ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๒

 
khampan.a
วันที่  19 เม.ย. 2563
หมายเลข  31772
อ่าน  1,547

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๒
* *


~ พระพุทธศาสนา บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อการขัดเกลาละคลายกิเลส และกว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น คำสอนแต่ละคำ ยากยิ่ง มีค่าอย่างยิ่ง แล้ว (ถ้า) ช่วยกันทำลายให้หมดไป ก็เท่ากับว่า เราไม่ได้ทำสิ่งที่สมควรที่จะเป็นชาวพุทธเลย เพราะเหตุว่า ไม่เข้าใจธรรมและก็ยังทำลายพระธรรมวินัยด้วย

~ ใครก็ตาม สมัยไหนก็ตาม ยุคไหนก็ตาม ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะถูกไหม ไม่ถูก ก็ต้องไม่ถูก ในเมื่อนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องฟัง ต้องศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของคนอื่น อาจหาญร่าเริงที่จะนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรมและไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่ภิกษุ

~ ภิกษุ คือ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสด้วยการเข้าใจพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะละคลายกิเลสได้ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย แล้วเพศบรรพชิต เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลส ใช่ไหม ขัดเกลายิ่งกว่าคฤหัสถ์ อย่างมาก

~ พระภิกษุ บอกว่าสละชีวิตคฤหัสถ์ สละเงินทอง แล้วไปรับเงินทอง แสดงว่า สละชีวิตความเป็นคฤหัสถ์แล้วไปเป็นเหมือนอย่างคฤหัสถ์ สมควรไหม? ย่อมไม่เป็นผู้ที่ตรง ใคร รับเงินทอง? คฤหัสถ์รับเงินทอง แต่ถ้าภิกษุใด รับเงินทอง ย่อมไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

~ ไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจธรรม จะไปบวชทำไม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม เวลาที่ไปฟังพระธรรมที่พระวิหารเชตวันหรือที่ไหนก็ตาม คนที่ฟังก็มีคฤหัสถ์ที่ไปฟังด้วย แล้วรู้อัธยาศัยของตนเองว่าสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์มีความจริงใจที่จะอุทิศชีวิตทั้งชีวิต เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) โดยประพฤติตามพระธรรมวินัยสิกขาบท (สิ่งที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจแล้วประพฤติตาม) ต่างๆ สามารถประพฤติตามได้ จึงบวช

~ ถ้าภิกษุใดที่ทำผิด ประพฤติล่วงสิกขาบท ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว ย่อมเป็นโทษ เพราะอะไร เพราะปฏิญาณตนโดยการขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่ว่าไม่ได้มีความประพฤติเหมือนอย่างพระภิกษุก็ผิดแล้ว

~ กุศลกรรม นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นโทษ อกุศลกรรมก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นทุกข์และเป็นโทษ เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่และยังต้องมีการแสวงหา ก็ควรแสวงหาในทางสุจริต

~ ขณะที่บอกว่าไม่มีเวลาฟังพระธรรม อะไรทำกิจ? อกุศล ทำกิจ อกุศลก็ทำกิจของอกุศล อกุศลจะทำกิจของกุศลไม่ได้เลย

~ งานสะสมกิเลสหนัก แต่ว่างานสะสมปัญญาเบาสบายแน่ เพราะว่าเข้าใจแล้วก็เข้าใจขึ้น ขณะที่เป็นกุศลไม่เดือดร้อนเลย แต่พอหวังเมื่อไหร่ อกุศลแทรกเมื่อไหร่ ก็เดือดร้อนทันที

~ ผู้ที่เป็นสาวก เป็นพุทธบริษัท ต้องฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่คิดเอง

~ ตราบใดที่ยังมีกิเลสต้องมีกรรม (การกระทำที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง) เมื่อมีกรรม ก็แล้วแต่ว่าจะพาไปทางไหน กุศลกรรมก็พาไปทางหนึ่ง อกุศลกรรมก็พาไปทางหนึ่ง

~ เห็น เดี๋ยวนี้ เจ้ากรรมนายเวรมาทำให้เห็นหรือเปล่า? ไม่ใช่แน่นอน แต่เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศลกรรม

~ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา อย่างมีคนมาว่าเรา แต่ก่อนเคยโกรธ แต่พอเข้าใจแล้วก็รู้ว่าโกรธเป็นกิเลสของเราที่ทำร้ายเราขณะนั้น ไม่มีใครสามารถจะทำร้ายเราเลย แล้วทำไมเราจะทำร้ายตนเองและเพิ่มกิเลสให้ยากต่อการที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา? ในเมื่อความไม่ใช่เรา แสนจะรู้ได้ยาก

~ แม้แต่คิดว่าจะเป็นคนดีก็ยาก แสดงให้เห็นว่าถ้าได้เป็นคนดีจริงๆ ต้องยากกว่าที่เพียงคิด เพราะว่า คิดง่ายกว่าทำ ใช่ไหม?

~ ทุกคนเกิดแล้วต้องเป็นไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัย ตามการสะสม ตามกุศลและอกุศลที่สะสมมา บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงได้

~ ความไม่รู้ ทำให้หลงยึดถือติดข้องว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากธรรม เพราะเหตุว่า มีจริงๆ สิ่งใดก็ตามที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า ธมฺม (ธรรม) ในภาษาบาลี ไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่มีคำว่า ธมฺม (ธรรม) เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ก็คือ ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ด้วยตนเอง แต่ว่ามีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละขณะ แต่ละวัน ว่าคืออะไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล

~ เกิดมาแล้ว บางคนไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็อยู่ไปวันๆ ถึงอย่างไรก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยว่า แท้ที่จริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร (คือ ธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง) หลงเข้าใจว่า เป็นเรา แต่พอตายแล้วไม่มีคนนี้อีกเลย คนนี้ไปหาที่ไหนก็ไม่มี สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว แล้วจะเป็นคนนี้แบบไหน? แบบรู้ความจริง เป็นคนดี หรือว่า แบบไม่รู้ความจริง หลงยึดถือจนกระทั่งจิตใจเต็มไปด้วยความยินดียินร้ายเศร้าหมองสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมได้ทุกอย่าง ทำทุจริตกรรม ดีหรือ? ในเมื่อเป็นบุคคลนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว

~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส แม้จะล่วงเลยมา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว แต่ก็สืบทอดมาจนถึงขณะนี้ เป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสที่จะได้ฟังได้ศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเอง

~ เกิดมา ไม่รู้ว่าจะละจากโลกนี้ไปวันไหน เมื่อไหร่ ทรัพย์สมบัติที่มี ก็ตามไปไม่ได้ ร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็ตามไปไม่ได้เลย

~ จะตายวันไหนยังไม่รู้เลย แล้วไปไหน ถ้าเป็นเพราะอกุศลกรรม
(ให้ผลนำเกิด) ก็ต้องไปอบายภูมิแน่ แล้วใครอยากจะให้ใครไปเกิดในอบายภูมิบ้าง เพราะฉะนั้น คำพูดทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนพ้นจากทุกข์ ไม่ว่าโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น

~ เมื่อเริ่มฟังพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ สามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย

~ ธรรมเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ใช้คำว่า อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

~ ทุกอย่างที่เกิด มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น

~ กิเลสทั้งหมดมาจากความไม่รู้ จะค่อยๆ ละคลายกิเลสทั้งหลายได้ก็ด้วยความรู้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จะรู้เลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนเพื่อละกิเลส สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ สมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าเชื่อตามๆ กัน แต่ต้องละเอียดและศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อรู้ว่า อะไรผิด ก็ไม่ทำ

~ มั่นคงว่าไม่ใช่เราแล้วจะหวั่นไหวไหม? ใครว่า ใครไม่ชอบ ใครจะว่าอย่างโน้นอย่างนี้ จะหวั่นไหวไหม? โรคร้ายจะมา จะไม่มา ก็มีเหตุปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ก็ทำดีที่สุด


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๑



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nattaya40
วันที่ 19 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 19 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Khemsai
วันที่ 20 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 20 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kukeart
วันที่ 20 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 20 เม.ย. 2563

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของ​ อ.​คำปั่นและของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Selaruck
วันที่ 3 พ.ค. 2563

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ