ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๑

 
khampan.a
วันที่  12 เม.ย. 2563
หมายเลข  31731
อ่าน  2,022

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๑
* *
~ ความตาย อาจจะมาถึงเย็นนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทในการที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ หวังดี เกื้อกูล เป็นประโยชน์ให้คนฟังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำจริง ไม่ได้หวังให้ใครเข้าใจผิด ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ เพราะอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะนอบน้อมอย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรือ พรหม ก็เคารพสักการะนอบน้อมต่อพระองค์ เพราะพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งความจริงนี้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

~ พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ให้รู้ถูกให้เห็นถูกให้เข้าใจถูก ไม่ใช่อย่างอื่น ทั้งหมดเลยตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

~ ใครก็ตามที่กล่าวว่า “ภิกษุ รับเงินทอง เป็นของธรรมดา” นั่น เป็นผู้ไม่ละอาย ไม่รู้ความต่างกันของเพศคฤหัสถ์กับเพศบรรพชิต

~ แม้แต่สงสัยแล้วฟังธรรม ก็เป็นกาล (เวลา) ที่ควรฟัง ไม่ใช่เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วก็ไม่มีการฟังที่จะหายสงสัย เพราะฉะนั้น กาลของการฟังธรรม ก็ทรงแสดงไว้หลายอย่าง แม้แต่ในกาลที่ประชุมกันร่วมกันที่จะฟังธรรม นั่น ก็เป็นกาลของการฟังธรรม หรือ การที่มีโอกาสที่รู้ว่าจะได้ฟัง ขณะที่ฟังก็เป็นกาล คือ หมายถึงเวลาที่ได้ฟังธรรมเท่านั้นเอง ฟังขณะไหน ก็คือ กาลขณะนั้น นี่คือความหมายของการฟังธรรมตามกาล

~ ถ้าเราฟังพระธรรมแล้วเข้าใจมั่นคงขึ้นๆ ชาติต่อไป ได้ยินว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เข้าใจได้

~ ทุกสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะไม่กลับมาอีกเลย มีใครทำให้กลับมาได้บ้าง? มีแต่ไปตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้แล้วก็ไปเรื่อยๆ ต่อไปทุกๆ ขณะโดยไม่กลับมาอีก และ โดยไม่รู้ความจริง ว่า แท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย

~ การฟังธรรม ก็เพื่อที่จะให้ความคิดที่เคยน้อมไปในเรื่องอื่นเห็นว่าอย่างอื่นสำคัญกว่าการที่จะรู้ความจริงหรือเห็นว่าอย่างอื่นสำคัญกว่าความเห็นถูกในความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้เห็นประโยชน์ของการได้เกิดมาแล้วเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ จะมากหรือจะน้อยก็ตามแต่ แต่เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้

~ ใครจะรู้ว่าเวลาที่จะได้ฟังธรรมมีมากหรือมีน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดเพื่อไม่ประมาท เพราะใครก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดแม้ในขณะต่อไป ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย สภาพธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท คือ ฟังธรรม เพื่อที่จะสะสมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

~ คนที่มีปัญญา เห็นประโยชน์ของการมีชีวิต เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าจะจากโลกนี้ไปขณะไหนได้ทั้งสิ้น แต่ว่าถ้าเป็นขณะที่กำลังเข้าใจธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะที่กำลังเป็นธรรมในขณะนี้ได้ ขณะนั้นก็ประเสริฐที่สุด

~ ความจริง รู้เร็วเท่าไหร่ เป็นประโยชน์เท่านั้น จะโง่ (ไม่รู้ ไม่มีปัญญา) อยู่ทำไม เพราะเหตุว่า เกิดมา ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ กับ โอกาสที่จะได้ฟัง (พระธรรม) ได้เข้าใจขึ้น แล้วจะรั้งรอ รีรอ คอยอะไร? คอยที่จะมีความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏฏ์ หรือว่า การที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำจริง ไม่มาก วันหนึ่งๆ แต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ฟังพระธรรมน้อยหรือมาก เพราะอะไร?

~ อกุศลจิต แม้ในสมัยพุทธกาล ก็มี แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวมาก (ของอกุศล) ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน ถ้าสะสมมาที่จะเป็นอกุศล อกุศล นั้น ก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ ให้ทราบว่า กิเลส
(เครื่องเศร้าหมองของจิต) ละเอียดมาก ที่ปรากฏให้เห็นในแต่ละวันที่เรารู้ว่ามากมายมหาศาล ยังน้อยกว่าความเป็นจริง เหมือนกับสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร เมื่อไม่โผล่ ก็ไม่เห็น

~ เมื่อรู้ธรรม (สิ่งที่มีจริง) แล้ว ทาน (การให้) ศีล (ความประพฤติที่ดีงาม เว้น จากทุจริต) ก็ยังเกิดขึ้น ด้วยกำลังของความเข้าใจถูกเห็นถูก ประกอบกับความรู้ธรรมว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา ทาน เป็น ทาน ศีล เป็น ศีล ซึ่งก็คือ เป็นธรรม

~ ฟังธรรม ประโยชน์ คือ ได้รู้ว่าความจริงคืออะไร อะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเคยได้ยินได้ฟังอะไรมามากสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง ก็สามารถที่จะรู้ว่า อะไรผิด แต่ถ้ายังไม่ได้ฟังสิ่งที่ถูกเลย ก็เชื่อว่าสิ่งที่ผิดๆ นั่นแหละถูก จนกว่าจะได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อพิจารณาเห็นความจริง เห็นความถูกต้อง ก็สามารถที่จะละความเห็นผิดได้ ถ้าเป็นผู้ที่ตรง

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ ไม่ว่าจะพูดหรือทำ ล้วนเป็นไปในอำนาจของจิต ถ้าจิตใจดี มือเท้าก็เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ มีการช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น กระทำในสิ่งที่ดีงาม เป็นต้น แต่ถ้าเป็นอกุศลจิต คิดร้ายเบียดเบียนผู้อื่น มือเท้าก็ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น

~ ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศล และ อกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ เรื่องของอกุศลธรรมเป็นสิ่งที่มีมาก และถ้าไม่ทราบจริงๆ ว่า ตัวท่านมีอกุศลมากเพียงไร การที่จะละกิเลสย่อมเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วในวันหนึ่งๆ ก็มีอกุศลธรรมหลายประการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นผู้ที่ยังมีอกุศลธรรมที่จะต้องละคลาย ขัดเกลาจนกว่าจะดับสิ้นเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)

~ กิเลสมากมาย เหนียวแน่น หนาแน่น และติดแน่นอยู่ในจิตเลย ที่จะเอาออกไปได้ไม่ใช่วิสัยของอกุศล แต่ต้องเป็นปัญญาที่มีความเข้าใจถูกต้อง และอบรมคุณความดีทุกอย่าง

~ คนที่ไม่รู้เขาทำชั่ว แต่คนที่รู้เขาไม่ทำ เพราะรู้ว่าความชั่วเป็นโทษทั้งกับตนเองและคนอื่น นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยต่างๆ ซึ่งผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ซึ่งถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้ คนรู้ไม่ทำชั่ว เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคน เข้าใจถูกต้อง โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เดือดร้อน ไม่มีการฆ่ากันไม่มีการประทุษร้ายเบียดเบียนกัน เป็นโลกที่อยู่ด้วยกันด้วยความสงบและถ้ามีปัญญายิ่งขึ้น โลกนี้ก็ยิ่งสงบมากขึ้น

~ อกุศลทั้งหลายเมื่อมีกำลัง ปัญญามีน้อยมาก ก็ไม่สามารถที่จะดับหรือละอกุศลนั้นได้เลย

~ ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง ไม่ต้องห่วงเลย เพราะปัญญารู้ว่า ถ้าอกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความโลภ การแข่งดี มายา (ความประพฤติลวง) หรืออะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็พอกพูนความไม่รู้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ระลึกได้แล้วก็เป็นกุศล สิ่งที่ไม่เคยทำ ก็ทำ เพราะกุศลจิตเกิดสามารถที่จะช่วยเหลือ อนุเคราะห์ สงเคราะห์หรือพูด หรือ ทำอะไรก็ได้ ในทางกุศลเพิ่มขึ้นเพราะปัญญา

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๐



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nattaya40
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ กราบขอบพระคุณ..อย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สิริพรรณ
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ความตาย ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะ มีโรคร้ายหรือไม่มี ก็ต้องตาย แต่โรคที่น่ากลัวตามไปทุกชาติคือโรคกิเลส เพราะความไม่รู้จึงประมาท และหลงเพลินในความไม่เที่ยง

ความเข้าใจความจริงจากการฟังพระธรรมมีค่าที่สุด ค่อยๆ รักษาโรคร้าย คือโรคกิเลส เมื่อใดยังไม่หมดกิเลส ก็ต้องตายทุกชาติ ยังไม่ปลอดภัยเลย

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศล วิริยะ อ.คำปั่น ทุกประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
petsin.90
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
panasda
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
lokiya
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Khemsai
วันที่ 12 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 13 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มกร
วันที่ 13 เม.ย. 2563

กิเลสมากมาย เหนียวแน่น หนาแน่น และติดแน่นอยู่ในจิตเลย ที่จะเอาออกไปได้ไม่ใช่วิสัยของอกุศล แต่ต้องเป็นปัญญาที่มีความเข้าใจถูกต้อง และอบรมคุณความดีทุกอย่าง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 13 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 13 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ