ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๐

 
khampan.a
วันที่  5 เม.ย. 2563
หมายเลข  31700
อ่าน  1,704

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๐ * *

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เหตุและผลซึ่งเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งละเอียดยิ่ง ได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเป็นเหตุและเป็นผล

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระคุณที่ตรัสคำที่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง และเมื่อได้ฟังแล้ว ก็จะรู้ได้จริงๆ ว่าเป็นคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้ว พระองค์ก็จะไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) นานมากกว่าจะได้รู้ความจริง

~ เราจะห้ามคนที่มีกิเลสไม่ให้เขาเบียดเบียนได้ไหม ห้ามกิเลสไม่ให้กระทำทุจริตได้ไหม? นั่นเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่ไม่ดี ก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นสภาพธรรมที่ดี อย่างใจดี คนใจดี จะเบียดเบียนคนอื่นไหม จะประทุษร้ายคนอื่นไหม? เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมสองฝ่าย คือ ธรรมที่ดีกับธรรมที่ไม่ดี ปัญญาสามารถเข้าใจถูกว่าอะไรเป็นอะไร ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะนำไปสู่กิจของกุศลทั้งปวง ไม่ใช่ไปทำอะไรได้ แต่ความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้สภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด ทุกสมัย เปลี่ยนไม่ได้เลย

~ เราจะเอากรรมของเราที่ได้กระทำแล้ว ไปให้คนอื่นรับผล เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ คำพูดที่มักจะมีผู้กล่าว คือ ทำไมถึงต้องเป็นเรา สงสัยเหลือเกิน แต่คำตอบ ก็คือว่า เพราะต้องเป็นเรา ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว

~ เวลาที่ลูกป่วย มารดาอยากจะป่วยแทนลูกได้ไหม ไม่ว่าสมัยไหน หรือ มารดาป่วย ลูกอยากจะป่วยแทนได้ไหม ไม่ว่าในสมัยไหน ก็ไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง ว่า ธรรมเป็นธรรม ละเอียดมาก หลากหลายมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริง ซึ่งก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็ไม่รู้เลยจริงๆ ความไม่รู้ ก็มีจริง เป็นธรรม คือ อวิชชา

~ "เดี๋ยวก็ตาย จะทำอะไรก็ทำ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์" ก็ทำให้เราไม่ประมาทในการที่จะเป็นคนดีแล้วก็ทำความดีจนกว่าจะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา

~ ผู้ที่เป็นเพื่อน ย่อมมีความหวังดีต่อกัน จะไม่มีการทำร้าย จะไม่มีการเบียดเบียนหรือแม้แต่คิดร้ายหรือโกรธ

~ จากการฟังพระธรรม ก็จะทำให้เห็นว่า สิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดมีโทษแล้วสามารถที่จะมีความตั้งมั่นในการประพฤติที่ไม่ผิดจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เราจะพึ่งความชั่วไม่ได้แน่ เพราะเหตุไม่ดี นำมาซึ่งผลไม่ดี เราจะพึ่งความไม่รู้ ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเพราะไม่รู้ จึงทำให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ไม่มีใครที่จะมีความรู้ได้เอง ก็ต้องพึ่งพระรัตนตรัย

~ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเปรียบในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระองค์ ก็จะทำให้จากความที่ไม่เคยรู้อะไรมาเลยกี่ชาติ ต่อจากนี้ก็จะไม่ใช่เป็นคนไม่รู้ เพราะได้เริ่มสะสมความเข้าใจในพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ การที่จะเป็นคนดี ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ในชาตินี้ ชาติต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะว่า ถ้ามีอกุศลมากๆ บ่อยๆ ก็เหมือนอย่างที่เรามองเห็นตัวอย่างของคนไม่ดีซึ่งก่อนจะถึงวันนั้นเขาก็จะต้องมีความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ไม่มากมาย แต่เขาก็ไม่เห็นโทษ

~ ความโกรธ ทุกคน ก็มี มีตั้งแต่ความขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่สบายใจ ก็โกรธ แต่ยังไม่ถึงกับพูด แต่พอพูดออกมา เสียงก็มีหลายเสียง จากระดับของความโกรธ ถ้าขุ่นใจนิดหน่อย เสียงก็พอฟังได้แต่ ถ้ามากๆ เสียงน่าฟังไหม? ไม่มีใครอยากได้ยินเลย แต่อะไรเป็นปัจจัยทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ธรรมแต่ละหนึ่ง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม

~ ไม่มีเรา แต่มีธรรม ทุกอย่างที่มี เป็นธรรมแต่หนึ่ง ไม่ซ้ำกัน ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน ก็เป็นความเห็นผิด แต่ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตรงตามความเป็นจริง ความเข้าใจนั้น มาจากไหน? มาจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ การจากโลกนี้ไป ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เห็นแล้วตายก็ได้ ได้ยินแล้วตายก็ได้ คิดแล้วตายก็ได้

~ กลัวศัตรูภายนอก แต่ไม่เคยกลัวศัตรูภายในคือกิเลส ก็ลองคิดดู แล้วจะถูกศัตรูคือกิเลสทำร้ายโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ได้ไหม? ได้ ทำร้ายบ่อยๆ ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป

~ มีใครในโลก โลกไหนก็ตาม ที่จะดีใจตลอด? จิตเห็นเกิดขึ้น ก็ไม่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วยแล้ว

~ ถ้าใจดี จะทำกาย ที่ไม่ดีได้ไหม? ตีรันฟันแทงหรือว่าเบียดเบียนคนอื่น ก็ไม่ได้ ใช่ไหม? แต่ถ้าเป็นใจที่ดี ก็มีการช่วยเหลือ มีการเกื้อกูล มีการกระทำใดๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่รับจากการกระทำนั้น

~ ชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่ได้มีเพียงเห็นกับได้ยินเท่านั้น แต่มีมากมายละเอียด เกิดดับสืบต่อ ทุกอย่างเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เกิดแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น ธรรม นั้น จะเป็นเราหรือจะเป็นของเราไม่ได้เลย อยู่มาในโลกนี้ ด้วยความไม่รู้ความจริงของธรรมว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะไม่สามารถเข้าใจเลยว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมและทุกอย่างเป็นธรรม

~ สิ่งที่ปรากฏที่น่าพอใจ เป็นที่พอใจของใคร? ของผู้ที่ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น กิเลสก็จะแสดงกำลังของกิเลสว่ามีมากน้อยแค่ไหนในสิ่งใด ซึ่งซับซ้อนมาก

~ สิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ ควรกระทำ ทั้งกาย วาจา ปัญญาต้องเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง นั่น เป็นเหตุที่จะทำให้ค่อยๆ ประพฤติตาม ไม่ใช่ประพฤติตามทันทีได้ทั้งหมด

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๙



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nattaya40
วันที่ 5 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tim7755tim
วันที่ 5 เม.ย. 2563

เห็น ได้ยิน เป็นธรรม แม้จะเห็นในสิ่งที่ดีหรือเห็นในสิ่งที่ไม่ดี ก็เป็นธรรม เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 5 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 5 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 5 เม.ย. 2563

กราบ​ขอบพระคุณ​และ​อนุโมทนา​สาธุ​ค่ะ​

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
panasda
วันที่ 5 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Khemsai
วันที่ 5 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 6 เม.ย. 2563

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 6 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 7 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kukeart
วันที่ 9 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ