พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. สีหสูตร ว่าด้วยพระตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก

 
บ้านธัมมะ
วันที่  23 ต.ค. 2564
หมายเลข  38823
อ่าน  313

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 119

ปฐมปัณณาสก์

จักกวรรคที่ ๔

๓. สีหสูตร

ว่าด้วยพระตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก

อรรถกถา สีหสูตร 121

สัตว์ที่มีความกล้าดุจราชสีห์มีช้างอาชาไนยฯ 123


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 119

๓. สีหสูตร

ว่าด้วยพระตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก

[๓๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราชสีห์ออกจากที่อาศัยในเวลาเย็น สลัดกายแล้ว มองไปรอบทั้ง ๔ ทิศ แผดเสียงขึ้น ๓ ครั้ง แล้ว จึงออกไปหาเหยื่อ ฝ่ายเหล่าสัตว์เดียรัจฉานได้ยินเสียงแผดของราชสีห์ โดยมากย่อมบังเกิดความกลัว สยอง หวาดสะดุ้ง จำพวก (พิลาสัย) อยู่ในปล่องในโพรง ก็เข้าปล่องเข้าโพรง จำพวก (อุทกาสัย) อยู่ในน้ำ ก็ลงน้ำ จำพวก (วนาสัย) อยู่ในป่าในรก ก็เข้าป่าเข้ารก จำพวก (ปักษี) มีปีกก็บินขึ้นอากาศ แม้แต่ช้างหลวงที่เขาผูกไว้ด้วยเชือกหนังอันเหนียวแน่น ในคามนิคมและราชธานีทั้งหลาย ก็กระชากเครื่องผูกยับเยิน กลัวจนมูตรคูถไหล วิ่งเตลิดไปไม่รู้ว่า

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 120

ทางไหนต่อทางไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราชสีห์มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพยิ่งใหญ่มากกว่าบรรดาสัตว์เดียรัจฉานอย่างนี้ฉันใด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันเดียวกันนั่นแหละ เมื่อตถาคตเกิดขึ้นในโลก เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ฯลฯ แสดงธรรมว่า สักกายะเป็นอย่างนี้ สักกายสมุทัยเป็นอย่างนี้ สักกายนิโรธเป็นอย่างนี้ สักกายนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นอย่างนี้ แม้แต่เทวดาทั้งหลายที่อายุยืน ผิวพรรณงาม มีความสุขมาก สถิตอยู่ตลอดกาลนานในวิมานอันสูง ได้ฟังธรรมเทศนาของตถาคตแล้ว โดยมากย่อมบังเกิดความพรั่นใจ ความสังเวชใจ ความสะดุ้ง ได้สำนึกว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ชาวเรานี่ไม่เที่ยงแท้หนอ อย่าได้สำคัญตัวว่าเป็น ผู้เที่ยงแท้ พวกเราไม่คงทนหนอ อย่าได้สำคัญตนว่าเป็นผู้คงทน พวกเราไม่ยั่งยืนหนอ อย่าได้สำคัญตัวว่าเป็นผู้ยั่งยืน ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านว่าชาวเรานี่ไม่เที่ยงแท้ ไม่คงทน ไม่ยั่งยืน (ที่แท้ก็) นับเนื่องอยู่ในสักกายะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้แล เป็นผู้มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าชาวโลกกับทั้งเทวโลก ด้วยประการอย่างนี้แล

เมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาหาบุคคลเปรียบมิได้ ทรงประกาศพระธรรมจักร คือ สักกายะ เหตุเกิดแห่งสักกายะ สักกายนิโรธและอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็น ทางแห่งความสงบทุกข์ แก่ชาวโลกกับทั้งเทวโลก แม้แต่ทวยเทพผู้อายุยืน ผิวพรรณงาม มียศ ได้ฟังคำของพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้พ้นอย่างวิเศษแล้ว ผู้คงที่แล้ว

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 121

ก็พรั่นใจ บังเกิดความสะดุ้ง ว่าชาวเรานี่ ไม่เที่ยงแท้ ไม่ก้าวล่วงสักกายะ ดุจฝูงมฤคสามัญได้ยินเสียงแผดแห่งสีหะแล้ว สะดุ้งตื่นกลัว ฉะนั้น.

จบสีหสูตรที่ ๓

อรรถกถาสีหสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในสีหสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า สีโห ได้แก่ราชสีห์ ๔ ประเภทคือ ติณราชสีห์ ๑ กาฬราชสีห์ ๑ ปัณฑุราชสีห์ ๑ ไกรสรราชสีห์ ๑. ในราชสีห์เหล่านั้น ติณราชสีห์กินหญ้าเช่นกับแม่โคสีนกพิราบ. กาฬราชสีห์กินหญ้าเช่นกับแม่โคดำ. ปัณฑุราชสีห์กินเนื้อเช่นกับแม่โคมีสีใบไม้เหลือง. ไกรสรราชสีห์ประกอบด้วยหน้า ปลายหาง และปลายเท้าทั้ง ๔ ที่ธรรมชาติตกแต่งด้วยครั่ง ตั้งแต่ ศีรษะของไกรสรราชสีห์นั้น รอย ๓ รอยคล้ายเขาเขียนไว้ด้วยพู่กันครั่งไปตรงกลางหลัง เป็นขวัญอยู่ในระหว่างโคนขา. ส่วนที่คอของมันมีสร้อยคอคล้ายกับแวดวงไว้ด้วยผ้ากัมพลแดงมีค่านับแสน. ส่วนอวัยวะที่เหลือได้มีสีตัวดังก้อนข้าวสาลีล้วน หรือดังก้อนจุณแห่งหอยสังข์ ในราชสีห์ ๔ เหล่านี้ ท่านประสงค์ เอาไกรสรราชสีห์นี้ในที่นี้.

บทว่า มิคราชา ได้แก่ เป็นราชาแห่งฝูงเนื้อทั้งหมด. บทว่า อาสยา ได้แก่ ออกจากสถานที่อยู่. ท่านอธิบายว่า ย่อมออกจากถ้ำทอง หรือถ้ำเงิน ถ้ำแก้วมณี ถ้าแก้วผลึก หรือถ้ำมโนศิลา. ก็เมื่อจะออก ย่อม

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 122

ออกด้วยเหตุ ๔ คือ ถูกความมืดบีบคั้น ออกเพื่อแสงสว่าง ๑ ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ออกเพื่อถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ๑ ถูกความหิวบีบคั้น ออกเพื่อหาเหยื่อ ๑ ถูกความสืบพันธุ์บีบคั้น ออกเพื่อสมสู่กัน ๑. แต่ในที่นี้ท่านหมายเอาออก เพื่อหาเหยื่อ.

บทว่า วิชมฺภติ ความว่า ราชสีห์วางเท้าหลังทั้งสองให้เสมอกัน บนพื้นถ้ำทองหรือบนพื้นถ้ำเงิน ถ้าแก้วมณี ถ้าแก้วผลึก หรือถ้ำมโนศิลา อย่างใดอย่างหนึ่ง เหยียดเท้าหน้าไว้ตรงหน้า ชักส่วนหลังของตัว กระเถิบส่วนหน้า โน้มหลังลง ชูคอขึ้นสลัดธุลีที่ติดอยู่ที่ตัวสะบัดประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า. ส่วนธุลีย่อมปลิววนกันอยู่บนพื้นที่สลัดเหมือนลูกโครุ่น ส่วนธุลีนั้นที่ปลิวอยู่ ปรากฏคล้ายลูกไฟที่หมุนอยู่ในความมืด. บทว่า อนุวิโลเกติ ถามว่า เพราะเหตุไร ราชสีห์จึงเหลียวดู. ตอบว่า เพราะความเอ็นดูสัตว์อื่น. ได้ยินว่า เมื่อมันแผดเสียง สัตว์ทั้งหลายมีช้าง วัว ควายเป็นต้น เที่ยวอยู่ใกล้เหวและบ่อ ก็ตกไปในเหวบ้าง ในบ่อบ้าง มันจึงเหลียวดูก็เพราะความเอ็นดูสัตว์เหล่านั้น. ถามว่า ก็ราชสีห์ตัวดุร้ายที่กินเนื้อของสัตว์อื่นนั้น ยังมีความเอ็นดูอยู่หรือ. ตอบว่า มีอยู่. จริงอย่างนั้น มันย่อมไม่จับสัตว์เล็กๆ เพื่อเป็นอาหารของตน ด้วยคิดว่า ประโยชน์อะไรของเราด้วยสัตว์เป็นอันมากที่ถูกฆ่า ดังนี้. มันทำความเอ็นดูด้วยอาการอย่างนี้. ก็ข้อนั้นสมจริงดังท่านกล่าวว่า เราอย่าฆ่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในที่ไม่เรียบเสียเลย.

บทว่า สีหนาทํ นทติ ความว่า ครั้งแรก แผดเสียงที่สัตว์กลัว ขึ้น ๓ ครั้ง. ก็แลเมื่อมันยืนอยู่บนพื้นที่สะบัด แผดเสียงออก เสียงย่อมกึกก้อง เป็นอย่างเดียวกันโดยรอบตลอดเนื้อที่ ๓ โยชน์ ฝูงสัตว์ ๒ เท้า และ ๔ เท้า ที่อยู่ภายในสามโยชน์ ได้ยินเสียงกึกก้องของมันเข้า ย่อมยืนอยู่ในที่เดิมไม่ได้. บทว่า โคจราย ปกฺกมติ ได้แก่ ย่อมออกไปเพื่อหาเหยื่อ. ถามว่าอย่างไร?

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 123

ตอบว่า มันยืนบนพื้นที่สะบัด กระโดดไปข้างขวาที ข้างซ้ายที ข้างหลังที ย่อมวิ่งไปตลอดเนื้อที่ประมาณอุสภะหนึ่ง เมื่อกระโดดสูง กระโดดได้ ๔ อสภะบ้าง ๘ อสภะบ้าง เมื่อวิ่งตรงไปในที่เรียบ ก็วิ่งไปได้ตลอดเนื้อที่ ประมาณ ๑๖ อุสภะบ้าง ๒๐ อุสภะบ้าง. เมื่อวิ่งลงจากที่ดอนหรือภูเขา ก็วิ่ง ได้ตลอดเนื้อที่ประมาณ. ๖๐ อุสภะบ้าง ๘๐ อุสภะบ้าง เห็นต้นไม้หรือภูเขา ในระหว่างทาง ก็เลี่ยงต้นไม้หรือภูเขานั้น หลีกไปที่สูงประมาณหนึ่งอุสภะ ทางขวาบ้าง ทางซ้ายบ้าง. ก็ราชสีห์แผดเสียงครั้งที่ ๓ ย่อมปรากฏตัวในที่ สามโยชน์พร้อมกับเสียงนั้น มันไปได้สามโยชน์ กลับมายืนยังได้ยินเสียง กึกก้องของตนอยู่. ราชสีห์ ย่อมหลีกไปด้วยฝีเท้าอันเร็วอย่างนี้.

บทว่า เยภุยฺเยน แปลว่า โดยมาก. บทว่า ภยํ สนฺตาสํ สํเวคํ ทุกบท เป็นชื่อของความสะดุ้งแห่งจิตเหมือนกัน แท้จริงสัตว์และคน ได้ยินเสียงของราชสีห์ ส่วนมากกลัว ส่วนน้อยไม่กลัว ถามว่า ก็สัตว์และคนส่วนน้อยเหล่านั้นคือใคร? ตอบว่า คือ ราชสีห์ที่เสมอกัน ช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย โคอุสภอาชาไนย บุรุษอาชาไนย พระขีณาสพ. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร สัตว์และคนเหล่านั้นจึงไม่กลัว. ตอบว่า อันดับแรกราชสีห์ที่ เสมอกัน ย่อมไม่กลัวเพราะคิดว่า เราเสมอกันด้วยชาติ โคตรตระกูล และความกล้า. ช้างอาชาไนยเป็นต้น ไม่กลัวเพราะว่าตนมีสักกายทิฏฐิเป็นกำลัง พระขีณาสพ ไม่กลัว เพราะละสักกายทิฏฐิได้แล้ว บทว่า พลาสยา ได้แก่ สัตว์ที่นอนอยู่ในรู อยู่ในโพรง มีงู พังพอน และเหี้ยเป็นต้น. บทว่า อุทกาสยา ได้แก่ สัตว์อยู่ในน้ำมีปลาและเต่าเป็นต้น. บทว่า วนาสยา ได้แก่ สัตว์อยู่ในป่ามีช้าง ม้า วัว เนื้อเป็นต้น บทว่า ปวิสนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งหลายมองดูทางด้วยคิดว่า บัดนี้ ใครจักมาจับดังนี้ จึงเข้าไป. บทว่า ทฬฺเหหิ คือ อันเหนียวแน่น. บทว่า วรตฺเตหิ คือ ด้วยเชือกหนัง.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 124

ในบทว่า มหิทฺธิโก เป็นต้น พึงทราบว่า ความที่ราชสีห์มีฤทธิมากด้วยอำนาจ ยืนอยู่ที่พื้นที่สะบัดตัวกระโดดได้อุสภะหนึ่งทางข้างขวาเป็นต้น กระโดดตรงได้ประมาณ ๒๐ อุสภะเป็นต้น. พึงทราบความเป็นสัตว์มีศักดิ์ใหญ่ เพราะเป็นเจ้าเป็นใหญ่กว่ามฤคที่เหลือ. พึงทราบความที่ราชสีห์มีอานุภาพมาก ด้วยสามารถแห่งสัตว์ทั้งหลาย ได้ยินเสียงในที่สามโยชน์โดยรอบแล้ว ต้องพากันหนีไป.

บทว่า เอวเมวโข ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเล่าถึงพระองค์ ไว้ในพระสูตรนั้นๆ โดยประการนั้นๆ ตรัสถึงพระองค์เปรียบด้วยราชสีห์ในพระสูตรนี้ก่อนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คำว่า สีโห นั้นเป็นชื่อของตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดังนี้. เปรียบด้วยนายแพทย์ ในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อน สุนักขัตตะ คำว่า ภิสกฺโก สลฺลกนฺโต นั่นเป็นชื่อของตถาคต ดังนี้. เปรียบด้วยพราหมณ์ในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บทว่า พฺราหฺมโณ นั่นเป็นชื่อของตถาคตดังนี้. เปรียบด้วยคนผู้นำทางในพระสูตรนี้ว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ก็บทว่า ปุริโส มคฺคกุสโล นั่นเป็นชื่อของตถาคตดังนี้. เปรียบด้วยพระราชาในพระสูตรนี้ว่า ราชาหรสฺมิ เสลา ดังนี้. ส่วนในพระสูตรนี้ ตรัสพระองค์เปรียบด้วยราชสีห์ จึงตรัสอย่างนั้น.

ในข้อนี้ มีการเปรียบดังนี้ เวลาที่พระตถาคตบำเพ็ญอภินิหารใกล้บาทมูลของพระพุทธเจ้าทีปังกร ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ตลอดเวลากำหนดนับไม่ได้ ทำหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ด้วยการปฏิสนธิ และด้วยการประสูติจากครรภ์ของมารดา ในภพสุดท้าย ทรงเจริญวัยแล้ว เสวยสมบัติเช่นทิพยสมบัติ ประทับอยู่ในปราสาทสามหลัง พึงทราบเหมือนเวลาราชสีห์อยู่ในกาญจนคูหาถ้ำทองเป็นต้น. เวลาที่ตถาคตทรงม้ากันถกะ มีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จออกทางพระทวารเปิด ในเวลามีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ก้าวล่วงราชสมบัติทั้งสาม (ราชา ราชาธิราช จักรพรรดิราชา) เสียแล้ว ทรงครองผ้ากาสายะ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 125

อันพรหมถวาย ณ ฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงผนวชแล้ว ก็เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ ในวันที่ ๗ เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์นั้น ทรงทำภัตกิจ ณ เงื้อมภูเขาปัณฑวะ จนทรงถวายปฏิญญาแก่พระเจ้าพิมพิสารว่า ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะเสด็จมาแคว้นมคธก่อนแห่งอื่น พึงทราบเหมือนเวลา ราชสีห์ออกจากกาญจนคูหาเป็นต้น.

เวลาพระตถาคต ทรงถวายปฏิญญาแล้ว เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรเป็นต้น ไปจนเสวยก้อนข้าวปายาส ๔๙ ก้อน อันนางสุชาดาถวาย พึงทราบเหมือนเวลาราชสีห์สะบัดตัว.

การที่พระตถาคตทรงรับหญ้า (คา) ๘ กำ ที่พราหมณ์ชื่อโสตถิยะถวายในเวลาเย็น เทวดาในหมื่นจักรวาลชมเชยบูชาด้วยของหอมเป็นต้น ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์ ๓ ครั้ง แล้วเสด็จขึ้นโพธิมัณฑสถาน ทรงลาดเครื่องลาดคือหญ้าคา ณ ที่สูง ๑๔ ศอก ประทับนั่งอธิษฐาน ความเพียรมีองค์ ๔ ทรงกำจัดมารและพลมารในขณะนั้นนั่นเอง ทรงชำระวิชชา ๓ ในยามทั้ง ๓ ทรงกวนมหาสมุทร คือปฏิจจสมุปบาท ทั้งอนุโลมทั้งปฏิโลม ด้วยเครื่องกวน คือยมกญาณ พระญาณคู่ เมื่อทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว หมื่นโลกธาตุก็ไหว ด้วยอานุภาพพระสัพพัญญุตญาณนั้น พึงทราบเหมือนการกำจัดธุลีในตัวของราชสีห์.

การที่พระตถาคตทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ประทับอยู่ ณ โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ เสวยข้าวมธุปายาสเป็นพระกระยาหาร ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหาพรหม ณ โคนอชปาลนิโครธ ประทับอยู่ ณ ที่นั้น ในวันที่ ๑๑ ทรงระลึกว่า พรุ่งนี้ ก็จักเป็นวันอาสาฬหปุรณมี ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงทราบว่า อาฬารดาบสและอุททกดาบสสิ้นชีพเสียแล้ว ก็ทรงเห็นภิกษุปัญจวัคคีย์สมควรรับพระธรรมเทศนาก่อน พึงเห็นเหมือนการเหลียวดู ๔ ทิศของราชสีห์.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 126

เวลาที่พระตถาคตทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์ เสด็จลุกจากต้นอชปาลนิโครธ เสด็จไปสิ้นทาง ๑๘ โยชน์ ภายหลังเสวยพระกระยาหาร ด้วยหมายพระหฤทัยจักประกาศธรรมจักรแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ พึงเห็นเหมือนเวลาราชสีห์ออกหาเหยื่อไปได้สามโยชน์.

เวลาพระตถาคตเสด็จไปสิ้นทาง ๑๘ โยชน์ ทรงทำภิกษุปัญจวัคคีย์ให้เข้าใจแล้ว ประทับนั่งเหนืออจลบัลลังก์ขัดสมาธิ อันหมู่เทพได้ประชุมพร้อมกัน หมื่นจักรวาลห้อมล้อมแล้วจึงประกาศพระธรรมจักร โดยนัยเป็นอาทิว่า อันตะส่วนสุด ๒ นี้ อันนักบวชไม่ควรเสพดังนี้ พึงทราบเหมือนเวลาราชสีห์แผดสีหนาท. ก็แลเมื่อตถาคตทรงแสดงพระธรรมจักรนี้ เสียงอุโฆษแห่งธรรมของราชสีห์คือพระตถาคต ก็ปกคลุมหมื่นโลกธาตุเบื้องต่ำ ถึงอเวจีเบื้องบนจดภวัคคพรหม. เวลาเมื่อพระตถาคตแสดงลักษณะ ๓ ตรัส ธรรมจำแนกสัจจะ ๔ พร้อมด้วยอาการ ๑๖ จนถึงพันนัย พวกเทวดาที่มีอายุยืนก็เกิดสะดุ้งด้วยญาณ พึงทราบเหมือนเวลาพวกสัตว์เล็กๆ สะดุ้ง เพราะเสียงของราชสีห์.

อีกนัยหนึ่ง พระตถาคตทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณก็เหมือนราชสีห์ เวลาที่เสด็จออกจากพระคันธกุฏี ก็เหมือนราชสีห์ออกจากถ้ำทองที่อยู่อาศัย เวลาเสด็จเข้าไปธรรมสภา ก็เหมือนราชสีห์สะบัดตัว การที่ทรงเหลียวดูบริษัท ก็เหมือนการเหลียวดูทิศ เวลาทรงแสดงธรรม ก็เหมือนการแผดสีหนาท การเสด็จไปบำราบลัทธิอื่น ก็เหมือนการออกหาเหยื่อ.

อีกนัยหนึ่ง พระตถาคตก็เหมือนราชสีห์ การออกจากผลสมาบัติที่อาศัยนิพพานโดยอารมณ์ ก็เหมือนการออกจากกาญจนคูหาที่อาศัยหิมวันตบรรพต ปัจจเวกขณญาณ ก็เหมือนการสะบัดตัว การตรวจดูเวไนยสัตว์ ก็เหมือนการเหลียวดูทิศ การแสดงธรรมแก่บริษัทที่มาถึงแล้ว ก็เหมือนการ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 127

แผดสีหนาท การเสด็จเข้าไปหาเวไนยสัตว์ที่ยังมาไม่ถึง พึงทราบเหมือนการ ออกไปหาเหยื่อ.

บทว่า ยทา แปลว่า ในกาลใด. บทว่า ตถาคโต ได้แก่ ชื่อว่า ตถาคต ด้วยเหตุ ๘ ที่กล่าวแล้วในหนหลัง. บทว่า โลเก คือในสัตวโลก. บทว่า อุปฺปชฺชติ ความว่า ตถาคตชื่อว่ากำลังเกิดขึ้น ตั้งแต่อภินิหารบำเพ็ญพระบารมีจนถึงโพธิบัลลังก์ หรืออรหัตมัคคญาณ แต่เมื่อบรรลุอรหัตผล ชื่อว่าเกิดขึ้นแล้ว. บทว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นอาทิ ท่านขยายไว้ พิสดารแล้ว ในนิทเทสว่าด้วยพุทธานุสติ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.

บทว่า อิติ สกฺกาโย ความว่า นี้เป็นสักกายะ คือประมาณเท่านี้ เป็นสักกายะยิ่งกว่านี้ไม่มี อุปาทานขันธ์ ๕ แม้ทั้งปวงเป็นอันท่านแสดงแล้ว โดยสภาวะ โดยกิจ โดยที่สุด โดยกำหนด โดยรอบทาง ด้วยเหตุประมาณเท่านี้. บทว่า อิติ สกฺกายสฺส สมุทโย ได้แก่ นี้ชื่อสักกายสมุทัย. บท เป็นอาทิว่า เพราะอาหารเกิด รูปจึงเกิดดังนี้ ก็เป็นอันท่านแสดงแล้วด้วยเหตุประมาณเท่านี้. บทว่า อิติ สกฺกายสฺส อตฺถงฺคโม ความว่า นี้เป็นสักกายนิโรธ ดับสักกายะ. บทเป็นอาทิว่า เพราะอาหารดับ รูปจึงดับดังนี้ ทั้งหมดเป็นอันท่านแสดงแล้ว ด้วยบทแม้นี้. บทว่า วณฺณวนฺโต ได้แก่ ผู้มีวรรณะงาม ด้วยวรรณะแห่งสรีระ. บทว่า ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ความว่า เทวดาเหล่านั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคต ที่ประดับด้วยลักษณะ ๕๐ ในเบญจขันธ์. บทว่า เยภุยฺเยน ความว่า ถามว่า เว้นเทวดาเหล่าไหน ในที่นี้? ตอบว่า เว้นเทวดาผู้เป็นอริยสาวก. ก็เพราะเทวดาผู้เป็นอริยสาวกเหล่านั้น ไม่เกิดแม้เพียงความกลัวด้วยความหวาดสะดุ้งแห่งจิต เพราะท่านสิ้นอาสวะแล้ว ความสังเวชด้วยญาณ ย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านผู้สังเวชแล้ว เพราะ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 128

ท่านบรรลุธรรมที่พึงบรรลุ ด้วยความเพียรโดยแยบคายก็มี ความกลัวด้วยความหวาดสะดุ้งแห่งจิต ย่อมเกิดขึ้นแก่พวกเทวดาพวกนี้ ผู้กระทำไว้ในใจ ถึงความไม่เที่ยงก็มี ความกลัวด้วยญาณ ย่อมเกิดขึ้นในเวลาวิปัสสนามีกำลังก็มี. บทว่า โภ นั่นเป็นเพียงคำเรียกโดยธรรม. บทว่า สกฺกายปริปนฺนา ได้แก่ นับเนื่องอยู่ในขันธ์ ๕. ดังนั้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโทษในวัฏฏะแล้ว ทรงแสดงธรรมนำไตรลักษณ์มา เทวะเหล่านั้นก็เกิดหวาดกลัวด้วยญาณ ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า อภิญฺาย คือทรงรู้แล้ว. บทว่า ธมฺมจกฺกํ ได้แก่ ปฏิเวธญาณบ้าง เทสนาญาณบ้าง. พระพุทธเจ้า ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ ทรงแทงตลอดสัจจะ ๔ พร้อมด้วยอาการ ๑๖ จนถึงพันนัย ด้วยพระญาณใด พระญาณนั้น ชื่อว่า ปฏิเวธญาณ. ทรงประกาศพระธรรมจักรมีปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ ด้วยพระญาณใด พระญาณนั้น ชื่อว่า เทสนาญาณ. ญาณทั้ง ๒ อย่างนั้น เป็นญาณที่เกิดในคราวแรกแก่พระทศพล. ในญาณ ๒ เหล่านั้น ควรถือเอาธรรมเทศนาญาณ ก็ธรรมเทศนาญาณนั่นนั้น ชื่อว่า ย่อมเป็นไปอยู่ ตราบเท่าที่โสดาปัตติผลยังไม่เกิดขึ้นแก่พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พร้อมด้วยพรหม ๑๘ โกฎิ เมื่อโสดาปัตติผลนั้นเกิดขึ้นแล้ว พึงทราบว่าธรรมเทศนาญาณ ชื่อว่าเป็นไปแล้ว ดังนี้. บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล คือเว้นบุคคลที่จะเทียมทัน. บทว่า ยสสฺสิโน คือถึงพร้อมด้วยบริวาร. บทว่า ตาทิโน คือผู้เป็นเสมือนหนึ่ง (คงที่) กับโลกธรรมมีลาภเป็นต้น.

จบอรรถกถาสีหสูตรที่ ๓