ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๖

 
khampan.a
วันที่  8 มี.ค. 2563
หมายเลข  31616
อ่าน  1,658

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๖ * *


~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มี ไม่ใช่ไม่มี แล้วก็ทำให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นที่มีเดี๋ยวนี้

~ อะไรก็ตามทั้งหมดที่ไม่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไม่โลภะ ก็โทสะ ทั้งหมด ก็มาจากโมหะ ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงว่าขณะนั้นเกิดแล้วดับแล้ว จะไปวุ่นวายอะไรกับสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว

~ ขอให้ทุกคนได้พิจารณาว่า ธรรมคืออะไร ต้องเข้าใจก่อน ธรรมขณะนี้ต้องมี เพื่อที่จะรู้ ถ้าไม่มีก็รู้ไม่ได้ ใช่ไหม? แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสไว้ แต่ต้องมีธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ให้เราได้ค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจได้

~ การที่เรามาสนทนาธรรม เพื่อที่จะเข้าใจธรรม แค่นี้ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น ถ้าไม่ใช่เพื่อความเข้าใจธรรม แต่เพื่อการที่จะพูดตามที่มีในพระไตรปิฎก อ่านตาม แต่ไม่เข้าใจเลย ประโยชน์อยู่ที่ไหน? เพราะจริงๆ แล้ว ก็คือว่า ความลึกซึ้งของพระธรรม มาก เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ อย่างนี้ เราก็จะเห็นประโยชน์แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ชีวิตของเราที่จะอยู่ต่อไปอีกก็ไม่นาน ค่าสูงสุด ก็คือ ได้เข้าใจพระธรรมถูกต้อง

~ ถนอมน้ำใจในทางที่ผิด จะเอาไหม? ถ้าใครจะมาถนอมน้ำใจเราแล้วปล่อยให้เราเห็นผิดไปเรื่อยๆ เขาเป็นเพื่อนแท้เป็นกัลยาณมิตรเป็นมิตรที่ดีจริงๆ หรือเปล่า? เพราะเกิดมาแล้ว หวังดีต่อกันที่ดีที่สุด ก็คือ ให้สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมวินัย

~ ตายจริงๆ คือเมื่อไหร่? จิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ ทันทีที่จิตนั้นดับใครก็จะทำให้มีชีวิตต่อไปไม่ได้เลย

~ ถ้าความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น ความไม่ดีคืออกุศลก็เกิดไม่ได้ สะสมกุศลไปชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ที่กุศลเกิด หนทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย โดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราก็เพิ่มการที่จะฟังธรรมเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่มีคำอื่นที่จะทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

~ ขณะที่พูดไม่ดี จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร? ถ้าจิตดี พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ออกไป จิตเป็นอย่างไร แล้วจิตใคร แล้วใครจะละความไม่ดีที่สะสมมาในจิตนั้นได้ ไม่ใช่คนอื่นเลยทั้งสิ้น แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ละให้ใครไม่ได้ แต่คำของพระองค์ทุกคำ เป็นธรรมเตชะ (ธรรมเดช) ไตร่ตรองเป็นความจริงทั้งหมดแล้วก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าวันหนึ่งๆ สภาพธรรมที่สะสมมาที่เกิดขึ้นเป็นไปแล้วเข้าใจว่าเป็นเรา นั้น เป็นอะไร ดีมากไหม? ปัญญา มีหรือเปล่า? คิดที่จะละสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า? แม้คิด มีไหม?

~ มากมายหลายอย่างที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์ที่ทำให้แต่ละคนต่างกันไป ใครๆ ก็ช่วยใครไม่ได้ แต่ความเข้าใจที่เกิดจากการฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรองค่อยๆ รู้ความจริงทีละน้อยทีละน้อยว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ถ้าจิตไม่ดีเกิดขึ้น ก็ทำให้จิตที่เป็นผลของความไม่ดีนั้นเป็นไป ใครก็บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้

~ เป็นปุถุชนซึ่งหนาแน่นไปด้วยกิเลส แล้วยังไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีการศึกษา ไม่มีการฟังพระธรรมเป็นผู้หันหลังให้พระสัทธรรม

~ สิ่งที่มีจริง สามารถที่จะเข้าใจได้ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม แต่ถ้าคิดเอง ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ เพราะว่า ลืมตัวไป คิดว่ามีความรู้เสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ คิดเองหมด

~ นอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่อยู่ที่คำ แต่อยู่ที่การเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ จึงระลึกถึงพระคุณซึ่งไม่สามารถที่จะเปรียบได้เลยจากที่ตัวเองเป็นคนโง่ไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ ก็สามารถที่จะเกิดความเข้าใจขึ้นได้ในสิ่งซึ่งมีจริงๆ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน นั่นคือ ความนอบน้อมสูงสุด เพราะฉะนั้น ความเห็นผิดทั้งหมด ไม่ใช่การการนอบน้อมต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ที่ยังไม่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะยังมีความเป็นตัวตน สำคัญตน รักตนมากกว่าการรู้ความจริงและมากกว่าการเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ การสะสมของจิต เมื่อยังคงอยู่ก็เป็นเหตุให้แต่ละบุคคลมีความหลากหลายและแตกต่างกันไป มากมาย เพราะว่าแม้ปฏิสนธิจิตเพียง ๑ ขณะ จะเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใด ก็แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ปฏิสนธิจิต เป็นจิตขณะแรกของชาตินี้ ปฏิสนธิจิตนั้นเอง ที่ประมวลการสะสมของจิตมาทั้งหมด การสะสมของจิตจึงไม่ได้หายไปไหนเลย เช่น เมื่อโกรธใครสักขณะหนึ่งแม้ว่าจะดับไปแล้วความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิต

~ ใครจะรู้ว่าปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตขณะแรกที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อดับไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตเป็นไปตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะแม้ขณะนี้ที่เคยเข้าใจว่า เป็นเราฉลาด หรือ มีอกุศลมาก มีโทสะมาก ริษยามาก หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดนั้น คือ ธรรมที่ประมวลสะสมมาแล้ว ในชาติก่อนๆ ซึ่งไม่ได้หายไปไหนเลย

~ จะนอบน้อมต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ก็ต่อเมื่อเข้าใจคำของพระองค์ ปัญญาไม่กลัว ปัญญาจะไม่ทำสิ่งที่ผิดเลย เพราะมีการรู้ว่าสิ่งนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หมายความว่า ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา

~ ชีวิตตามความเป็นจริงของแต่ละคน ก็รู้ได้เลยว่า แสวงหาไปหมด ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็แสวงหาสิ่งที่น่าพอใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เมื่อมีโอกาสได้สะสมศรัทธาสภาพที่ผ่องใสจากอกุศลที่จะรู้ความจริงเข้าใจความจริง ก็มีการได้ยินได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ก็แสวงหาความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

~ ปัญญาสามารถรู้ถูก ว่า ขณะไหนแสวงหาสิ่งไม่เป็นสาระเลย กับ ขณะไหนที่แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระที่สามารถชำระจิตได้ เพราะคนอื่นชำระจิตใครก็ไม่ได้ แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เหมือนยารักษาโรค อยู่ที่ว่าจะหาเจอไหม เพราะฉะนั้น ผู้นั้น ต้องสามารถเป็นผู้ละเอียด มีปัญญาและเข้าใจถูกว่าขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นละคลายความไม่รู้

~ วันนี้เดือดร้อนทั้งวัน เป็นสาระหรือเปล่า? (ไม่เป็นสาระ) ถ้ารู้ว่าเดือดร้อน คือ อะไร มีประโยชน์อะไร เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก จะค่อยๆ คลายความเดือดร้อน เพราะรู้ว่าอะไรเป็นสาระ ความคิดที่ทำให้เดือดร้อน ไม่เป็นสาระเลย เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นว่า อกุศลทั้งหมด ไม่เป็นสาระ ดังนั้น จากวันหนึ่งๆ อกุศลทั้งวัน ได้สาระอะไรจากอกุศลสักอย่างหรือไม่? ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นหนทางที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลง นี่ก็คือ สาระที่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูก

~ ปกติของความไม่รู้ ก็แสวงหาสิ่งที่ไม่เป็นสาระ

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๔๕



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
mammam929
วันที่ 8 มี.ค. 2563

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาในกุศลจิตที่เป็นไปเพื่อความดีงามทุกประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
palsawangpattanagul
วันที่ 8 มี.ค. 2563

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Nattaya40
วันที่ 8 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 8 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kukeart
วันที่ 8 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
petsin.90
วันที่ 8 มี.ค. 2563

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Khemsai
วันที่ 8 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tim7755tim
วันที่ 8 มี.ค. 2563

ก็ต้องเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระองค์ให้เข้าใจและทำตามคำสอนทุกคำขอน้อบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นกราบกราบกราบ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tim7755tim
วันที่ 8 มี.ค. 2563

กราบขอบพระคุณท่านอาจารและกัลยานมิตทุกท่านค่ะอนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 8 มี.ค. 2563

กราบ​ขอบพระคุณ​และ​ขอ​อนุโมทนา​ค่ะ​

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 8 มี.ค. 2563

'''ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ'''

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 9 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 9 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
peem
วันที่ 10 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
panasda
วันที่ 15 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ