ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ อาคารสมาคมแม่บ้านตำรวจ สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีฯ กรุงเทพมหานคร ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  2 ม.ค. 2563
หมายเลข  31418
อ่าน  3,625

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก ว่าที่พันตำรวจเอกหญิง ทัสสนีย์ ภิรมย์แก้ว ผู้กำกับการฝ่ายสโมสรและสันทนาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. หมายเลข ๘๐๓ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ อาคารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ภายในสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น.

ว่าที่พันตำรวจเอกหญิง ทัสสนีย์ ภิรมย์แก้ว หรือที่พี่ๆ ที่มูลนิธิฯ เรียกชื่อกันติดปากว่า "น้องกุ้ง" อดีตรอง ผกก.3 บก.จร. ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้กำกับการฝ่ายสโมสรและสันทนาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา จึงขอถือโอกาสนี้ ร่วมแสดงความยินดีกับท่านผู้กำกับหญิงคนใหม่ของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. มา ณ โอกาสนี้ ทั้งควรที่จะได้บันทึกไว้ด้วยว่า น้องกุ้งหรือท่านผู้กำกับกุ้ง เป็นนายตำรวจหญิงที่ได้รับความไว้วางใจให้รับภารกิจเป็นนายตำรวจติดตามนายหญิงของท่านผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งได้เห็นเสมอๆ ว่าน้องกุ้งได้ปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วยความสง่างาม น่าภาคภูมิใจยิ่ง

ความที่ท่านผู้กำกับหญิงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติท่านนี้ เป็นผู้มีอัธยาศัยที่น่ารัก เป็นกันเอง มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอมา จึงเป็นที่รักใคร่ เมตตาของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มูลนิธิฯ ไม่เพียงเท่านั้น น้องกุ้งยังเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ที่มีความจริงใจ ปรารถนาดีต่อบุคคลอื่นๆ ที่ได้รู้จัก เห็นได้จากการพยายามเกื้อกูลเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักและเคารพนับถือ ให้ได้มีโอกาสมาร่วมฟังการสนทนาธรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้ด้วยหลายท่านด้วยกัน ด้วยเหตุที่รู้ว่า ทรัพย์ที่มีค่าที่สุดสำหรับทุกบุคคลในสากลจักรวาลนั้น หาใช่ทรัพย์ที่ปุถุชนคนทั้งหลายหลงยึดถือไม่ แต่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันประเสริฐ คือความเข้าใจพระธรรม ความจริงของสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏอยู่ในทุกๆ ขณะนี้ ที่จะเป็นที่พึ่งแท้จริงสำหรับทุกบุคคล สำหรับการเดินทางยาวนานในสังสารวัฏ

ด้วยกุศลศรัทธาที่มั่นคงต่อพระธรรมคำสอนที่ได้ยินได้ฟังจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ น้องกุ้งหรือท่านผู้กำกับกุ้ง ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้นที่อาคารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ภายในสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีในครั้งนี้ จากที่ได้เคยมีกุศลศรัทธา ร่วมกับคุณอมรรัตน์ อุณหเลขกะ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๙๕๓ กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนและสนทนาธรรม ที่ โรงแรม The Lakehouse Cameron Highlands ประเทศ Malaysia เมื่อวันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาแล้วครั้งหนึ่ง (ขอเชิญคลิกที่นี่...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ The Lakehouse Cameron Highlands , Malaysia ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐)

ความเข้าใจธรรมะที่มั่นคงขึ้น จากการเป็นผู้ไม่ทอดทิ้งการฟังพระธรรมอยู่บ่อยๆ เสมอๆ นั้น ย่อมทำให้บุคคลเข้าใจมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น ในความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ในชีวิตประจำวัน ความสุข ความสมหวัง ความผิดหวัง ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา ดังที่ท่านแสดง เมื่อมีความเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นแต่ธรรมะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัย และล้วนดับหมดสิ้นไป ไม่กลับมาอีก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทำให้เป็นผู้มีความสละ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมะต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวันเหล่านั้น ว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา ลงไปได้ ตามกำลังของปัญญาที่ได้สะสมมากขึ้นจากการฟังและพิจารณาพระธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ คือ "หนทางเดียว" ที่จะนำไปสู่การสละ ละคลายกิเลส ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงในสังสารวัฏให้หมดสิ้นไปได้ ในวันหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นเวลาอีกยาวนานแสนไกล แต่ความเข้าใจพระธรรมที่มีมากขึ้นเพิ่มขึ้น จากการได้ฟังและพิจารณาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ นั้น ย่อมทำให้บุคคล มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนี้ บ่อยขึ้น ชัดเจนขึ้น มั่นคงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเป็นอนัตตาของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ความเข้าใจว่าสิ่งต่างที่เกิดขึ้น เป็นไปในชีวิต ล้วนเป็นแต่ธรรมะที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น หาใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา ไม่ ย่อมเป็นปัจจัยให้บุคคล พบกับความสุขที่ลึกซึ้งแท้จริงในชีวิตได้ มากหรือน้อย ตามกำลังปัญญาความเข้าใจของแต่ละบุคคล

ผู้ที่เห็นประโยชน์อันสูงค่าของพระธรรมเช่นว่านี้ จึงเพียรที่จะฟังและเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ไม่เป็นผู้ทิ้งโอกาสอันมีค่ายิ่งนี้ และไม่มีวันที่จะปล่อยมือจากพระธรรม ตกลงสู่ "หุบเหวอันมืดมิดด้วยอวิชชา ความไม่รู้" อันจะเป็นเหตุให้บุคคลพบแต่ทุกขเวทนาไม่มีที่สิ้นสุด ตลอดกาลอันยาวนานในสังสารวัฏ

ณ กาลครั้งหนึ่ง ขณะหนึ่ง ในสังสารวัฏของบุคคล ที่เป็นไปกับการได้พบกัลยาณมิตร มิตรผู้มีความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน เกื้อกูลกัน เฉพาะอย่างยิ่ง ในความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทั้งยังมีส่วนที่ได้ร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ความจริงอันประเสริฐที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมจะเป็นขณะ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่แสนวิเศษยิ่ง ที่บุคคลได้พบกันและกระทำความดีร่วมกันในขณะอันประเสริฐยิ่งนั้น

แม้ว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น จะผ่านไป ดับไป หมดไป ไม่กลับมาอีกเลยก็ตาม แต่ความดีงามในกุศลธรรมทั้งปวงนั้น หาได้หมดสิ้นไปแต่อย่างใดไม่ ยังคงประทับอยู่ในใจ พร้อมที่จะเป็นพืชเชื้อสำหรับความดีประการต่างๆ ที่จะมีปัจจัยเกิดขึ้นอีก เกิดขึ้นอีก เกิดขึ้นอีก แล้วๆ เล่าๆ ในสังสารวัฏ อันจะเป็นหนทางเดียวของการสั่งสมบารมีประการต่างๆ ของบุคคล ให้เจริญงอกงามไพบูลย์ สู่ความหมดสิ้นจากทุกข์ได้ อย่างแท้จริง โดยประการทั้งปวง ทั้งไม่ลืมว่า หนทางนี้ เป็นหนทางเดียว ไม่มีทางอื่น

ท่านอาจารย์ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่มีจริงทุกขณะ แม้ขณะนี้ แต่ว่าเป็นคำที่คนอื่นไม่สามารถที่จะ "คิดเอง" หรือ "เข้าใจเอง" ได้ เมื่อฟังแล้ว เราก็เริ่มที่จะรู้ว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่มีโอกาสที่จะ "รู้จักผู้ที่เรากราบไหว้ตั้งแต่เล็กแต่น้อย" ถูกสอนมาให้ตื่นเช้ามา หรือก่อนนอน ก็กราบพระ เราใช้คำนี้ เป็นการระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ว่าจะตั้งแต่เด็ก ต่อมานานเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ "ฟังคำของพระองค์" แค่ได้ยินชื่อ เราไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย รู้จักเพียงแต่ว่าเป็นผู้ที่ทุกคนกราบไหว้ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย ไม่ใช่ในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ในสากลจักรวาล

ในครั้งโน้นที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรม ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันบ้าง พระวิหารเวฬุวันบ้าง ไม่ใช่แต่เฉพาะมนุษย์ที่มาฟัง แม้เทวดาและพรหม ถึงเวลายามดึกท่านก็มาเฝ้าฟังพระธรรมตามกาลโอกาส ไม่ปะปนกับมนุษย์ นี่แสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งซึ่ง ใครก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้จักพระองค์ ถ้าถามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร จะตอบได้เพียงแค่ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และออกบวช แล้วก็ตรัสรู้อริยสัจสี่ ก็จบแล้ว แล้วก็ปรินิพพานที่ไหน ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา

แต่สัก "คำหนึ่ง" ใน ๔๕ พรรษา พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราได้ฟัง เราจะเข้าใจแค่ไหน? ส่วนใหญ่ เรารู้จักคนในโลกนี้ เขาพูดอะไรเราก็รู้เรื่อง ใช่ไหม? ภาษาเดียวกัน พูดเรื่องเดียวกัน แต่เขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำไหน คิดหรือ? ว่าเราจะเข้าใจได้? เพราะเหตุว่า คำที่พระองค์ตรัส มาจาก "ปัญญาที่ทรงตรัสรู้" แล้วเราไม่เคยรู้อะไรเลยทั้งสิ้น!! พอพระองค์ตรัส ก็จะให้เราเข้าใจทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ "เข้าใจคำที่พระองค์ตรัส" เช่นคำว่า "ธรรมะ" ใครก็พูดได้ แต่ลองสิว่า ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคืออะไรคะ? และ เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม? เห็นไหม? ถ้าไม่ฟังจะงงๆ ไม่รู้แน่ ธรรมะคืออะไร เดี๋ยวนี้มีธรรมะหรือเปล่า ก็ไม่รู้ทั้งสิ้น!!

แต่นี่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่า "ธรรมะ" ในภาษาบาลี และคนไทยก็ใช้คำในภาษาบาลีหลายคำ แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้น "ธรรมะ" ในภาษาบาลี คือ "สิ่งที่มีจริง" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมะ เพราะฉะนั้น ธรรมะมีจริง!! ถ้าธรรมะไม่ใช่สิ่งที่กำลังมีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร? ก็ไม่มีอะไรจะตรัสรู้ แค่นี้ยังต้องคิด!! ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้มีจริง แล้วคืออะไร? ตรัสว่าธรรมในภาษาบาลีคือทุกอย่างที่มีจริง ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ละเอียดอย่างยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่คนที่ไม่รู้ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นปรากฏทุกวันก็ไม่รู้ ว่านั่นคือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

โดยมาก คนที่เริ่มฟังธรรมะ ก็จะคิดว่า ธรรมะเป็นเรื่องที่ต้องเป็นคำยากๆ ปฏิจจสมุปปาท อริยสัจสี่ โพชฌงค์ ๗ คำอะไรก็ไม่รู้ พูดชื่อออกมาก็ไม่รู้ แต่แปลก ก็คงจะเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่ว่า คำทั้งหมดไม่ใช่สำหรับให้คิดว่าอัศจรรย์ แต่ต้องรู้ว่าคืออะไร? จึงน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ จนตาย ก็ไม่รู้!! จะรู้ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ช่น ขณะนี้ "เห็น" เป็นธรรมดา มีใครบ้างไม่เห็น "กำลังเห็น" เป็นธรรมะหรือเปล่า? เห็นไหม? ถ้าไม่เคยฟังเลยก็งง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมตรัสสิ่งที่เป็นปรกติในชีวิตประจำวัน ทำไมไม่พูดเรื่อง อายตนะ อริยสัจจะ นี่ไง มาฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องฟังคำยากๆ ไม่ใช่เลย!! ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีและไม่เคยรู้ มี "เห็น" กันทุกคน แต่ไม่รู้ว่าก่อนเห็น ไม่มีเห็น กำลังหลับสนิทไม่เห็น ไม่ได้ยิน เวลาที่ตื่นขึ้น มีเห็น หมายความว่าอะไร? "เห็น" ต้องเกิด ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น

แม้เดี๋ยวนี้ "ได้ยิน" ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี "ได้ยิน" ใช่ไหม? ขณะนี้ ใครก็ตามที่กำลังคิด "คิด" เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีคิด เพราะฉะนั้น "สิ่งหนึ่งสิ่งใด" ที่มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา พระองค์ตรัสว่า "สิ่งนั้น" มีความดับไป เป็นธรรมดา "เห็น" เมื่อวานนี้ไม่มีแล้ว "เห็น" ที่เกิดเมื่อกี้นี้ก็ไม่มีแล้ว เป็นเห็นใหม่ ถ้ามีใครเดินเข้ามาสักคน เห็นใหม่แล้วใช่ไหม? ถ้าใครออกไปจากห้องนี้สักคน ก็เห็นใหม่อีกแล้ว เห็นสิ่งนั้นหายไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ทุกขณะที่ "เห็น" ต้องมี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" เมื่อมี "ธาตุรู้" คือ "เห็น" เกิดขึ้น ก็ต้องมี "สิ่งที่ถูกรู้" เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" นี่ เรารู้ไหมว่าขณะนั้น "กำลังรู้เสียง" ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ลืมตามา ก็มีการรู้ทั้งวัน เป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้ รู้ รู้ เดี๋ยวทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส อ่อนแข็ง เย็นร้อน เป็นธรรมดา จนไม่มีใครคิดว่า "ความจริงของสิ่งที่เป็นธรรมดา" นี้ เป็นอย่างไร?

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไป เป็นธรรมดา คำว่า "ดับ" หมายความว่า ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนคนตาย จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นคนเก่าได้เลย เพราะฉะนั้น ก่อนตาย สิ่งที่มีแต่ละขณะ ก็เกิดและดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ขณะเกิด ไม่เห็น แล้วก็มีเห็น แล้วเห็นตอนที่เกิดอยู่ไหน ที่เกิดมาแล้ว "เห็น" ตอนนั้นอยู่ไหน? ไม่มีเลย "เห็น" เมื่อวานนี้ก็ไม่มี ถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่จากการ "คิด" ไม่ใช่จากการ "ไตร่ตรอง" แต่ "ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะ" นั้น ตาม "ความเป็นจริง" ในขณะที่ "เห็นเกิด" ในขณะที่ "เห็นดับ" นี่คือพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงแสดงว่า ด้วยความไม่รู้ว่าเห็น เกิดและดับ เร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ สืบต่อไม่ขาดสายเลย ก็ปรากฏรูปร่างสัณฐาน เช่น เวลานี้ เต็มไปด้วยรูปร่างสัณฐาณ เป็นกลีบ เป็นดอกไม้ เป็นสี่เหลี่ยม เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นรูปร่างสัณฐานทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไหม? ก็ไม่มี หรือว่า ถ้ามีสิ่งต่างๆ เหล่านี้้เกิด แต่ไม่มีการเห็น จะรู้ไหมว่ามี ก็ไม่รู้อีก

เพราะฉะนั้น "เห็น" เห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" ได้ ซึ่งขณะนี้กำลังปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งว่า เกิดและดับ ทีละหนึ่ง แต่รวมกันแล้ว ปรากฏเป็นรูปร่างให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เหมือนเกิดมาเลยพร้อมกันทันที อุปมาเหมือนกับเราจุดธูปดอกเดียว แต่แกว่งให้เป็นวงกลมให้เร็วที่สุด เห็นวงกลมของแสงสว่าง เราจะไม่เห็นการที่เคลื่อนไปทีละหนึ่ง จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะทั้งหมดที่ปรากฏ เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีคือคุณความดี ที่สามารถจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่า ความไม่รู้ ไม่สามารถจะเข้าใจได้ ขณะนี้ไม่รู้ว่ากำลังเกิดดับ ถูกต้องไหม? ไม่สามารถประจักษ์แจ้งได้ แต่ถ้าเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สภาพธรรมะปรากฏตามความเป็นจริง จึงมีผู้ที่รู้ความจริง ดับกิเลส เป็นพระโสดาบัน แล้วก็ดับกิเลสต่อไปอีก เป็นพระสกทาคามีบุคคล กิเลสมากเหลือเกิน ต้องดับตามลำดับขั้น ยังไม่หมดกิเลส ต้องดับต่อไปอีก

ความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ถึงอย่างนั้น ก็ยังต้องดับความยินดีในความเป็น เพราะว่าเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แล้วเกิดทำไม? แค่เกิดมาปรากฏนิดเดียวแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่รู้ ก็ไม่ยินดีในสภาพธรรมซึ่งจะเป็นเราได้อย่างไร? แค่เป็นสิ่งที่มีจริง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้าสามารถละความติดข้อง ในภวะ ในความเป็น ในภพ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีความติดข้อง ด้วยความไม่รู้อีกต่อไป ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย


เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้ สู่ความเข้าใจถูกต้อง ทีละน้อย และเห็นโทษของอกุศล ปัญญาที่เห็นโทษของอกุศล สามารถที่จะดับอกุศลได้ ตามลำดับขั้น
ดับเองไม่ได้ เราไปเห็นคนนั้น เขาก็ฟังธรรม แต่เขาก็สนุกสนาน ร่าเริง แต่งตัวสวยงาม ก็งง ใช่ไหม? นี่หรือคนฟังธรรม คนศึกษาธรรม
เขาไม่เข้าใจเลยว่า กิเลสมาก เข้าใจธรรมะระดับไหน ก็ดับกิเลสระดับนั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะดับหมดได้ทีเดียว จากความเป็นปุถุชนถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับ

เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ประโยชน์คือ "เข้าใจ" เพราะว่า เราฟังทุกอย่าง ทุกเรื่อง หลากหลาย ถ้าฟัง ดูหนังดูละคร ฟังเพื่อเพลิดเพลิน ขณะนั้นได้อะไร? แต่ชอบ ไม่เบื่อ หนังแขก (หัวเราะ) หนังไทย หนังอะไรก็แล้วแต่ หนังจีน หนังเกาหลี ฟังแล้วดูแล้ว ได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ติดข้อง แต่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบประมาณค่าไม่ได้เลย!! เพราะเหตุว่า ฟังอะไรก็จบแล้ว ลองย้อนไปนึกถึงหนังแขกที่เพิ่งจบไป เป็นอย่างไร? ลืมหมดเลย จำได้ละเอียดแค่ไหน? แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่เหลือเลย

แต่ "คำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจจริงๆ สามารถที่จะเข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก สามารถที่จะรู้ว่า ความจริงนี้ คนอื่นที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะพูดหรือแสดงความจริงของสิ่งนั้นได้เลย...

เพราะฉะนั้น คำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็ไม่สามารถจะชื่อนี้ได้เลย จะไปตั้งใครให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า เป็นพระคุณนาม หมายความว่า ตามคุณคือความที่เป็นจริงที่ทรงประกอบด้วยพระปัญญาเหนือผู้อื่นในสากลจักรวาล ไม่มีใครเปรียบได้เลย "ปัญญา" นั่นแหละคือ "พุทธะ" ที่ตรัสรู้ความจริง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใด เป็นพุทธเจ้า "สัมมา" มีความเห็นที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริงของทุกอย่าง โดยที่พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นรู้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่รู้เลยว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร และความจริงคืออะไร

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อนี้ ชินหู แต่ถ้าไม่ฟังธรรมะ จะไม่รู้จักพระปัญญาคุณ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม นี่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วก็มีคำที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏด้วย ขอเพียงได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่กราบไหว้ แล้วไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร

กราบในพระคุณ พระคุณก็คือ ทำให้เราเข้าใจสิ่งซึ่งมีจริงๆ ซึ่งถ้าชาตินี้ไม่ได้ฟัง ชาติหน้าก็เหมือนชาตินี้ ซึ่งไม่ได้ฟัง แล้วก็ไม่รู้อะไร แต่ถ้าเริ่มฟังเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ความเข้าใจนี้ก็จะสะสมสืบต่อไป ทำให้บุคคลที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดง สามารถรู้ความจริงได้ เพราะฟังมานาน

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ ว่าที่พันตำรวจเอกหญิง ทัสสนีย์ ภิรมย์แก้ว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ The Lakehouse Cameron Highlands , Malaysia ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 2 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Tathata
วันที่ 2 ม.ค. 2563

ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะและความเมตตาที่ถ่ายทอดเรียบเรียงพระธรรมให้ได้อ่านเพิ่มเติมจากการฟังค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 2 ม.ค. 2563

ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 2 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 2 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Selaruck
วันที่ 3 ม.ค. 2563

กราบอนุโมทนากับทุกท่านยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 3 ม.ค. 2563

กราบอนุโมทนาและขอขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
onmywayonmylife
วันที่ 6 ม.ค. 2563

กราบอนุโมทนา​ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chvj
วันที่ 25 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Nattaya40
วันที่ 7 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 ส.ค. 2564

ขอเพียงได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่กราบไหว้ แล้วไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร กราบในพระคุณ พระคุณก็คือ ทำให้เราเข้าใจสิ่งซึ่งมีจริงๆ ซึ่งถ้าชาตินี้ไม่ได้ฟัง ชาติหน้าก็เหมือนชาตินี้ ซึ่งไม่ได้ฟัง แล้วก็ไม่รู้อะไร แต่ถ้าเริ่มฟังเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ความเข้าใจนี้ก็จะสะสมสืบต่อไป ทำให้บุคคลที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดง สามารถรู้ความจริงได้ เพราะฟังมานาน

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ