พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. สีสูปจาลาเถรีคาถา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 พ.ย. 2564
หมายเลข  40744
อ่าน  304

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 287

เถรีคาถา อัฏฐกนิบาต

๑. สีสูปจาลาเถรีคาถา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 287

อัฏฐกนิบาต

๑. สีสูปจาลาเถรีคาถา

[๔๖๒] พระสีสูปจาลาเถรี กล่าวคาถาเป็นอุทานว่า

ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี สมบูรณ์ด้วยศีล สำรวมดีแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย บรรลุสันตบทที่ใครๆ ทำให้เสียหายมิได้ มีโอชารส.

มารผู้มีบาปกล่าวว่า

แม่นางจงตั้งจิตปรารถนาไว้ในหมู่เทพชั้น ดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ที่แม่นางเคยอยู่มาแล้วแต่ก่อนเถิด.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 288

พระสีสูปจาลาเถรีกล่าวว่า

    เทวดาชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนินมานรดี ชั้นปรนิมิตวสวัตดี พากันไปจากภพสู่ภพ ทุกๆ กาล นำหน้าอยู่แต่ในสักกายะ ล่วงสักกายะไปไม่ได้ ก็แล่นไปหาชาติและมรณะ โลกทั้งปวงถูกไฟไหม้ลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง โลกทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ที่ไม่หวั่นไหว ชั่งไม่ได้ อันปุถุชนเสพไม่ได้โปรดข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ายินดีนักในธรรมนั้น ข้าพเจ้าฟังคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา วิชชา๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวงได้แล้ว ทำลายกองแห่งความมืดได้แล้วดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ดูก่อนมารผู้กระทำที่สุด ถึงตัวท่านข้าพเจ้าก็กำจัดได้แล้ว.

    จบ สีสูปจาลาเถรีคาถา

    จบ อัฏฐกนิบาต

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 289

อรรถกถาอัฏฐกนิบาต

๑. อรรถกถาสีสูปจาลาเถรีคาถา

    ใน อัฏฐกนิบาต คาถาว่า ภิกฺขุนี สีลสมฺปนฺนา เป็นต้น เป็นคาถาของพระสีสูปจาลาเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

    เรื่องของพระสีสูปจาลาเถรีแม้นั้น กล่าวไว้แล้วในเรื่องของพระจาลาเถรี ก็พระสีสูปจาลาเถรีแม้นี้ ทราบว่าท่านพระธรรมเสนาบดีบวชแล้ว ก็เกิดความอุตสาหะขึ้นเอง บวชแล้ว ทำบุพกิจเสร็จ เข้าไปตั้งวิปัสสนาพากเพียรพยายามอยู่ ไม่นานก็บรรลุพระอรหัต ครั้นบรรลุแล้ว อยู่ด้วยสุขในผลสมาบัติ วันหนึ่ง พิจารณาการปฏิบัติของตนเกิดโสมนัส ก็กล่าวคาถาเป็นอุทานว่า

    ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณีผู้สมบูรณ์ด้วยศีล สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลาย ได้บรรลุสันตบท อันใครๆ ให้เสียหายมิได้ มีโอชารส.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลสมฺปนฺนา ได้แก่ ประกอบบริบูรณ์ด้วยศีลภิกษุณี ที่บริสุทธิ์. บาทคาถาว่า อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตา ได้แก่สำรวมดีแล้วในอินทรีย์ทั้งหลายมีใจเป็นที่ ๖ คือเป็นผู้ละราคะในอิฏฐารมณ์มีรูปเป็นต้น ละโทสะในอนิฏฐารมณ์ และละโมหะในการเพ่งอารมณ์ที่ไม่สม่ำเสมอชื่อว่าปิดอินทรีย์ด้วยดีแล้ว. บาทคาถาว่า อเสจนกโมชวํ ได้แก่ อริยมรรคหรือนิพพาน ซึ่งเป็นโอสถระงับโรคคือกิเลส แม้ทั้งหมด. ความจริงแม้อริยมรรคควรกล่าวว่าสันตบท เพราะผู้ต้องการนิพพานพึงปฏิบัติ และเพราะไม่มีความเร่าร้อนด้วยกิเลส มารประสงค์จะให้พระเถรีเคลื่อนจากสมาบัติโดย

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 290

ส่งไปในกามาวจรสวรรค์ว่า แม่นางจงเกิดความรักใคร่ใยดีในกามาวจรสวรรค์เถิด จึงกล่าวคาถานี้ว่า

    แม่นางจงตั้งจิตปรารถนาไว้ในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นวสวัตดี ที่แม่นางเคยอยู่มาแล้วแต่ก่อนเถิด.

    สถานที่ๆ ชน ๓๓ คนทำบุญร่วมกันเกิดแล้ว ชื่อว่าดาวดึงส์ ผู้ที่เกิดในชั้นดาวดึงส์นั้นแม้ทั้งหมด ชื่อเทพบุตรชันดาวดึงส์. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า คำว่าดาวดึงส์เป็นเพียงชื่อของเทวดาเหล่านั้นเท่านั้น. ชื่อว่าชั้นยามาเพราะเข้าถึงทิพยสุขพิเศษกว่าเทวโลกทั้งสอง. ชื่อว่าดุสิตเพราะยินดีร่าเริงอยู่ด้วยทิพยสมบัติ ชื่อว่าชั้นนิมมานรดีเพราะเนรมิตโภคะทั้งหลายได้ตามชอบใจ ในเวลาที่ต้องการจะยินดีเกินกว่าอารมณ์ที่จัดไว้ตามปกติ. ชื่อว่าปรนิมมิตวสวัตดีเพราะใช้อำนาจให้เป็นไปในโภคะทั้งหลาย ที่ผู้อื่นรู้ความชอบใจเนรมิตให้.บาทคาถาว่า ตตฺถ จิตฺตํ ปณิเธหิ ความว่า แม่นางจงตั้งจิตของแม่นาง คือจงทำความใคร่เพื่อเกิดในหมู่เทวดามีชั้นดาวดึงส์เป็นต้นนั้น ท่านกล่าวเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นต้นไว้ด้วยประสงค์ว่า โภคสมบัติของเทพชั้นจาตุมมหาราชิกาเลวกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์นอกนี้. บาทคาถาว่า ยตฺถ เต วุสิตํ ปุเร ได้แก่ในหมู่เทวดาที่แม่นางเคยอยู่มาก่อน ได้ยินว่า พระสีสูปจาลาเถรีนี้ เกิดอยู่ในเทวดาทั้งหลายก่อน ได้ชำระทางสวรรค์ชั้นกามาวจร ๕ ชั้นตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ลงมาอยู่ชั้นต่ำอีก ตั้งอยู่ในชั้นดุสิต จุติจากชั้นนั้นแล้ว ไปบังเกิดในมนุษย์ในปัจจุบัน.

    พระเถรีได้ฟังคำนั้น แสดงความตนมีใจกลับออกไปจากกามและจากโลกว่า มารเอย หยุดเกิด โลกกามาวจรที่ท่านว่า โลกอื่นๆ ก็ถูกไฟคือ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 291

ราคะเป็นต้นไหม้ลุกโชนไปหมด จิตของวิญญูชน ย่อมไม่ยินดีในโลกนั้นเลย เมื่อขู่มารนั้น ได้กล่าวคาถาเหล่านั้นว่า

    เทวดาชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นวสวัตดี พากันไปจากภพเข้าสู่ภพทุกๆ กาล นำหน้าอยู่แต่ในสักกายะ ล่วงสักกายะไปไม่ได้ก็แล่นไปหาชาติและมรณะ โลกทั้งปวงลูกไฟไหม้ลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง โลกทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมอันเป็นธรรมไม่หวั่นไหว ชั่งไม่ได้ เป็นธรรมอันปุถุชนเสพไม่ได้โปรดข้าพเจ้า ใจของข้าพเจ้ายินดีนักในธรรมนั้น ข้าพเจ้าได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา วิชชา ๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว ข้าพเจ้ากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวงได้แล้ว ทำลายกองแห่งความมืดได้แล้ว ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้อย่างนี้เถิดว่า ตัวท่านข้าพเจ้าก็กำจัดได้แล้ว.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลํ กาลํ ได้แก่ ตลอดกาลนั้นๆ .บทว่า ภวาภวํ ได้แก่ จากภพสู่ภพ. สกฺกายสฺมึ ได้แก่ เบญจขันธ์ บทว่าปุรกฺขตา แปลว่า ทำไว้ข้างหน้า ท่านอธิบายว่า มารเอย เทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นต้นที่ท่านกล่าวเมื่อไปจากภพสู่ภพก็ดำรงอยู่ในสักกายะของตนอันอากูลด้วยโทษหลายอย่างมีความไม่เที่ยงเป็นต้น เพราะฉะนั้น เทวดาจึงเอาสักกายะนำหน้า ในกาลนั้นๆ คือในเวลาเกิด ในเวลาท่ามกลาง ในเวลาที่สุด ดำรงอยู่ในภพนั้น จากนั้นไปก็ไม่ล่วงพ้นสักกายะ ไม่มุ่งหน้าออกจากทุกข์ วิ่งไปตาม

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 292

ฝั่งสักกายะเท่านั้น ชื่อว่าแล่นไปหาชาติและมรณะ เพราะถูกราคะเป็นต้นติดตามแล้ว ย่อมแล่นไปหาชาติและมรณะอยู่ร่ำไป ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากชาติความเกิดและมรณะความตายนั้นได้.

บาทคาถาว่า สพฺโพ อาทีปิโต โลโก ความว่า มารเอย โลกชั้นกามาวจรที่ท่านว่า ที่เข้าใจกันว่าธาตุสาม อย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ โลกแม้ทั้งหมด ไหม้แล้วด้วยไฟ ๑๑ กอง มีไฟคือราคะเป็นต้น. ชื่อว่าลุกเพราะถูกไฟไหม้ลุกอยู่บ่อยๆ ชื่อว่าโพลง เพราะลุกโพลงเป็นอันเดียวกันชั่วนิรันดร์ชื่อว่าหวั่นไหวเพราะหวั่นไหว คือเคลื่อนไปทางโน้นและทางนี้ด้วยตัณหาและด้วยกิเลสทุกอย่าง.

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า มีพระทัยอันพระมหากรุณาทรงตักเตือนแล้วได้ทรงแสดงโลกุตรธรรม ๙ อย่าง ต่างด้วยมรรคผลและนิพพาน ชื่อว่าเป็นธรรมไม่หวั่นไหวเพราะใครๆ ไม่สามารถให้หวั่นไหวคือเคลื่อนไหวได้ในโลกที่ถูกไฟไหม้ ลุกโพลงและหวั่นไหวแล้วอย่างนี้. ชื่อว่าชั่งไม่ได้ เพราะไม่มีผู้เสมือนพระองค์ เหตุที่ใครๆ ไม่สามารถจะชั่งได้โดยพระคุณว่า ประมาณเท่านี้. ชื่อว่าเป็นธรรมอันปุถุชนเสพไม่ได้ เพราะพระอริยะมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเสพแล้ว เหตุดำเนินอยู่ในภาวนาเป็นอารมณ์คือได้ตรัสประกาศแล้วแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก. ใจของเรายินดียิ่งนักในอริยธรรมนั้น อธิบายว่าไม่กลับไปจากอริยธรรมนั้น คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.

จบ อรถกถาสีสูปจาลาเถรีคาถา

จบ อรรถกถาอัฏฐกนิบาต