชื่อว่าวัฑฒะ นับตั้งแต่นั้น เขาก็เรียกนางว่าวัฑฒมาตา นางฟังธรรมในสำนักภิกษุณี เกิดศรัทธา ก็มอบบุตรแก่พวกญาติ แล้วก็อยู่อาศัยสำนักภิกษุณีเรื่องมาในบาลีเท่านั้น ส่วนพระวัฑฒเถระบุตรของตน ที่รีบร้อนเข้ามาเยี่ยมตนในสำนักภิกษุณีแต่ลำพัง พระเถรีนี้ก็ตักเตือนว่า เหตุไรเจ้าจึงรีบร้อนมาในที่นี้แต่ลำพัง เมื่อจะสั่งสอนจึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

    พ่อวัฑฒะ ตัณหาความอยาก อย่าได้มีแก่พ่อไม่ว่าในกาลไหนๆ เลย ลูกเอ๋ย พ่ออย่าได้เป็นภาคีมีส่วนแห่งทุกข์บ่อยๆ เลยนะพ่อ.

    พ่อวัฑฒะ พระมุนีทั้งหลาย ไม่มีตัณหาตัดความสงสัยได้ เป็นผู้เยือกเย็น ถึงความฝึกฝน ไม่มีอาสวะอยู่เป็นสุข.


    ๑. บาลีเป็น วัฑฒมาตาเถรี

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 296

พ่อวัฑฒะ พ่อจงพอกพูนมรรค ทางที่ท่านผู้แสวงคุณเหล่านั้นประพฤติกันมาแล้วเพื่อบรรลุทัศนะ เพื่อทำที่สุดทุกข์.

บรรดาบทเหล่านั้น ในคำว่า มา สุ เต วฑฺฒ โลกมฺหิวนโถ อหุ กุทาจนํ คำว่า สุ เป็นเพียงนิบาต. ลูกวัฑฒะ ตัณหาความอยาก ในสัตว์โลก และสังขารโลก แม้ทั้งหมด อย่าได้มี อย่าได้เป็นแก่ลูก แม้ในกาลไรๆ เลย ในข้อนั้น พระเถรีกล่าวเหตุว่า ลูกเอ๋ย พ่ออย่ามีส่วนแห่งทุกข์มีการเกิดไปๆ มาๆ เป็นต้นบ่อยๆ คือเมื่อยังตัดตัณหา ความอยาก ไม่ขาด ก็อย่าเป็นภาคีมีส่วนแห่งทุกข์ มีการเกิดไปๆ มาๆ เป็นต้นบ่อยๆ ซึ่งมีตัณหานั้นเป็นนิมิต พระเถรีครั้นแสดงโทษในการตัดกิเลสไม่ได้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงอานิสงส์ในการตัดกิเลสได้ จึงกล่าวว่า สุขํหิ วฑฺฒ เป็นต้น คำนั้นมีความว่า ลูกวัฑฒะ ท่านที่ชื่อว่ามุนี เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยโมเนยยธรรม ชื่อว่า อเนชา เพราะไม่มีตัณหาที่ชื่อว่าเอชาชื่อว่า ตัดความสงสัยได้ เพราะละความสงสัยได้ด้วยโสดาปัตติมรรค ชื่อว่าเยือกเย็น เพราะไม่มีความเร่าร้อนด้วยกิเลสทั้งปวง ชื่อว่าถึงความฝึกฝนเพราะบรรลุความฝึกฝนอันยอดเยี่ยมไม่มีอาสวะ คือสิ้นอาสวะแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัดนี้ ทุกข์ทางใจของท่านเหล่านั้นไม่มี ต่อไปทุกข์แม้ทุกอย่างก็จักไม่มีกันเลย.

เพราะเหตุที่เป็นอย่างนี้แหละ ฉะนั้น พระเถรีจึงกล่าวว่า เตหา-นุจิณฺณํ อิสีหิ ฯลฯ อนุพฺรูหย ความว่า พ่อวัฑฒะ พ่อจงพอกพูนพึงจำเริญมรรค คือสมถวิปัสสนา ที่พระขีณาสพ ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านั้น ประพฤติตามๆ กัน คือปฏิบัติกันมาแล้ว เพื่อบรรลุ ญาณทัศนะ เพื่อทำที่สุดทุกข์ในวัฏฏะ แม้ทั้งหมด.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 297

พระวัฑฒเถระฟังคำมารดานั้น แล้วคิดว่า โยมมารดาของเรา คงตั้งอยู่ในพระอรหัตแน่แล้ว เมื่อจะประกาศความข้อนั้น จึงกล่าวคาถาว่า

โยมมารดาบังเกิดเกล้ากล้ากล่าวความนี้แก่ลูกโยมมารดา ลูกเข้าใจว่า ตัณหาของโยนมารดาคงไม่มีแน่ละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสารทา ว ภณสิ เอตมตฺถํ ชเนตฺติเม ความว่า ท่านโยมมารดาบังเกิดเกล้ากล่าวความนี้ คือโอวาทนี้ว่า ลูกวัฑฒะตัณหา ความอยาก ในโลก อย่าได้มีแก่ลูก ไม่ว่าในกาลไหนๆ เลย ดังนี้โยมมารดาเป็นผู้ปราศจากความขลาดกลัว ไม่ติดไม่ข้องในอารมณ์ไหนๆ กล่าวแก่ลูก ท่านโยมมารดา เพราะฉะนั้น ลูกจึงเข้าใจว่า ตัณหาของโยมมารดาคงไม่มีแน่ละ อธิบายว่า ท่านโยมมารดา คือท่านโยมมารดาของลูก ลูกเข้าใจว่า ตัณหาแม้เพียงความรักระหว่างครอบครัวของโยมมารดา คงไม่มีในตัวลูก อธิบายว่า ตัณหาที่ยึดถือว่าของเราไม่มี.

พระเถรีฟังคำบุตรนั้นแล้ว กล่าวว่ากิเลสแม้เพียงเล็กน้อย ไม่มีในอารมณ์ไหนๆ ของแม่เลย ดังนี้ เมื่อจะประกาศความที่ตนทำกิจเสร็จแล้วจึงกล่าว ๒ คาถา ดังนี้ว่า

พ่อวัฑฒะ สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง มีทั้ง ต่ำสูง กลาง ตัณหาของแม่ในสังขารเหล่านั้น อณูหนึ่งก็ดี ขนาดอณูหนึ่งก็ดี ไม่มีเลย.

แม่ผู้ไม่ประมาท เพ่งฌานอยู่ สิ้นอาสวะหมดแล้ว วิชชา ๓ ก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระศาสดาก็กระทำเสร็จแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เกจิ เป็นคำกล่าวความไม่มีกำหนด.บทว่า สงฺขารา ได้แก่สังขตธรรม. บทว่า หีนา ได้แก่ ต่ำ น่ารังเกียจ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 298

บทว่า อุกฺกุฏฺมชฺณิมา ได้แก่ ประณีตและปานกลาง บรรดาสังขาร ๓นั้น สังขารที่ชรามรณะปรุงแต่ง ชื่อว่า ชั้นกลาง อีกนัยหนึ่ง สังขารที่ฉันทะเป็นต้นอย่างเลวทำให้เกิด ชื่อว่า ชั้นต่ำ. ที่ฉันทะเป็นต้นอย่างกลางทำให้เกิด ชื่อว่า ชั้นกลาง, ที่ฉันทะเป็นต้นอย่างประณีตทำให้เกิด ชื่อว่า ชั้นสูง.อีกนัยหนึ่ง อกุศลธรรม ชื่อว่า ชั้นต่ำ, โลกุตรธรรม ชื่อว่า ชั้นสูง, นอกนี้ชื่อว่า ชั้นกลาง. บทว่า อณูปิ อณุมตฺโตปิ ความว่า มิใช่แต่ตัณหาในตัวลูกอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ สังขารทุกอย่าง ต่างโดยชั้นต่ำเป็นตัณหาของแม่ในสังขารเหล่านั้นทั้งหมด อณูหนึ่งก็ดี ขนาดเท่าอณูหนึ่งก็ดี เล็กอย่างยิ่งก็ดีไม่มีเลย.

พระเถรีกล่าวเหตุในข้อนั้นว่า แม่ผู้ไม่ประมาทเพ่งฌานอยู่ ก็สิ้นอาสวะหมดทุกอย่าง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมตฺตสฺส ฌายโตได้แก่ ผู้ไม่ประมาทเพ่งฌานอยู่ คำนี้ท่านกล่าวไว้เป็นลิงควิปัลลาส ในคำนั้นประกอบความว่า เพราะเหตุที่วิชชา ๓ แม่บรรลุแล้ว ฉะนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงชื่อว่า แม่ทำเสร็จแล้ว เพราะเหตุที่แม่ไม่ประมาทเพ่งฌานฉะนั้น อาสวะของแม่จึงหมดสิ้นไป ตัณหาของแม่อณูหนึ่งก็ดี ขนาดเท่าอณูหนึ่งก็ดี จึงไม่มีเลย.

พระเถระกระทำโอวาทที่พระเถรีกล่าวแล้วให้เป็นดังขอช้าง [คอยสับตน] เกิดความสลดใจ ก็ไปพระวิหารนั่งในที่พักกลางวัน เจริญวิปัสสนาแล้วก็บรรลุพระอรหัต พิจารณาถึงการปฏิบัติของตน เกิดโสมนัส ก็ไปยังสำนักของโยมมารดา เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตจึงกล่าว ๓ คาถา ดังนี้ว่า

โยมมารดา มอบปฏักอันโอฬารแก่ลูกแล้วหนอคือคาถาที่ประกอบด้วยปรมัตถ์ เหมือนคาถาอนุเคราะห์.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 299

    ลูกฟังคำสอนของโยมมารดาบังเกิดเกล้า ก็ถึงความสลดใจในธรรม เพื่อบรรลุธรรมเกษมปลอดโปร่งจากโยคะกิเลส.

    ลูกนั้น มีจิตเด็ดเดี่ยวด้วยความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน อันโยมมารดาเตือนแล้ว ก็สงบ สัมผัสสันติอันยอดเยี่ยม.

    ครั้งนั้น พระเถรีครั้นทำถ้อยคำของตนให้เป็นประดุจขอช้าง [สับบุตรของตน] แล้ว มีจิตอันการบรรลุพระอรหัตของบุตรให้ยินดีแล้ว ก็กล่าวซ้ำคาถาที่บุตรนั้นกล่าวแล้วด้วยตนเอง คาถาแม้เหล่านั้นจึงกลายเป็นเถรีคาถาด้วยประการอย่างนี้.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุฬารํ ได้แก่ ไพบูลย์คือใหญ่ บทว่าปโตทํ ได้แก่ปฏักคือโอวาท. บทว่า สมวสฺสริ ประกอบความว่า ให้เป็นไปโดยชอบแล้วหนอ ถ้าจะถามว่าปฏักนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวว่าคือคาถาที่ประกอบด้วยปรมัตถ์. พระเถระกล่าวหมายถึงว่า มา สุเต วฑฺฒ โลกมฺหิ เป็นต้น. บทว่า ยถาปิ อนุกมฺปิกา ความว่า โยมมารดาของลูก ประกาศปฏัก คือท่อนไม้คอยไล่ต้อนอันโอฬาร กล่าวคือคาถาชี้แจงถึงความเป็นไปและถอยกลับ ซึ่งปลุกใจด้วยกำลังญาณแก่ลูก เหมือนคาถาที่อนุเคราะห์แม้อย่างอื่น ฉะนั้น.

    บทว่า ธมฺมสํเวคมาปาทึ ได้แก่ ถึงความกลัว ความสลดใจ อย่างยิ่งใหญ่ เพราะนำมาซึ่งภัยด้วยญาณ.

    บทว่า ปธานปหิตตฺโต ได้แก่มีจิตมุ่งมั่นพระนิพพาน ด้วยการประกอบสัมมัปปธาน ๔. อย่าง. บทว่า อผุสึ สนฺตึมุตฺตมํ ความว่า สัมผัสคือบรรลุสันติอันยอดเยี่ยม คือพระนิพพาน.

    จบ อรรถกถาวัฑฒมาตุเถรีคาถา

    จบ อรรถกถานวกนิบาต