ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๕

 
khampan.a
วันที่  4 ส.ค. 2562
หมายเลข  31083
อ่าน  2,353

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๕


~ ประโยชน์ที่สุดในชีวิต คือ การฟังพระธรรมที่พระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก ก็เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศลของตนเอง และจะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น

~ ขณะใดที่พูดคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ขณะนั้น เป็นผู้เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำที่กล่าวถึงคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว
ก็แสดงว่าผู้นั้น ประกาศคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


~ จะดำรงพระพุทธศาสนากันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา แล้วจะดำรงรักษาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ที่จะดำรงพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่วัดวาอาราม ไม่ใช่อิฐหินปูนทราย ไม่ใช่ประเพณีต่างๆ แต่ว่าต้องเป็นความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถดำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้ เพราะว่าพระพุทธศาสนาคือคำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ จะดำรงคำสอนซึ่งพระองค์ทรงประทานให้พุทธบริษัท ก็ต่อเมื่อพุทธบริษัทได้เข้าใจคำสอนนั้น จึงสามารถที่จะดำรงไว้ได้

~ ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญาที่ทำให้เกิดความสงบทั้งกาย วาจา และใจ จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่สงบคือกิเลสทั้งหมดได้ นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะรู้ได้ ก็มืด แล้วก็ยิ่งทับถมความมืดมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรจะประเสริฐที่สุด?

~ อยู่ในโลกตลอดกี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ความเข้าใจ จากความมืดสนิทเพราะความไม่รู้ ก็ได้เข้าใจ

~ ทุกอย่างแสนสั้นชั่วคราว แล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็มีแต่ความไม่รู้และความติดข้อง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น, เมื่อเห็นค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุด ใครจะละทิ้ง?

~ ทุกเวลาทุกนาที ควรจะเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์มาให้กับตนเองและชาวโลก สหายทั้งหลายที่เกิดมาร่วมกันในโลก ซึ่งเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ต้องให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่เป็นความหวังดีที่สุด ให้อะไรแก่ใครก็ตามแต่ สิ่งนั้นก็ต้องหมดไป แต่ถ้าให้ความรู้ให้ความเห็นที่ถูกต้อง มีแต่จะเพิ่มขึ้น

~ ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยความหวังดี ใครจะรัก ใครจะชัง จะไม่พอใจอย่างไร ก็ห้ามไม่ได้

~ ถ้าไม่มีใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ฝากไว้กับคนใดคนหนึ่งหรือบริษัทหนึ่งบริษัทใดเลย และข้อความในพระไตรปิฎก ก็มีว่ายิ่งเปิดเผย คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา ยิ่งรุ่งเรือง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิดด้วยคำของบุคคลอื่นนานแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่เมื่อมีใครก็ตามที่เข้าใจถูกต้อง ก็ช่วยกันแสดงความจริง เพื่อประโยชน์ และเพื่อพระพุทธศาสนาจะได้รุ่งเรืองเปิดเผยทุกคำ ทั้งพระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม เมื่อกล่าวรวมแล้ว ก็คือ พระธรรมวินัย

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนได้เข้าใจถูกต้องทั้งเหตุและผลทุกประการโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล นั่น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะพูด

~ ทุกท่านที่มีความสุขในปัจจุบันชาตินี้ คงจะระลึกถึงอดีตกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วไม่ได้ก็จริง แต่ขณะใดที่เป็นกุศลวิบาก มีการได้รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ดี ขณะนั้นก็เป็นผู้ที่สามารถจะพิจารณาได้ว่า ต้องเกิดขึ้นเป็นผลของกุศลเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วได้สั่งสมไว้แล้ว คือ ไม่สูญหาย เมื่อเหตุได้กระทำไว้แล้ว สะสมไว้แล้ว ก็เป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น

~ การศึกษาพระธรรม ต้องรู้ว่าเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าศึกษาเรื่องของอวิชชา (ความไม่รู้) ก็เพื่อเห็นโทษ และเมื่อเห็นโทษของอวิชชาแล้ว ก็จะได้หาทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ความรู้ เพื่อที่จะละความไม่รู้

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม บวชทำไม เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมแล้วมีการบวชโดยไม่เข้าใจธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม ไม่ว่าจะบวชเป็นภิกษุหรือบวชเป็นสามเณรก็ตาม จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อที่จะให้เข้าไปสู่พระธรรมวินัยโดยไม่เข้าใจธรรมวินัยและไม่ขัดเกลากิเลสด้วย ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีความเคารพอย่างยิ่ง ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง เพื่อที่จะได้เกิดปัญญาซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน แล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลสได้

~ ภิกษุ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกาย แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง แล้วขัดเกลากิเลส ด้วยการศึกษาพระธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่มีอะไรที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมแล้วก็ขัดเกลากิเลสตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ นั่น จึงจะเป็นภิกษุในธรรมวินัย

~ ตายไปแล้ว อะไรติดตามตัวไปได้บ้าง ทรัพย์สมบัติติดตามตัวไปได้ไหม? ไม่ได้เลย แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่รักมากยิ่งกว่าสิ่งอื่น ก็ติดตามไปไม่ได้ สิ่งที่ประเสริฐที่ติดตามไปได้ ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก

~ ทรัพย์สมบัติที่ได้มา จากชาตินี้ก็หมดแล้ว เป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เป็นคนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ บริวาร หรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่เข้าใจว่าเป็นของเรา เมื่อจากโลกนี้ไปก็เห็นกันชัดเจนว่าไม่ใช่ของคนที่จากไปแน่นอน

~ ชีวิตประสบกับขึ้นๆ ลงๆ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็มาจากเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ก่อนการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็มักจะคิดว่า ทำไมจะต้องเป็นเรา แต่เมื่อศึกษาแล้ว จะเข้าใจว่า เพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นไม่ได้ ในเมื่อเป็นกรรมที่เราทำมา เราจะไปให้กรรมกับคนอื่น หรือให้ผลกับคนอื่นก็ไม่ได้ ทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับบุคคล ก็เพราะเหตุที่ได้กระทำมา

~ ชีวิตที่มีความเห็นถูก จะคิดทำแต่สิ่งที่ดีงาม

~ ผ้าเช็ดธุลี สามารถจะรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง หรือจะเป็นเลือดหนอง สิ่งสกปรกต่างๆ ผ้านั้น ก็สามารถที่จะเช็ดได้ นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราสามารถที่จะทนต่อถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม อาจจะเป็นถ้อยคำที่เราไม่อยากจะฟังเลย แต่ใจเราไม่เดือดร้อนในขณะที่เราได้ยิน ลองคิดดูว่า จะเป็นสุขสักแค่ไหน

~ ประโยชน์สูงสุดจริงๆ คือ ฟังพระธรรม เข้าใจขึ้น แม้แต่จะคิดร้าย แล้วไม่คิด (ร้าย) แม้แต่จะพูดร้าย ก็ไม่พูดร้ายกับคนอื่น นี้ก็เพราะพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้วคอยอารักขา (รักษา) จากการที่เคยได้ฟังบ่อยๆ เข้าใจว่า อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ จนกว่าจะดับกิเลสได้จริงๆ ตามลำดับขั้น

~ ประมาทไม่ได้เลย มีชีวิตอยู่ทุกวัน เหมือนอยู่บนปากเหว จะตกเมื่อไหร่วันไหน ไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะเหตุว่าอกุศลทั้งหมด เหมือนก้อนหินที่ผูกเท้าไว้ ดึงลงต่ำแน่นอน ส่วนกุศลทั้งหลาย ก็เหมือนกับกิ่งไม้ที่เราเหนี่ยวรั้งไว้ที่จะให้พ้นไปจากทางที่จะไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมแล้วเข้าใจขึ้น เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใว่า (อกุศล) ทั้งหมดยังมี อกุศลทั้งหลายยังเต็ม จนกว่าจะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยด้วยความไม่ประมาท แล้วก็ละอกุศล เจริญกุศล และชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

~ ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือว่าควรจะโกรธกัน? เพราะเหตุว่าการเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า เป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าไม่คิดว่าเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะไม่ทำดีกับบุคคลนั้น แต่ถ้ารู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน ก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน แล้วก็มีความเมตตากรุณาต่อกันได้

~ ชีวิตที่เกิดมา ต่อให้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศต่างๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ว่าไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่อยู่ตรงนี้ เกิดเป็นคนนี้ มาจากไหน ก็ไม่รู้ และเวลาที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ก็อีกไม่นาน เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ล่วงหน้าเลยว่าใครจะจากโลกนี้ไปเร็วหรือช้าแค่ไหน อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า หรืออีก ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็ได้ แต่อยู่ไม่ได้แน่ ต้องไป ต้องจากไป จากไปแล้วก็ลืมหมด ไม่มีใครสามารถที่จะจำได้ ไม่เหลืออะไรอีกเลย เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ควรมีสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้เกิดมาแล้ว ไม่ได้จากไปเปล่าๆ หรือจากไปด้วยการไม่รู้ความจริงสะสมความไม่รู้สะสมกิเลสไปมากมาย ก็ค่อยๆ สามารถที่จะเห็นว่าสิ่งที่มีค่าสำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ (คือ) สามารถได้ฟังคำที่จะทำให้เกิดปัญญา และรู้จักบุคคลที่ประเสริฐสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงหนทางที่จะทำให้กิเลสซึ่งมีมากในใจของทุกคนลดน้อยลงจนกระทั่งสามารถที่จะดับได้

~ อาลัย (ติดข้อง พอใจ) ก็คือ ไม่พร้อมที่จะจากสิ่งนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มี เพียงแค่มีเมื่อปรากฏแล้วก็หมดไป แต่เสมือนว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นยังอยู่ตลอดเวลา ไม่พร้อมที่จะจากไป

~ เคยของหายไหม? แค่นี้ก็เห็นความอาลัยในสิ่งที่หายไปแล้ว ยิ่งเป็นของที่ชอบมาก ความอาลัยนั้นก็ชัดเจนเลย นี่เป็นเพียงแค่สิ่งของ แต่ถ้าเป็นญาติ มิตรสหาย ครอบครัว บุคคลผู้ที่เป็นที่รักนอกจากสมบัติแล้ว รู้ไหมว่าไม่พร้อมที่จะจากไป ยังไม่หมดความอาลัย แต่ความจริงแล้ว รู้ไหมว่า กำลังอาลัย ในสิ่งที่ไม่มีอะไร (เพราะเป็นสิ่งที่เพียงเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป)

~ พอใจแล้วก็แสวงหา เหนื่อยยากปานใดก็แล้วแต่ ไม่รู้เลยว่าเดือดร้อนแค่ไหน พอได้มาแล้วก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น แต่ก็ต้องจากพลัดพรากสิ่งนั้นไป เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไรจากความที่ไม่ได้ติดข้องแล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นให้ติดข้อง? และเพียงให้ติดข้องเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่ความติดข้องนั้นยังอยู่สะสมอยู่ในจิต พอที่จะทำให้เกิดความติดข้องในสิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ

~ ธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดี เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็ต้องไม่ดีเมื่อนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใครคนไหน ทำไมเขาไม่ดี เราเห็น แล้ว เราไม่ดี เห็นบ้างไหม

~ ปัญญาเห็นถูกต้อง ว่า ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ปัญญานั่นเองก็จะรู้ว่าควรจะอบรมเจริญสิ่งใดให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาแล้วความดีทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น ความไม่ดีทั้งหลายก็ลดน้อยลงจนไม่เหลือได้

~ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ จะต้องสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แน่นอน กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้ เหมือนกับชาติก่อนที่ผ่านมา การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ประเสริฐกว่าการที่จะตายไปโดยไม่ได้ฟังพระธรรมเลย เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ความไม่รู้จึงมีเพิ่มมากขึ้น

~ เวลาที่โกรธ บางคนก็หมดไปโดยง่าย แต่ว่าบางคนก็ยังผูกโกรธ คือ ความโกรธนั้น รัดรึงใจไว้บ่อยๆ เดี๋ยวนึกขึ้นมา ก็โกรธอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ ทำไมเรื่องนั้นนิดเดียว แต่โกรธ ต่อไปอีกได้ตั้งนาน นั่นเป็น ความผูกโกรธ แต่ว่า ผู้ที่มีสติ ระลึกได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น สติ (ระลึกเป็นไปในกุศล) เป็นสิ่งที่มีอุปการคุณมาก ไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยอะไรเลย

~ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสที่จะทำความดีทุกอย่างทุกประการที่สามารถจะกระทำได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ เพราะเหตุว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่จิตที่ดี ก็เป็นอกุศลจิต, แม้เพียงเป็นกุศลจิต นิดเดียว ต่อไปจะเห็นค่าของหนึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือแม้แต่การฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่ละคำ แม้คำเดียว ก็มีค่า ที่จะทำให้เข้าใจคำอื่นต่อไปๆ

~ น่ากลัวมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เพราะเหตุว่าใกล้ ไม่ไกล ถ้ารู้สึกว่าไกล ก็ไม่ค่อยกลัว แต่ถ้าคิดว่าใกล้ อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ก็อาจจะเห็นโทษของอกุศลแล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้น

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๔


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มกร
วันที่ 4 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 4 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 ส.ค. 2562

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 4 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tim7755tim
วันที่ 4 ส.ค. 2562

กราบอนุโมทนาสาธุกับคำสอนทีนำมาเผยแผร่และกราบท่านอาจารที่มีเมตตา

แก่สัตวโลกที่มีดวงตามืดบอดมองไม่เห็นความจริงที่มี

อยู่เห็นอยูและหายไป

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
siraya
วันที่ 5 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 5 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 5 ส.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 6 ส.ค. 2562

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kukeart
วันที่ 16 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เจียมจิต
วันที่ 16 ธ.ค. 2562

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มังกรทอง
วันที่ 13 ส.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ