ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๑

 
khampan.a
วันที่  24 พ.ย. 2562
หมายเลข  31327
อ่าน  2,161

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๑ * *


~ ถ้ารู้จักว่าพระภิกษุคือใคร จะไม่มีผู้ใดให้เงินแก่พระภิกษุเลย ไม่ใช่เงินอย่างเดียว ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด ไม่ควรแก่ผู้ที่เป็นภิกษุ เพราะเหตุว่า ภิกษุคือผู้ที่สละความติดข้องในชีวิตของคฤหัสถ์ทั้งหมด สละทรัพย์สมบัติ สละมารดาบิดาวงศาคณาญาติ ความรื่นเริงอย่างคฤหัสถ์ สู่เพศที่สงบ

~ ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศล และ อกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิดค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ เพราะความไม่รู้ จึงทำให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความไม่รู้ แต่ถ้ามีความรู้ คือ ปัญญาเพิ่มขึ้น จากที่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ถูกที่ควร คล้อยตามปัญญาที่ ค่อยๆ เจริญขึ้น ทำให้พ้นจากความประพฤติที่จะเป็นเหตุนำความทุกข์มาให้

~ คนที่มีกิเลสมากๆ แล้วกิเลสลดน้อยลง หรือ สามารถดับได้อย่างเด็ดขาด ด้วยอะไร? ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก

~ ให้ทราบว่า กิเลส ละเอียดมาก ที่ปรากฏให้เห็นในแต่ละวัน ที่เรารู้ว่ามากมายมหาศาล ยังน้อยกว่าความเป็นจริง เหมือนกับสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร เมื่อไม่โผล่ ก็ไม่เห็น

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ เรื่องของอกุศลธรรม เป็นสิ่งที่มีมาก และถ้าไม่ทราบจริงๆ ว่า ตัวท่านมีอกุศลมากเพียงไรแล้ว การที่จะละกิเลสย่อมเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วในวันหนึ่งๆ ก็มีอกุศลธรรมหลายประการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นผู้ที่ยังมีอกุศลธรรมที่จะต้องละคลาย ขัดเกลาจนกว่าจะดับสิ้นเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)

~ กิเลสมากมาย เหนียวแน่น หนาแน่น และติดแน่นด้วยอยู่ในจิตเลย ที่จะเอาออกไปได้ไม่ใช่วิสัยของอกุศล แต่ต้องเป็นปัญญาด้วยที่มีความเข้าใจถูกต้อง และอบรมคุณความดีทุกอย่าง

~ การกล่าวถึงสิ่งที่ผิดว่าผิด การกล่าวถึงสิ่งที่ถูกว่าถูก เป็นการอนุเคราะห์คนอื่น ด้วยความเป็นมิตรด้วยความหวังดีที่จะให้เขาเข้าใจได้ถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด

~ ถึงเวลาที่จะให้ทุกคนที่ไม่รู้พระธรรมวินัยได้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด เมื่อเป็นผู้ที่ตรง ก็จะได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำสิ่งที่ถูกต้อง คือ สิ่งใดที่ผิดจากพระธรรมวินัย ก็ไม่ส่งเสริม ทุกคนถ้าเข้าใจถูก ก็พูดถูก ทำถูก

~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม

~ การทำความดี ไม่มีใครรู้เลย ว่า ทุกครั้งที่ทำ เป็นการสละความไม่ดี และอยากไม่ดี น้อยลงไหม ก็มีหนทางเดียว คือ ทำดีขณะใด สละความไม่ดี ขณะนั้น

~ เขามีกิเลส แล้วเรามีกิเลสหรือเปล่า หรือเฉพาะคนอื่นมีกิเลสแล้วเราจะอยู่ร่วมกับคนที่มีกิเลสอย่างไร เหมือนกับว่าเราไม่มีกิเลสหรือเปล่า?

~ สิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรทำ ก็คือ อกุศล

~ ขณะที่ไม่ให้อภัยเป็นโทษกับใคร? ก็เป็นโทษกับผู้นั้น ก็สะสมไปใครๆ ก็เอาออกไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ให้อภัย เพราะฉะนั้น ปัญญาเห็นโทษของอกุศล รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้นและ กั้นกุศลด้วย

~ เบิกบาน เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เทียบไม่ได้กับได้สมบัติมาหน่อยหนึ่งก็เบิกบานใจ ได้อาหารอร่อยมาหน่อยหนึ่งก็เบิกบานใจ เทียบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า คำสอนที่จะอันตรธาน (สูญสิ้น) ถ้าไม่มีใครเข้าใจแน่นอนเพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจแล้วก็ช่วยให้คนอื่นพ้นจากความเห็นผิด เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อ ไป และก็เป็นผู้ที่รู้ว่า ความจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้

~ ทั้งชีวิตถ้าสามารถที่จะช่วยให้ใครได้มีโอกาสเข้าใจถูกต้อง ก็เท่ากับทำให้เขาพ้นจากความเห็นผิดอีกมากมายมหาศาลที่จะต้องเกิดขึ้นในสังสารวัฏฏ์แล้วก็เห็นผิดไปอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น มีโอกาสที่จะได้ฟังคำที่ถูกต้อง ต้องไม่ประมาทแล้วก็รู้ว่าคุณค่าของการที่ได้เกิดมา ก็คือ ตรงที่ได้เข้าใจธรรม เพราะทุกอย่างหมดแล้วแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

~ คนส่วนใหญ่ชินต่อการที่จะตาม แต่ไม่ชินกับการที่จะไตร่ตรองคิดนึกละเอียดจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรถูก อะไรผิด

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทรงตรัสรู้และทรงแสดง ลึกซึ้งเพียงใด ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่ยังได้เข้าใจธรรม ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ เราไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ทุกขณะมีค่าจริงๆ เพราะเหตุว่า ความเข้าใจขณะนี้หนึ่งขณะก็จะทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากขึ้น เพราะถ้าขาดหนึ่งขณะเดี๋ยวนี้ จะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร และไม่มีอะไรที่จะดีในการที่ยังมีชีวิตต่อไปเท่ากับการที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริงซึ่งไม่สามารถที่จะคิดเองได้ นอกจากทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น

~ จาคะ คือ การสละ ตั้งแต่เริ่มสละวัตถุซึ่งไม่ยากเท่ากับสละความเป็นเรา ความเป็นตัวตน เพราะความเป็นตัวตน มากมายมหาศาลแล้วก็เหนียวแน่นมาก

~ ชีวิตไม่มีค่าถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม (สิ่งที่มีจริง) แล้วถ้าได้เข้าใจธรรมแล้ว ชีวิตมีค่าขึ้น และถ้าเข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย ชีวิตนั้นก็มีค่าด้วย มากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น คนที่ได้เข้าใจธรรม ก็จะมีชีวิตอยู่ โดยการไม่หยุดที่จะฟังศึกษาด้วยความเคารพ อบรมปัญญาจนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง และทั้งหมด ก็จะเห็นว่า ชีวิตไม่มีอะไรเหลือเลย เพียงแต่มีแล้วก็ดับไปแล้วก็เปลี่ยนไป

~ ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นเราหรือจะเป็นของใคร ไม่ได้ ข้อสำคัญ คือ ต้องเกิดอีก ต้องมีคนใหม่ที่มาจากคนนี้ ดีชั่ว อย่างไร ที่ได้สะสมไว้ในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ ก็จะติดตามสืบต่อไป เป็นคนต่อไป เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของความไม่ดี ชาตินี้ก็เป็นคนดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ ด้วยการเข้าใจธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ เกิดมาแล้ว จากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าขอให้ได้เป็นคนดีและเข้าใจธรรม แต่ไม่ลืมความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ทำอย่างดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไร ก็เป็นอนัตตา แต่จะห้ามไม่ให้ทำความดีได้ไหม ในเมื่อสะสมมาที่เห็นคุณของความดี คนนั้นก็จะทำสิ่งที่ดี

~ กิเลสทั้งหลาย อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ ใครก็เอาออกไม่ได้ ความไม่รู้และกิเลสทั้งหมดที่สะสมมา ดี ชั่ว อยู่ที่ใจ แต่สิ่งที่ควรพลัดพรากจากไป ก็คือ อกุศลและความไม่รู้ ใครเอาออกไปได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญา (ความเข้าใจถูกความเห็นถูก)

~ อวิชชา คือ ความไม่รู้ วิชชา คือ ความรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อ วิชชา คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เกิด มีหรือที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะความรู้ แต่เนื่องจากความไม่รู้ ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ไม่ได้เกิดจากความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้เกิดจากปัญญา แต่เกิดจากอวิชชาที่สะสมมา ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ความที่จะประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่ผิด ก็มี จนกว่าจะดับอวิชชาหมด

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิดปัญญา มีความรู้ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรือไม่ควร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าหลงเข้าใจ ว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย.

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๓๐



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
jaturong
วันที่ 25 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
mammam929
วันที่ 25 พ.ย. 2562

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระธรรมที่ทรงตรัสรู้

ความเข้าใจถูกเห็นถูกจึงเป็นทางที่จะรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jariya.tr
วันที่ 25 พ.ย. 2562

กราบขอบคุณและกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของอ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 25 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Ratchaneekul
วันที่ 25 พ.ย. 2562

กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่มุ่งมั่น มั่นคงอย่างไม่หวั่นไหว ในการถ่ายทอดความจริง ความกระจ่างในหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างตรงที่สุด และ ถูกต้องที่สุด และ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่นที่รวบรวมและแบ่งปันธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์เป็นอย่างสูง...ทำให้ชีวิตมีแสงสว่างนำทางในทุกๆ ขณะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 25 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
siraya
วันที่ 27 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 27 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kukeart
วันที่ 27 พ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มังกรทอง
วันที่ 29 ธ.ค. 2564

การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ