ถ้ายังไม่ถึงนิพพานก็ยังต้องตายและเกิดอีก

 
ฉันเกิดมาเพื่อทำให้ตัวฉันไม่ตาย
วันที่  15 มี.ค. 2563
หมายเลข  31631
อ่าน  564

มีบางคนกล่าวว่า ตัวเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ถ้ายังไม่ถึงนิพพาน หรือไม่เข้าใกล้นิพพาน ก็ต้องตายเท่านั้น ถ้าถึงนิพพานก็จะรอด คำพูดแบบนี้เป็นการข่มขู่หรือไม่

ขอบคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ... ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ชนผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตายชนเหล่าใดประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว (คาถาธรรมบท)

คำที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคำจริง เป็นสัจจะ ไม่ใช่ขู่ แต่ผู้ใดทำเหตุใดก็ย่อมเป็นไปตามนั้น พระองค์ทรงแสดงว่าผู้ที่ทำกรรมชั่ว เมื่อกรรมชั่วให้ผลก็ต้องไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เป็นต้น เป็นคำจริง สัจจะ ไม่ใช่คำขู่ เช่นเดียวกับที่ผู้ยังมีกิเลส ก็ยังจะต้องตายและเกิดเป็นธรรมดา

และพระพุทธพจน์ที่ยกข้างต้นก็เป็นความจริง ไม่ใช่คำขู่ ความไม่ประมาท คือ การอยู่ไม่ปราศจากสติ หมายถึง มีสติ คือ ขณะที่เป็นกุศลธรรมชื่อว่า ไม่ประมาท ไม่ปราศจากสติ เพราะ ขณะที่เป็นกุศล มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยขณะที่เป็นอกุศล ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย ดังนั้น กุศลธรรม กุศลจิตที่เกิดขึ้นว่า ไม่ประมาท ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย คือ การทำกุศลที่เป็นการอบรมปัญญา เจริญสติปัฏฐาน เป็นทางแห่งความไม่ตาย ย่อมถึงพระนิพพานที่ทำให้ไม่ตาย ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย คือ ในอนาคต จะดับกิเลสหมด ไม่เกิดอีก เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ในที่นี้ มุ่งหมายถึง ผู้ที่ไม่ได้อบรมปัญญา ย่อมประมาท คือ ไม่มีกุศลที่เป็นไปในการเจริญวิปัสสนา ย่อมไม่สามารถดับกิเลสได้เลยจึงต้องเกิดและตายบ่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด การตายบ่อยๆ จึงชื่อว่าเป็นทางแห่งความตายจึงไม่ใช่ความหมายทางโลก ที่ทำอะไรไม่ระวัง จะเป็นทางแห่งความตาย

คนประมาทเป็นเหมือนคนตายแล้ว คือ คนที่ประมาท ประมาทในกุศลธรรม คือ ไม่ทำความดีประการต่างๆ ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว คือ คนตายก็ไม่สามารถทำความดีอะไรได้เช่นกัน จึงไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าอยู่ หรือ ตาย สำหรับคนที่ประมาท ไม่ทำความดี อบรมปัญญา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๓๘

"เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็นจริง
เราและเธอทั้งหลายได้ท่องเที่ยวไปในชาตินั้นๆ ตลอดกาลนาน อริยสัจ ๔ เหล่านี้ เราและเธอทั้งหลายเห็นแล้ว ตัณหาที่จะนำไปสู่ภพถอนขึ้นได้แล้ว มูลแห่งทุกข์ ตัดขาดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี"

(พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ปฐมวัชชีสูตร)

ควรที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่า พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมดนามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือนามธรรมที่รู้อารมณ์ได้แก่ จิต และ เจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง ในเมื่อยังไม่เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ ได้ และประการที่สำคัญ เมื่อได้ยินได้ฟังพระนิพพาน ก็อยากจะถึงพระนิพพาน ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเห็นผิด แม้จะมีความเพียร (ที่เป็นอกุศล) มากสักเท่าใด อย่างนี้ ไม่มีวันถึงอย่างแน่นอน ยิ่งจะเพิ่มพูนกิเลสอกุศลให้มีมากขึ้น พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ กว่าที่ท่านเหล่านั้นจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้นั้น ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน

การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้

สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึนอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

คำจริงๆ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำเกื้อกูล เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่ได้มีคำหวังร้ายเลยจากทุกคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะตรัสถึงเรื่องใด ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เท่านั้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Selaruck
วันที่ 15 มี.ค. 2563

นิพพานเป็นคำสูงมาก ตอนนี้ศึกษาและฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเข้าใจ เพียงเท่านี้ก็ไม่เสียชาติเกิด ไม่สนใจว่าจะอยู่หรือจะไปจะตายหรือจะรอด

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ผู้สาธยายพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้อย่างแจ่มแจ้ง ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ