ทำไมวัยรุ่นสมัยนี้ถึงได้ประมาทกันมาก

 
ฉันเกิดมาเพื่อทำให้ตัวฉันไม่ตาย
วันที่  14 มี.ค. 2563
หมายเลข  31628
อ่าน  617

เราเป็นวัยรุ่นนะ เรายังมีความประมาท (แต่ก็พยายามไม่ลืมความตายว่าซักวันเราต้องตายแน่) แต่เรายังไม่ประมาทเท่ากับวัยรุ่นส่วนใหญ่ในสมัยนี้ที่เอาแต่เที่ยว ติดเพื่อน (เพราะนิสัยแตกต่างกันแบบนี้จึงหาเพื่อนวัยเดียวกันยาก) ทั้งที่ในสมัยพุทธกาลวัยรุ่นที่เข้าวัดทำบุญนั้นมีมากกว่าสมัยนี้อย่างเทียบไม่ได้ อยากถามว่า เพราะเหตุอะไรวัยรุ่นสมัยนี้ถึงประมาทกันมาก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตแต่ละคนก็แต่ละหนึ่ง กาลสมัยนี้เมื่อเทียบกับสมัยพุทธกาลก็แตกต่างกัน สมัยพุทธกาลก็สะสมปัญญามามาก ก็สนใจพระธรรมมากกว่าเป็นธรรมดา แต่ที่น่าพิจารณาว่าในสมัยพุทธกาล บางคนไม่ได้สนใจธรรม จนแก่ชราอายุ ๑๒๐ ปี ถึงได้มามีโอกาสฟังพระธรรม สนใจพระธรรมได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะประเมินใครไม่ได้เลย หากเหตุปัจจัยของแต่ละคนยังไม่พร้อมที่จะมีเหตุให้สนใจ บางท่านในสมัยพุทธกาล ก็มาได้ฟังธรรมตอนชราแต่บรรลุธรรม บางท่านออกบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม สุดท้ายก็สึกออกไปและด่าว่าพระพุทธเจ้า มี สุนักขัตตลิจฉวี เป็นต้น ดังนั้น อายุไม่เป็นประมาณในการจะสนใจพระธรรม แต่ปัญญาที่สะสมมาต่างหากที่เป็นเครื่องประมาณและเราก็ไม่รู้อัธยาศัย การสะสมแต่ละคนว่าแต่ละท่านสะสมอะไร จะเข้าใจ สนใจพระธรรมตอนไหน เพราะต้องเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ดังนั้น สำคัญที่ควรพิจารณาที่ตนเองเป็นสำคัญ กิจอันใดที่ควรทำ เจริญยิ่งหรือยัง สนใจพระธรรมและปัญญามากขึ้นหรือยัง ก็จะเป็นผู้ไม่ประมาท ส่วนคนอื่นก็เป็นคนอื่น ไม่สามารถจะทำให้ปัญญาของเราเจริญได้ นอกเสียจากการไม่ประมาทที่จะเจริญกุศลทุกประการและฟังพระธรรมต่อไป

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖
- หน้าที่ ๑๗๘

"เดี๋ยวนี้ มหาชนพากัน ประมาทประพฤติอธรรม ตายไปๆ แออัดอยู่ในอบาย เทวโลกดุจว่างเปล่า"

(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มหากัณหชาดก)


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒
- หน้าที่ ๔๕

“พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณ ๑๐๐ ปี เกิดแล้วประมาท นอนหลับอยู่ เมื่อไรหนอ จึงจักพ้นจากทุกข์ได้"

(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องนางปติปูชิกา)


ชีวิตประจำวันของผู้ที่ยังมากไปด้วยกิเลส ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อกุศลจิต ก็เกิดขึ้นเป็นไปมาก เมื่อว่าโดยสภาพธรรม ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นผู้ประมาทแล้ว ในขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าในแต่ละวัน กุศลจิตเกิดน้อยมาก เทียบส่วนกับอกุศลจิตไม่ได้เลยยิ่งถ้ามีความประมาทมัวเมายิ่งขึ้น ก็ยิ่งจะเกื้อหนุนให้อกุศลเกิดเพิ่มมากขึ้นไปอีก

ควรที่จะได้พิจารณาว่า แต่ละคนเหลือเวลากันอีกไม่มากแล้วที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะชีวิตสั้นมากจริงๆ ควรที่จะได้พิจารณาอยู่เสมอเพื่อเป็นเครื่องเตือนตนเอง ว่า “เกิดมาแล้ว จะทำอะไรกับชีวิตที่สั้นๆ นี้” ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท พร้อมทั้งให้เวลากับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ให้มากๆ แม้แต่วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ยังตรัสเตือนให้พุทธบริษัทตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเพราะความไม่ประมาทนำมาซึ่งกุศลธรรมทั้งปวง ป้องกันไม่ให้ตกไปในฝ่ายเสื่อมพระโอวาทที่ทรงประทานมาตลอด ๔๕ พรรษา แห่งการประกาศพระศาสนาของพระองค์ รวมลงในบทคือความไม่ประมาทพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทจริงๆ ครับ

คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้

"การอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ เพราะถ้าลดโอกาสของกุศลลง ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้อกุศลเกิดขึ้นอีก และ อกุศลที่มีกำลังอยู่แล้ว ก็จะมีกำลังเพิ่มขึ้นอีก ทุกๆ วันนี้อกุศลสะสมไปที่จะมีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่า ยังไม่สามารถที่จะชนะกิเลสได้ ก็ขอเพียงฟังพระธรรม อย่าขาดการฟังพระธรรม แต่ถ้ารู้ตัวเองว่า แม้แต่เพียงการฟัง ก็ยังจะไม่สนใจ หรือว่าไม่มีกำลังศรัทธาพอที่จะฟัง ขณะนั้นก็แสดงให้เห็นกำลังของการคบหาสมาสมาคมกับอกุศล ซึ่งมีกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาลขึ้นอีกเรื่อยๆ

ถ้าทุกคนจะมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง ก็คงจะชื่อว่า "คุณประมาท" เพราะว่าตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่ระวังจริงๆ กุศลที่เคยมี เคยเป็นปกติ แล้วเสื่อมไป ขณะนั้นก็เห็นชัดว่า เป็นผู้ที่ประมาทแล้ว และบางคนก็ประมาทมาก เพราะฉะนั้นจึงควรเตือนตัวเองว่า อีกชื่อหนึ่งของทุกคน ไม่ว่าจะชื่ออะไรกันก็ตามแต่ แต่อีกชื่อหนึ่งคือ "คุณประมาท" บางคนก็มีความประมาทในการเข้าใจพระธรรม หรือว่าในกุศลที่สะสมมา คิดว่ามั่นคงแล้ว จนกระทั่งถึงกับอยากจะทดลองกำลังของกิเลส นี่ก็เป็นผู้ที่ประมาทเพิ่มขึ้นไปอีก คือไม่รู้เลยว่าอวิชชาและโลภะ มีกำลังมากแค่ไหน ไม่ควรเลยที่ใครจะไปทดลองกำลังของอวิชชาและโลภะ เพราะว่าอวิชชาและโลภะมีกำลังอยู่ตลอดเวลาที่สติปัฏฐานไม่เกิดไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม

ถ้าจะอุปมาภพภูมิข้างหน้าเป็นอบายภูมิ พระธรรมและกุศลทั้งหลายในชาตินี้เหมือนเชือกที่ทุกคนกำลังจับอยู่ที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกลงไปสู่อบายภูมิ แต่ถ้ากำลังที่จับนั้นอ่อนลง จนกระทั่งปล่อยมือจากพระธรรม ก็เป็นที่แน่นอนว่าไม่มีทางที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม และอกุศลธรรมที่ได้กระทำแล้วก็มีโอกาสที่จะกระทำให้ตกไปสู่อบายภูมิได้โดยเฉพาะตกไปสู่เหวของอวิชชา ซึ่งยากแสนยากที่จะขึ้นมาได้ เพราะว่าเป็นเหวลึกเพราะฉะนั้น ทางที่ดีทางหนึ่ง ก็อย่าลืมอีกชื่อหนึ่งของทุกคน คือ คุณประมาทถ้าจะถามว่ามีใครไม่ได้ชื่อนี้บ้าง คำตอบคือ ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู ก็ยังเป็นผู้ประมาทแต่ถ้าเตือนตัวเองอย่างนี้บ่อยๆ ก็มีประโยชน์ ตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมเจริญจนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้โดยเด็ดขาดจะเป็นผู้ที่ประมาทกำลังของอกุศลไม่ได้เลยบุคคลผู้ที่มีปัญญา ท่านจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ประมาทในการขัดเกลากิเลส ชาตินี้มีกิเลสมาก ก็ยิ่งที่จะต้องเป็นผู้ขัดเกลาให้เบาบางด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก ชาตินี้ปัญญายังน้อย ก็ยิ่งจะต้องเป็นผู้มีความมั่นคง และจริงใจในการที่จะศึกษาธรรม ฟังธรรม เพื่อสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงให้ยิ่งๆ ขึ้นไป"

ขอเชิญคลิกคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ธรรมเตือนใจแด่คุณประมาท

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ