สนทนาธรรม ที่มาเลเซีย
13 - 17 พ.ย. 2560
เดินทางไปมาเลเซียกับ คณะสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.
ระหว่างวันที่ 13 - 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นเวลา 5 วันด้วยกัน ที่เมือง ปีนัง และ เมือง อิโปะห์

BANJARAN RETREAT HOTSPRING RESORT IPOH CIYT MALAYSIA
ท่ามกลางความพักผ่อน นั้นเอง ท่านอาจารย์ไม่เคยลืมประโยชน์ใหญ่ที่ท่านมักจะปรารภเสมอ นั่นคือ การสนทนาธรรม เพื่อประโยชน์กับผู้ที่ไปแม้จะเป็นการไปส่วนตัว แต่ ท่านอาจารย์ไม่ลืมนึกถึงประโยชน์ที่สำคัญที่สุดและประโยชน์กับผู้อื่นด้วย คือ การสนทนาธรรมและถ่ายทอดการสนทนาธรรมสมกับชื่อที่ว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ดั่งเช่น ตัวอย่างที่ท่านอาจารย์เห็นประโยชน์การเผยแพร่พระธรรมแม้การไปสนทนาส่วนตัวที่อื่น เมื่อคราวไปสนทนาธรรมส่วนตัวที่รอยัลปริ้นเซสคอนโด หัวหิน ท่านอาจารย์ก็ได้พบกระผมและได้ถามว่าได้นำอุปกรณ์การบันทึกภาพสนทนามาหรือไม่ ก็ได้กล่าวตอบท่านว่า เอามาครับ ซึ่งสมัยปัจจุบัน นิยมการดูถ่ายทอดทั้งภาพและเสียงทั้งทางเฟสบุ๊คและยูทูป และ ปัจจุบัน มูลนิธิไม่ได้เก็บเพียงเสียงเท่านั้น มีการตัดต่อเป็นภาพและเสียงออกมาเพื่อประโยชน์กับผู้อื่นมารับฟังในภายหลัง จากตัวอย่างที่กล่าวมา แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นเสมอ ในการเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาส่วนตัว เป็นต้น เพราะฉะนั้นการเดินทางไปมาเลเซีย พักผ่อนและสนทนา ที่เป็นส่วนตัวครั้งนี้ กระผมจึงได้นำอุปกรณ์ถ่ายภาพ สนทนาเพื่อประโยชน์กับผู้อื่น ซึ่งได้มีการถ่ายทอดการสนทนาธรรมแต่ละที่ ซึ่งมีประโยชน์มาก มีคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยฟังท่านอาจารย์ ได้มีโอกาสเปิดเจอและแสดงความคิดเห็นว่าขอติดตามฟังต่อไป ในเฟสบุ๊ค ชมรมบ้านธัมมะ มศพ.

BANJARAN RETREAT HOTSPRING RESORT IPOH CIYT MALAYSIA
สถานที่ที่ไป คือ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 13 - 17 พ.ย. 60 ที่เกาะปีนัง พัก 2 คืน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที โดยเครื่องบินแอร์เอเชีย และ เมืองอิโปะห์ พัก 2 คืน เมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขา ใช้เวลาเดินทางจากเมืองปีนัง โดยนั่งรถพื้นราบไม่ขึ้นเขา 2 ชั่วโมง
ก่อนมาได้ 7 วัน เกิดฝนตกหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาะปีนัง ถึง เกือบ สี่ร้อยกว่ามิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน สูงเกือบ 3 เมตร ในตัวเมืองปีนัง ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ังมีฝน แต่ ก่อนไปตกหนักมาก ความหวั่นไหวก็ยังมี ว่า เดินทางจะเจอฝนหรือไม่และน้ำจะลดทันหรือไม่ เพราะ ทางปีนัง ต้องขอความช่วยเหลือจากส่วนกลาง เพราะ นำท่วมสูง ถนนตัดขาด ก็คิดไปตามเหตุปัจจัยว่า จะเป็นอย่งไรก็เป็นอย่างนั้น ก็เช็คสภาพอากาศในวันที่ไป คือ ฝนแทบไม่ตกเลย ตลอด 5 วัน

วันแรกของการเดินทาง 13 พ.ย. 2560

ถึงเวลาแปดโมงเช้ากว่าๆ คณะของเราก็มาพร้อมกันที่สนามบินดอนเมือง สบายๆ นัดเวลากันให้สายๆ ไม่เช้าเกิน
ท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ดเดินทางมาถึง ก็ให้ท่านนั่งพักผ่อน กระผมก็เช็คอินให้
ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน ไม่จำกัด อายุ เพศ เพราะ ความเป็นมิตรเป็นสภาพจิตที่ดีงาม กาย วาจา ที่แสดงต่อกัน ย่อมเป็นไปในทางที่ดี เหมือนกับการเดินทางร่วมกันครั้งนี้
นั่งรอกันแป๊บนะครับ เตรียมเอกสารเช็คอินให้
น้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่า “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ซึ่งเป็นข้อความในพระไตรปิฎก ก็น่าพิจารณาว่า หมายความถึงขณะไหน สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรม และน้อมประพฤติปฏิบัติตามเพื่อจะขจัดกิเลส ขัดเกลา กิเลสเพื่อไปสู่ทางเดียวกัน คือ รู้แจ้งอริยสัจธรรม นั่นเป็นผู้ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะว่ามีจุดประสงค์อันเดียวกัน ฟังพระธรรมเพื่อจะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลา กิเลส เพื่อไปสู่ทางที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่ถ้าเป็นอกุศล ไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเหตุว่านำไปสู่คติต่างๆ ซึ่งไม่นำไปสู่พระนิพพาน
เพราะฉะนั้นแต่ละท่านซึ่งฟังพระธรรมก็พอจะพิจารณาขึ้นมาอีกว่า จิตใจของท่าน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือยัง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะถึงพระนิพพานไหมคะ เพราะว่ายังมีกิเลสอยู่ และไม่รู้ และไม่ขัดเกลาด้วย
ผู้ที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ จึงต้องเป็นผู้ละเอียด แล้วก็พิจารณาธรรม แม้เพียงข้อธรรมบางประการ ซึ่งอาจจะคิดว่า เล็กน้อย แต่แม้ข้อธรรมเพียงคำว่า “เป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ก็ทำให้ระลึกได้ว่า ในขณะนี้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับใครบ้าง หรือว่าสำหรับบางบุคคลยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ ถ้ายังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ เป็นความผิดของใคร
เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจริงๆ ถึงจะได้ประโยชน์ เป็นความผิดของคนอื่นหรือ ว่าเป็นความผิดของท่านเอง เพราะในขณะที่กำลังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับคนอื่น ขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
กลุ่มคุณประสาร ที่จัดสนทนาธรรมที่โรงเลื่อยจักรประสาร ก็มาด้วยครับ ที่เห็นก็เป็นญาติพี่น้องล้วนแล้วแต่ฟังธรรมกันทุกคน ขออนุโมทนาครับ
เช็คอินเรียบร้อย ท่านอาจารย์ คุณป้าจี๊ด และ คุณป้ากระเช้ารัตน์ ก็มีรถ wheelchair ไปส่งถึงทางขึ้นเครื่องบิน สิบโมงครึ่งก็เรียกขึ้นเครื่อง บิน 11.00 ถึง บ่ายครึ่งที่เมืองปีนัง และก็พักผ่อนกันเลยที่โรงแรม สบายๆ ครับ

คณะของเราก็เดินทางเข้า Gate กันมาแล้วครับ
แอร์เอเชียพร้อมแล้วจะออกเดินทาง สิบเอ็ดโมงเช้า กรุณาขึ้นเครื่องค่ะ ช้าตกเครื่อง นะคะ

อีกหนึ่งชั่วโมง 45 นาที ถึงปีนัง ที่คิดว่ากำลังเดินทาง แท้ที่จริงก็เพียงคิดเท่านั้น จิตเดินทางไม่ได้ รูปก็เดินทางไม่ได้ เกิดขึ้นและดับไปในขณะนั้นเท่านั้น ครับ

ถึงปีนังใช้เวลาไม่นาน หนี่งชั่วโมง 45 นาที เดินทางถึงสนามบินปีนัง มาเลเซีย
ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง และก็เดินทางเข้าเมืองปีนัง พักผ่อนกันที่โรงแรม Light Hotel Penang
รัฐปีนัง เป็นเกาะ ตั้งอยู่บนช่องแคบมะละกา อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย ปีนัง ยังได้รับขนานนามว่า “ไข่มุกแห่งตะวันออก” ในฐานะเมืองที่มีความสวยงามและโรแมนติกที่สุดเมืองหนึ่งของตะวันออก
เราต้องนั่งรถประมาณ 20 นาที ข้ามสะพาน ข้ามเกาะ ไปสู่เกาะปีนังกัน ครับ สักพักก็ถึงโรงแรม
ระหว่างรอเช็คอิน รอกุญแจ ท่านอาจารย์ ก็ไม่ว่างเว้น สนทนาธรรมกับสหายธรรม เวลามีค่าเสมอแม้เพียงเล็กน้อย เมื่อเข้าใจพระธรรม
ประโยชน์สูงสุดของชีวิตคือ การเข้าใจพระธรรม ดังนั้น กระผมได้เลือกโรงแรมที่มาเลเซีย ที่จะทำให้คณะได้พักผ่อนแล้ว ก็ได้ถือโอกาส เชิญ คุณปาล และ น้องหญิงจิ้ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ใกล้ปีนัง ก่อนมาประเทศมาเลเซียครั้งนี้ เพื่อจะได้มีโอกาสใด้ใกล้ชิดบัณฑิต กราบผู้ควรกราบไหว้และ สนทนาธรรม ฟังพระธรรม แม้จะอยู่ในสถานที่ไหนก็ตาม คุณปาล และ น้องหญิงจิ้ง เป็นผู้มีศรัทธา ฟังพระธรรมของท่าน อ.สุจินต์เป็นประจำอยู่แล้วมาหลายปี และ เคยอยู่ที่หาดใหญ่ ก็จะมาฟังสนทนาธรรม กราบท่านอาจารย์หลายๆ ครั้ง เมื่อครั้งที่ท่านอ.สุจินต์มาสนทนาที่หาดใหญ่ แต่ ด้วยเหตุปัจจัยที่ครอบครัวอยู่มาเลเซีย จึงได้ย้ายไปที่มาเลเซียใกล้ปีนัง กระผมจึงถือโอกาสที่ดี ที่จะชวนเพื่อนสหายธรรมที่อยู่ใกล้ปีนัง มาใกล้บัณฑิตและสนทนาธรรมกัน ก็นัดกันที่โรงแรม Light Hotel Penang ในเย็นวันแรก ที่เดินทางไปถึง และ ก็ได้พาไปกราบท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็เอ็นดู เมตตา ท่านทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
เช้าวันที่ 14 พ.ย. 2560
เป็นปกติของท่านอาจารย์สุจินต์ ที่ท่านรับประทานอาหารแล้ว ก็จะเยี่ยมเยียน คุยแต่ละโต๊ะ และ ไม่ทิ้งโอกาส คือ สนทนาธรรมให้พวกเราฟังเสมอ ซึ่งเนื้อหาสาระดีมากๆ ต้องขอขอบคุณ คุณวรรณี ที่คอยอัดเทป การสนทนาในทุกๆ ที่ แม้จะที่ไหนก็ตาม ทำให้กระผมได้ม๊โอกาสถอดเทปให้สหายธรรมได้อ่านกัน
ท่านอาจารย์ พูดคุย สนทนากับ คุณปาลและน้องหญิงจิ้ง อย่างเป็นกันเอง ที่ทั้งสองอยู่มาเลเซียและยังได้มีโอกาสมาพบท่านอาจารย์ อนัตตาจริงๆ ตั้งแต่ต้น จนจบ คือ ตั้งแต่เกิด ปฏิสนธิ จน ตาย จุติจิตเกิด
การได้ใกล้ คบ บัณฑิต เป็นมงคล
การสนทนาธรรมก็เป็นมงคล
คณะเราก็มาล้อมวง รับฟังการสนทนาที่โต๊ะอาหาร นี่แสดงถึงความจริงที่ว่า ธรรมเป็นปกติ ปกติ คือ เกิดแล้ว เห็น ได้ยิน เกิดแล้ว จะได้ยิน จะได้ฟังอะไร สถานที่ไหน ก็เกิดแล้ว ปัญญาก็เกิดได้ในที่ทุกสถาน พระสาวก ก็รับฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้าในหลายๆ สถานที่ ไม่ได้ต้องไปสำนักปฏิบัติเลย แต่ ขณะที่ท่านเหล่านั้นรับฟัง ปัญญาก็เกิดได้
ถ้ายังไม่มีความเข้าใจพระธรรมเสียแล้ว จะเอาอะไรไปปฏิบัติ เพราะแม้แต่คำว่าปฏิบัติก็เข้าใจผิด สำคัญว่าจะต้องไปนั่ง ไปเดินจงกรมทำอะไรแปลกๆ แต่ ปฏิบัติ คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม ปัญญา สติถึงพร้อมในที่ทุกสถาน โต๊ะอาหาร ห้องครัว ปัญญาเกิดได้ อนัตตาทั้งหมด ครบ
ท่านอาจารย์ ขั้นฟัง คือ ค่อยๆ รอบรู้ว่าเห็นและสภาพธรรมขณะนี้ไม่ใช่เรา ถ้าไม่รอบรู้ขณะนี้ ก็ไม่มีทางที่สติปัฏฐานเกิดได้เลย ไม่ต้องไปจำชื่อ แต่เข้าใจดีไหม
ท่านอาจารย์ ใครเคยบอกไหมคะว่าเห็น คือ ขณะนี้ไม่ใช่เรา นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็เป็นโอกาสที่เราได้มาพบ มาสนทนากัน ไม่เช่นนั้นก็อยู่กันไกลๆ
ท่านอาจารย์ จำได้พูดได้ แต่ขณะนี้คืออะไร เพราะฉะนั้นถูกปกปิดไว้หมด เพราะฉะนั้นเข้าใจขั้นไหน ขั้นการฟัง ดังนั้น ฟังธรรม ไม่แต่ง ไม่ต่อไม่เติม ไม่งั้นเราก็จะแต่งต่อเติมว่า ตรงนี้มีสติหรือยัง
ไม่ทิ้งของที่มีมาก ไม่ให้ของใคร ยึดถือหมด แสดงถึงกำลังของความติดข้อง โลภะ แต่ว่าไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็เป็นธรรม แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็จะทำผิด คือ ให้ตัวเองเป็นคนดี เข้าใจว่าเราดี ดีไหมหละ ลืมว่าเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ คิดมุมกลับ สิ่งที่เราไม่ได้ใช้ก็เหมือนไม่มี เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้ก็เหมือนไม่มี ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ก็เหมือนไม่มี ดังนั้นก็เป็นความยึดมั่นที่สำคัญว่ามี
จักรวาลก็ไม่พอเก็บกิเลส ที่คิดจะหาความไม่รู้ ขณะนี้แหละคะ กำลังไม่รู้ กิเลสก็อยู่ตรงนี้ ขณะนี้เห็นอยู่แต่ไม่รู้ว่าเห็นเป็นธรรม นี่แหละตัวเขา กิเลสความไม่รู้ มากมายมหาศาล จนกว่าจะเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม ก็ค่อยๆ ละไปทีละน้อย
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าแสดงไว้ชัดเจน หลังเห็นแล้วไม่เพียงกี่ขณะจิต อาสวะกิเลสเกิด อวิชชาสวะ ความไม่รู้ ไหลไปตลอด เพราะฉะนั้น ค่อยๆ มีความเข้าใจคำของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะค่อยๆ เพิ่มปัญญา
อย่าไปหวังอะไร เพราะหวังคือเพิ่มหวัง ไม่หวัง คือ ละหวัง ค่อยๆ ละความหวังไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ เก็บของต่างๆ ไว้ ก็เหมือนไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่กิเลสที่เกิดทำใครเดือดร้อน ตนเองนั่นแหละเดือดร้อน มีคนอื่น เพราะอะไร เพราะ ยึดถือว่ามีเรา จึงมีคนอื่น
ตัณหาสูตร
[๑๘๒] เทวดาทูลถามว่า โลกอันอะไรหนอย่อมนำไป อัน อะไรหนอย่อมเสือกไสไปโลกทั้งหมด เป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ อะไร
[๑๘๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า โลกอันตัณหาย่อมนำไป อันตัณหาย่อมเสือกไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตาม อำนาจของธรรมอันหนึ่ง คือ ตัณหา
จะหนีกันไปไหนครับ หนีโลภะ ตัณหาได้หรือ เพราะเกิดเป็นปกติ จะเที่ยว ไม่เที่ยว โลภะ ตัณหา ก็เกิดเป็นปกติ ลืมตา โลภะก็เกิดแล้ว ดังนั้น เป็นผู้มีปกติอบรมสติปัฏฐาน อบรมปัญญาเป็นปกติ คือ ปกติที่โลภะเกิดในชีวิตประจำวัน แม้ขณะเที่ยว ไม่เที่ยว ก็ปัญญาเกิดแทน โลภะ เมื่อเหตุพร้อม ในขณะที่สมมติว่าเที่ยว
เพราะปัญญา รู้อะไร รู้ธรรม ธรรมคืออะไร ธรรมคือ ความจริงในขณะนี้ เห็น ได้ยิน คิดนึก นาม รูป ในชีวิตประจำวัน
ธรรมไม่ได้ไปอยู่ในห้องปฏิบัติ ธรรมไม่ได้ไปอยู่ในที่สงบเงียบ แต่ ธรรมกำลังมีในขณะนี้ ปัญญาก็รู้ธรรม ที่กำลังมีในขณะนี้
ปัญญารู้ว่าอย่างไร ปัญญารู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เพราะปกติ ยึดถือว่าเป็นเราที่เที่ยว เป็นเราที่เห็น แท้ที่จริงมีแต่ธรรมแต่ละขณะเท่านั้น
นี่คือ เป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นปกติรู้ความจริง สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ปัญญาเกิดได้ในที่ทุกสถาน เมื่อปัญญาถึงพร้อมอันเกิดจกาการฟัง ศึกษาพระธรรม ครับ
บ้านเมืองเขาน่ารักดีนะครับ ปีนัง โดยมากคนจีนจะมาอยู่ที่ปีนังเยอะ ครับ และ ก็มีคนเชื้อสายมลายู และ อินเดียด้วย เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติ แต่ จะเชื้อชาติอะไรก็ตาม ชาติ คือ การเกิด ก็เป็นการเกิดของสภาพธรรม จะชาติไหน สิ่งที่เหมือนกัน คือ สภาพธรรมที่มีจริง จะเชื้อชาติจีน แข็ง ก็คือแข็ง กระทบก็แข็ง ลักษณะไม่เปลี่ยน คนมลายู กระทบ แข็ง ก็แข็ง ลักษณะไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น ธรรม จึงเป็นสัจจะ ไม่เปลี่ยนลักษณะ จึงเรียกว่า ปรมัตถธรรม ธรรมที่ยิ่ง เพราะไม่เปลี่ยนลักษณะ ต่างจาก สมมติ บัญญัติเรื่องราว ก็เปลี่ยนไปตามชื่อ ตอนนี้ เรียกชื่อว่า ชนชาตินี้ ต่อไปก็ใช้ชื่ออื่นก็ได้ ดังนั้น ชื่อไม่มีลักษณะ ไม่มีจริง ครับ

วันนี้แดดแจ่มมากเลยฮับ กลัวฝน จะตกกัน ไม่ตกเลย
แต่ละคนก็ปกติ เห็นกล้องไม่ได้จริงๆ อาสวะกิเลส ไหลไปทันที ... เป็นปกติไหมครับ ต้องไปห้ามกิเลสไหมครับ เกิดแล้วเป็นปกติ ขาดปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ในขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เราครับ
แต่ถ้าผิดปกติหละก็ ตัวตนอีกและ จะทำอย่างไร ช่วยบอกวิธี หน่อย ไม่ให้กิเลสเกิด บอกวีธีหน่อย ให้ปัญญาเกิด ลืมว่าเป็นธรรม อนัตตา บังคับไม่ได้ นี่คือ ผิดปกติ ด้วยตัวตน ด้วยความเป็นเรา ครับ
ดังนั้น คำว่า ถ้าแต่ต้อง ... มักมีเสมอ สำหรับคนที่ไม่เข้าใจอนัตตา ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ แต่ เราควรจะ ... ต้องปล่อย .. ล้วนแล้วแต่ลืม อนัตตา

แอบยิ้มมองกล้องด้วยอ่ะครับ น้องหญิงจิ้ง

เมืองปีนัง ก็จะ ศิลปะ ภาพวาด ที่เรียกว่า STREET ART ตามฝาผนัง บ้านเรือน สวยงาม น่ารักดีครับ ตามตรอกซอกซอย ที่เราขับผ่านกัน ก็จอดกันถ่ายรูป
พี่เล็ก สุรภา หัวหน้าทัวร์เรา ก็ด้วยนะ หลายรูปเลย
นี่ภาพ ยังกับพี่เล็ก นั่งในเรือแจว ให้เขาแจวเรือให้อยู่เลย
ช่างน่าคิดธรรม ผู้อ่านก็น่าจะคิดตาม ในคำถามที่ผมจะถามว่า
ภาพที่เราเห็นลุงถีบสามล้อ ให้พวกเรานั่งมา 30 คัน ที่ผมถ่ายมา กับ ภาพวาดเขียนบนฝาผนังตึก ที่เด็กขี่จักรยาน คุณลุงพายเรือแจว อันไหนเป็นเรื่องจริง อันไหนมีจริง ครับ ลองคิดกันสิครับ
คำตอบ คือ ... .
ไม่มีจริงทั้งคู่เลย เพราะ ทั้งสอง ต่างก็เป็นเรื่องราวที่สมมติว่าเป็น คุณลุงถีบสามล้อให้พวกเราสามสิบคน สมมติว่ามีเด็กขี่จักรยาน ในฝาผนังบ้าน และ สมมติว่า เป็นลุงพายเรือแจว
นี่แสดงให้เห็นถึง การไม่รู้ความจริงว่า อะไรมีจริง อะไรไม่มีจริง ถ้าสำคัญว่าเรื่องมีจริง ก็จะสำคัญว่า ลุงที่ถีบสามล้อให้พวกเรานั่ง ในภาพ มีจริง แต่ เด็กที่ขี่จักรยาน ในภาพวาด ไม่มีจริง แท้ที่จริง ทั้งสอง ที่มีจริง คือ สิ่งที่ปรากฎทางตา คือ สี แต่ เรื่องราวเป็นคนนั้น คนนี้ ไม่มีจริงทั้งสิ้น เพราะ ไม่มีลักษณะ มีแต่เรื่องราว สี มีจริง มีลักษณะ คือ ปรากฎทางตา ครับ
ท่านผู้อ่าน คงตอบกันได้แล้วนะครับ ว่า ภาพที่คณะเราถือลูกโป่ง กับ ภาพวาดของเด็กถือลูกโป่ง อะไรมีจริง ครับ
เสร็จจากการเที่ยวชมเมืองด้วยสามล้อแล้ว ก็เตรียมขึ้นรถ ไปทานอาหารกัน พี่วรรณี ก็สม่ำเสมอในกาเรจริญกุศล ดูแลท่านอาจารย์ครับ
เดี๋ยวๆ ให้ขึ้นรถ ครับ ผ่านร้านช้อป ขายของไม่ได้เลย แวะกันประจำ อ่ะ ให้เวลา 10 นาทีครับ
ขึ้นรถแล้ว ผมก็บอกกับไกด์คนจีนว่า พาเราไปทานข้าวนะ ร้านนี้ผมติดต่อไว้แล้ว ไกด์ก็โอเค โอเค ป้าบ แป๊บเดียวเท่านั้น เอ๊ะ ถึงแล้วเหรอ จอดปุ๊บ บอกผมว่า ถึงแล้ว ถึงไหนอ่ะ ก็เลยบอกลงกัน ลงกัน นึกว่าร้านอาหารที่จองไว้ เข้าไปเท่านั้นแหละ นี่ร้านจิวเวอรี่ ขายเพชร พลอย นิ!!
ไม่นะ! ผมไม่ได้จะมาซื้อเพชรพลอย เอ้าแล้วสิ ลูกทัวร์ไม่สนใจ เข้าไปกันใหญ่เลย ผมเลยบ่นกับไกด์ ว่าไปร้านอาหาร สิครับ เขาก็ยิ้ม
เราบ่น โทสะเกิด กับไกด์ กลัวท่านอาจารย์และสมาชิก ทานอาหารเลยเวลา แต่ ท่านอาจารย์เข้าไปในร้าน มองดู ลูกศิษย์ สบายๆ ชิวๆ เลย ด้วยสายตาที่เปี่ยมเมตตา โอ้ ผมคงไม่รู้จิตท่าน แต่ จิตตชรูป รูปที่เกิดจากจิต ที่แสดงออกมาทางกาย ช่างดูผ่อนคลายเสียนี่กระไร กราบท่านอาจารย์ครับ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง
จะยิ้ม จะหัวเราะ ปกติ สบายๆ ตามสไตล์ RELAX IN MALAYSIA จริงๆ
จบจากการทานอาาหารกลางวันแล้ว โปรแกรมของเรา คือ สนทนาธรรมกัน เริ่ม เกือบสี่โมงเย็น สบายๆ ในห้องพักส่วนตัว Light hotel Penang 14 พ.ย. 2560 ขอถอดเทปบางส่วนในสาระดีๆ ให้อ่านกัน ครับ
คลิปวีดีโอเต็ม ยูทูป สนทนาธรรมที่ Light Hotel ปีนัง 14 พ.ย. 2560 เนื้อหาสาระดีมากๆ เชิญคลิกฟังได้
ต่อด้วยการสนทนาธรรมในช่วงสายของวันที่ 15 พ.ย. 2560 ที่โรงแรม Lihgt Hotel Penang เช่นเคยครับ

นิยมคุณความดี
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน อาชีพอะไร สูงต่ำดำขาว เป็นอะไรทั้งหมดนะคะ เมื่อเป็นความดี เราก็นิยม คนเก็บเงินตกคืนเจ้าของ ลองคิดดู เงินเยอะด้วยนะคะ เป็นแสนก็มี แท็กซี่ ก็ยังสามารถที่จะมีความดี ที่จะไม่เก็บไว้ใช้

ความดีทุกอย่างเป็นที่นิยมนะคะ เพราะฉะนั้น คนที่ดีที่สุด ก็เป็นที่นิยมที่สุด ไม่มีใครเปรียบได้ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพียงความดีเท่านี้ยังไม่พอ เพียงแค่เก็บเงินคืนเจ้าของ ช่วยเหลือคนยาจน แต่ยังที่จะสามารถมากกว่านั้นอีก คือ ช่วยให้คนอื่นได้รู้ความจริง

ท่านอาจารย์ คำใดที่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่เราเอาคำนั้นมา นี่เป็นยังไง นั่นเป็นยังไง หมายความว่าอะไร เพราะ ฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็เป็นเราไปโดยตลอด ไม่ได้เข้าใจ

ท่านอาจารย์ เรายังไม่รู้เลยว่าเห็นเป็นยังไง แล้วเราจะไปรู้เหตุที่จะให้เกิดเห็นได้ไหม เห็นก็ยังเป็นเราอยู่อย่างนี้ แล้วจะไปรู้เหตุให้เกิดเห็นได้ไหม ก็ไม่ได้ จนกว่าจะรู้ว่าเห็น ต่างกับ สิ่งที่ปรากฎให้เห็นอย่างไร

คุณพรทิพย์ ท่านอาจารย์คะ หนูฟังพระสูตร ท่านพระเทวทัตก็ทำไม่ดีหลายๆ ชาติ ในอดีต แสดงว่าอกุศลนั้นมันสะสม สะสมจนกระทั่งมีกำลัง ก็กระทำอีก จนกระทั่งชาติสุดท้ายก็กระทำกับพระพุทธองค์อีก
ท่านอาจารย์ แล้วคุณพรทิพย์พูดอย่างนี้ คุณพรทิพย์ รู้ไหมคะ ว่ากำลังพูดถึงปัจจัย โดยที่เราไม่ต้องไปใช้คำนี้เลย เพราะฉะนั้นเข้าใจก่อน ค่อยมารู้จักชื่อทีหลัง อะไรก็ตามที่กระทำบ่อยๆ มีกำลังไหมคะ ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า อุปนิสสยปัจจัย เพราะว่าปัจจัย คือ ธรรมที่อาศัยให้เกิดขึ้น อุปะ แปลว่ามีกำลัง เพราะฉะนั้น คนที่เจ้าโทสะเพราะอะไร เพราะ โกรธบ่อยๆ จนมีกำลัง เพราะฉะนั้นคำทุกคำที่เราพูดภาษาไทย ก็คือ เราไม่ได้บอกชื่อภาษาบาลีเท่านั้น

ท่านอาจารย์ เว้นไม่คบคนพาล เพราะคนพาลไม่ได้นำประโยชน์อะไรมาให้เลยทั้งสิ้น เพราะอกุศลของเขาเป็นปัจจัยให้เกิด อกุศล เวลาที่เราฟังของเขาที่ไม่จริง ไม่ถูกต้องแล้วเราเชื่อ

ท่านอาจารย์ บารมี ..ฝั่งนี้เป็นฝั่งของกิเลส แต่ อีกฝั่ง เป็นฝั่งของการไม่มีกิเลสเลย หนทางที่จะไปถึงที่ฝั่งนั้น ต้องเป็นความเห็นที่ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ ติดข้องในสิ่งที่มี จะไม่ติดข้องในสิ่งที่มี ก็ด้วยการรู้ความจริง ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ยังติดข้อง ค่ะ ยังเป็นเขา ยังเป็นเรา ยังเป็นสิ่งนี้ แต่ถ้ารู้ความจริงว่า แค่มีแล้วไม่มี ไม่กลับมาอีกเลย หายไปเลย ก็โล่งใจ ใช่ไหมคะ จะเดือดร้อนอะไร กับเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เราด้วย
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะหลับ จะฝัน จะตื่น ทั้งหมด แสดงถึงความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ก็เป็นธรรม ธรรมอะไร ก็แต่ละหนึ่ง จะเป็นอะไรอย่างไรก็อย่างนั้น
คุณปัญญา บุญชู อัตตา กับ อนัตตาเนี่ย ต่างกันอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ อัตตา หมายถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่สมุด เป็นสมุดและ นั่นดินสอ เป็นดินสอและ แต่ อนัตตา คือ เพียงปรากฎให้เห็น จะเป็นอะไรไม่ได้ ถ้าไม่คิดถึงรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้น เห็นแล้ว หมดแล้ว คิดต่อ จากสิ่งที่ปรากฎเป็นสีสัน วรรณะต่างๆ เพราะฉะนั้นคิดต่อจากเห็น คิดต่อจากได้ยิน คิดต่อจากเสียง แต่เราคุ้นเคยจนรู้ว่าหมายความว่าอะไร
คุณปัญญา บุญชู ฟัง ท่าน อ.สุจินต์ มา อนัตตา คือ ไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีตัวตน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นแต่เพียงธาตุ เป็นแต่เพียงธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไป นั่นคือ อนัตตา ไม่ใช่เรา อัตตา แปลว่าเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ อนัตตา คือ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใครด้วย สิ่งที่ปรากฎทางตาเดี๋ยวนี้เป็นของใคร สิ่งที่ปรากฎทางตา ก็ไม่ใช่ของจิตเห็น แค่เพียงปรากฎให้รู้เท่านั้น และ จิตเห็นก็ไม่ใช่ของใคร เพียงเกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น อนัตตา
ขอเชิญคลิกวีดีโอสนทนาธรรมเต็มๆ ทางยูปทูปของวันที่ 15 พ.ย.2560
ข้อความที่เขียนของคุณปาล ดังนี้
การเดินทางของท่านผู้มีปัญญา
ข้าพเจ้า น.ส. ปาล สว่างพัฒนกุล สมาชิก มศพ.2097 รู้สึกยินดี ซาบซึ้งกับการมาเยือนของท่านผู้มีปัญญาคือ นำโดย ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะผู้ติดตามฟัง-สนทนา (สหายธรรม) ตามหลักคนทั่วไป คงคิดว่าการไปต่างประเทศ ต่างถิ่น เป็นการไปเที่ยว ไปพักผ่อนหย่อนใจ แล้วแต่บุคคลใดจะให้คำนิยามว่าอย่างไร สรุปคือ การไปต่างประเทศ การไปต่างถิ่นนั้น คือการไปท่องเที่ยวนั่นเอง ในความคิดของคนทั่วไป ของนานาแต่ละหนึ่งแต่ละบุคคล
ขออนุญาตท้าวความไปถึงเมื่อต้นปีที่ท่านอาจารย์สุจินต์มาบรรยายธรรมที่หาดใหญ่ หลังจากท่านมาโปรดลูกศิษย์ชาวหาดใหญ่เสร็จ ปาลได้มีโอกาสตามไปส่งท่านอาจารย์สุจินต์เหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่นี่คงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ตามมาฟังมาส่งท่านอาจาย์สุจินต์ จึงกราบเท้าพร้อมกล่าวลากับท่านว่า ปีหน้าอาจจะไม่ได้มาฟังท่านอาจารย์สุจินต์บรรยาย เพราะเหตุว่าปาลและหญิงจิ้งจะต้องย้ายไปพำนักที่มาเลเซีย จุดประสงค์ ณ ตอนนั้น เพราะคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบเจอกันอีก เพราะปาลตระหนักรู้ถึงการไปอยู่กับคนหลายคนก็เหมือนกำไลหลายอัน คงจะตามใจอิสระเหมือนอยู่ประเทศไทยไม่ได้ เผื่อตอนท่านมาบรรยายธรรมที่หาดใหญ่ ท่านไม่เห็นปาลกับหญิงจิ้ง ท่านจะได้ทราบถึงสาเหตุที่ไม่พบเจอเราแม่ลูกเพราะเหตุอันใด
จนประมาณเมื่อกลางๆ ปี ปาลเช็คอินที่มาเลเซียพร้อมรูปภาพบรรยากาศ พอดีเป็นเพื่อนกับอ.ผเดิมทางเฟสบุค อ.ผเดิมได้เข้ามาถามว่าที่ไหน ก็แจ้งที่อยู่ไป แต่ไม่นึกฝันเลยว่าท่านจะกรุณาเมตตาเดินทางมาเกื้อกูลลูกศิษย์ผู้ย้ายถิ่นฐานคนนี้
มาถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 วันที่จำไม่ได้แล้ว ได้รับข้อความจากอ.ผเดิมว่า ท่านอาจารย์สุจินต์จะมาที่มาเลเซียนะ ตอนนั้นหัวใจเต้นแรงตื่นเต้น ท่านอาจารย์จะมาก็รู้สึกยินดีปิติมากที่จะได้พบกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ แต่แล้วความปิติก็ดับวูบเนื่องจากด้วยสังคม สิ่งแวดล้อม และฐานะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็พาหดหู่เศร้าใจ ว่าคงไม่ได้ไปกราบเท้าท่าน เนื่องจากว่าโลกที่ปาลอยู่ กับโลกของคนรอบข้างนั้นเป็นคนละโลกกัน บางครั้งเขาเหล่านั้นยังว่าแดกดันว่าเทวดานางฟ้า ...
จนได้รับข้อความจากอ.ผเดิมอีกครั้งว่า ท่านอ.สุจินต์จะมาเยือนที่มาเลเซียวันที่ 13-17 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ปาลตื่นเต้นมาก แต่ก็ต้องมาเจอตออีกในทางความคิด ปาลจะมีโอกาสได้ไปกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ไหมน้า คิด คิด คิด (วางแผน คริคริคริ😁) อยู่นาน แต่ก็นึกได้ว่า เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลูกศิษย์ท่านอาจารย์สุจินต์ เราต้องเป็นผู้จริงใจไม่คดงอ แจ้งตามตรง ผลเป็นอย่างไรอนัตตา
จึงตัดสินใจแจ้งสามีไปว่า วันที่ 13 - 15 เดือนพฤศจิกายน ฉันจะไปปีนังนะ สามีถามกลับว่าเธอจะไปทำอะไร? เจอคำถามนี้สะอึกเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า พอดีคณะท่านอาจารย์สุจินต์มาที่ปีนังฉันอยากไปพบท่าน สามีเปิดปฏิทินแล้วบอกว่านี่มันตรงกับวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลาเรียนของลูกหญิงจิ้งนะ ปาลบอกไปว่าก็หยุดเรียนสามวันเองไม่เป็นไรหรอก สามีเสียงเริ่มแข็งๆ อะไรของเธอเนี้ย เธอเป็นอะไร เขาเป็นอะไรกับเธอหรือ? ถึงจะต้องไปหา ปาลหยุดนิ่งเหมือนหุ่น เพราะขณะจิตนั้นปาลโกรธมากกกก แต่ก็ระลึกได้ว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ถ้าปรี๊ดแตกคือต้องบาดหมางใจกัน ด้วยความรวดเร็วของจิตแต่ก็หยุดไปสามสี่วิ ประมาณเอา แล้วตอบสามีไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย (คือยังขุ่นเคืองเศร้าใจเล็กๆ) เขาเป็นคุณครูของฉัน ครูท่านมาจากประเทศไทย ฉันในฐานะลูกศิษย์ของครู เธอคิดว่าสมควรหรือไม่ที่ฉันจะไปพบท่าน พูดจบปาลก็เดินออกไปจากห้องทำงานของสามี ผ่านไปไม่ถึงห้านาที สามีเดินตามมาบอกว่าไปก็ไป เธอจะไปกี่โมง ฉันจะไปส่ง และมาถามรายละเอียดสรุปคือสามีเขาอนุญาต ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้ไป ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันที่ 13/11/2560
ในที่สุด วันที่เฝ้ารอก็มาถึง วันที่ 13/11/2560 รอคุณสามีเลิกงาน แล้วให้เขาขับรถไปส่งที่ ไลท์ โฮเทล ปีนัง มาถึงหน้าโรงแรม อ.ผเดิม ลงมารับที่ล๊อบบี้ แล้วนำพาปาลกับหญิงจิ้งไปกราบเท้าท่านอาจารย์ สุจินต์ และ ป้าจี๊ดที่ห้อง เวลาสองวันอันแสนมีค่าได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มิอาจย้อนกลับมาได้ในสังสารวัฎฏ์ 15/11/2560 วันสุดท้ายของการสนทนา ก็นำพามาซึ่งความประทับใจอย่างยิ่งในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ที่ได้ทราบว่า ทำไมต้องมาที่มาเลเซีย เพราะมีคุณปาลอยู่ที่นี่ คำว่าเพราะมีคุณปาลอยู่ที่นี่ ทำให้ปาลซาบซึ้งในความกรุณา ในเมตตา ของท่านอาจารย์ที่มีต่อลูกศิษย์ผู้ห่างไกล ผู้ด้อยโอกาสคนนี้ ท่านจำได้ว่าปาลกล่าวกราบลากับท่านที่สนามบินว่าเราแม่ลูกจะย้ายไปพำนักที่มาเลเซียแล้ว ถ้าดูในแผนที่จะทราบได้ว่ารัฐปีนัง อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์หลายชั่วโมง และปีนังก็ไม่มีอะไรน่าดูน่าชม ท่านอาจารย์กรุณานั่งรถต่อมากับคณะเพื่อให้มาใก้ลรัฐที่ปาลพำนักอยู่คือรัฐเคดาห์ เหนือสุดของมาเลเซีย เหมือนท่านหยั่งรู้เกื้อกูลให้ความสะดวกแก่ปาลและหญิงจิ้งให้มีโอกาสได้ไปกราบท่าน หยั่งถึงประโยชน์ที่ปาลควรได้รับ เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งต่อปาลและหญิงจิ้ง เจอหน้ากันท่านยังเป็นห่วงถามถึงการเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง ไกลไหม จากบ้านปาลเดินทางมาถึงไลท์ โฮเทล ไม่ไกลเลยใช้เวลาแค่ประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเอง
ท่านเกื้อกูลทุกด้าน ตั้งแต่การเดินทาง ความสะดวก ทั้งๆ ที่ท่านอายุขนาดนี้ 90 กว่าปี ท่านยังเดินทางไกลมาเกื้อกูล นี่แหละการเดินทางของผู้มีปัญญา ถึงที่สุดท่านมาเกื้อกูลความจริงให้กับปาล คำว่าเพราะว่ามีคุณปาลอยู่ที่นี่ ทำให้ปาลตระหนักถึงว่า ตัวเราผู้ต้อยต่ำ ผู้สกปรก ผู้อ่อนแอ ผู้หนาด้วยกิเลส ผู้หิวโหยแถมเป็นโรคร้าย รกชัดด้วยอวิชา ท่านยังเดินทางมาเกื้อกูลประโยชน์ด้วยคำจริง ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ที่ยิ่งด้วยปัญญา ผู้ประเสริฐ ผู้เป็นมงคลชีวิตของปาล เพื่อไม่ให้การเดินทางของผู้มีปัญญาสูญเปล่า ปาลตั้งปณิธานกับตนว่า จะตั้งใจศึกษาอ่านปรมัตถธรรมสังเขป หนังสือทุกแล่มของ มศพ.ที่ปาลมีอยู่ และ ฟังพระธรรม ตราบเท่าชีวีตจะหาไม่ในชาตินี้
สุดท้ายนี้ ปาลขอน้อมกราบเท้าท่านอาจาย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพเป็นอย่างยิ่งด้วยกำลังปัญญาเท่าที่มี แด่ การเดินทางของผู้มีปัญญา ผู้เป็นแสงส่องทาง ผู้เป็นกำลังแห่งจิตให้ขวนขวายใฝ่ใจศึกษาพระธรรม การเดินทางของผู้มีปัญญาจะไม่สูญเปล่า เพราะเหตุว่า ลูกศิษย์ผู้ต้อยต่ำ ผู้สกปรกคนนี้ จะกระทำการขวนขวายให้ยิ่งขึ้น แม้คนรอบข้างจะมองว่าปาลเป็นตัวประหลาดเป็นเทวดานางฟ้าด้วยความแดกดัน ก็ไม่แคร์ ไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรจะตอบแทนในความเมตตา ในการเดินทางของผู้มีปัญญา มีเพียงแต่ความแน่วแน่ที่จะทำดีและศึกษาพระธรรมต่อไป ...
ถึงล้อบบี้โรงแรมแล้ว กระผมก็เตรียมเช็คอิน ท่านอาจารย์ก็นั่งพักรอ
แว่วเสียงภาษาไทย มาแต่ไกล จากพนักงาน เอ๋ คนมาเล พูดไทยได้ด้วยเหรอ อ้อ น้องพนักงานท่านหนึ่งชื่อ วนิดา เป็นลูกครึ่งไทย มาเลเซีย ทำงานที่นี่ ต้อนรับเราอย่างดีมาก จนทุกอย่างสะดวก สบาย เช็คอิน เตรียมกุญแจกันเรียบร้อย
ระหว่างนั้นเอง ก็เกิดการจับกลุ่มขึ้น ท่าน อ.สุจินต์ ก็สนทนาธรรมอันเป็นประโยชน์ ซึ่งโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณ วรรณีอัดไว้ ข้าพเจ้า จึงจะขอ นำการสนทนาธรรมที่ล้อบบี้ มาให้สหายธรรมได้อ่านกัน อันเป็นคำจริง สัจจะ ไพเราะครับ
ท่านอาจารย์ หาไม่ได้หรอกคะ ปัญญา ในสังสารวัฏฏ์เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจเท่านั้น แม้แต่คำว่าระลึกรู้ บอกให้ระลึกรู้ ยังไม่รู้จักสติเลย ไม่รู้จักสติที่ระลึกรู้เลย แต่บอกให้ระลึกรู้ ก็นึกคิดเองเอง แข็งใครก็รู้ แค่นี้พอไหม แข็งเกิดไหมคะ แข็งดับไหมคะ นี่คือ ทุกขอริยสัจจะ ซึ่งเป็นความจริงและเป็นความจริงที่รู้ได้ยาก แต่ก็ต้องรู้ ซึ่งก็เป็นไปตามลำดับของปัญญา

ท่านอาจารย์ ขณะนี้เกิดให้เห็น ก็เป็นอนัตตาก็ไม่เห็น ตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่เห็น จนกว่าจะได้ฟังคำของพระพุทธเจ้าทรงแสดง และทรงแสดงละเอียดยิบ ก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเราและความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเที่ยง ยั่งยืน

ท่านอ.สุจินต์ อนัตตา หาที่ไหนคะ เดี๋ยวนี้ค่ะ อนัตตา มีสิ่งที่ปรากฎทางตา ทางหู เสียง เราไม่ได้ทำ แต่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย อนัตตา

ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ จึงจำว่าเป็นตัวเราตั้งแต่เกิด

ท่านอาจารย์ โง่แค่ไหน อวิชชาคือตัวโง่ หลงด้วย หลงในสังสารวัฏฏ์ จมด้วย จมอยู่ในความมืดสนิท ไม่เห็นแสงสว่าง เพราะพอเกิดมา ก็เป็นเรา เป็นเราไปตลอด

ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น กว่าเราจะตัดใจ ตัดเยื่อใย ตัดยางใยที่เคยเป็นเรา ที่เคยเป็นสิ่งที่เราชอบ เพราะมันไม่มี ดังนั้นเราไม่รู้แค่ไหน ที่คิดว่ายังอยู่ ยังมี
เช้าวันที่ 16 พ.ย. 2560 ที่ BANJARAN HOTSPRINGS RETREAT HOTEL IPOH CITY

ท่านอาจารย์เดินทางมาถึงที่สนทนา ก็ปรึกษาท่านว่า จะให้สนทนาในลานโยคะ มีหลังคาไหม ท่านอาจารย์ท่านแนะนำว่า ข้างนอกเลยค่ะ อากาศดี สบาย บริสุทธิ์ ไม่ต้องมีหลังคา โอ้ จริงๆ ครับ ข้าพเจ้า ขอถอดเทป ธรรม ที่สนทนากันในช่วงเช้า วันที่ 16 พ.ย. 2560 บางส่วน พร้อมคลิปวีดีโอ ยูปทูปสั้นๆ บางตอน และ คลิปยูทูปสนทนาเต็มๆ ช่วงเช้า ดังนี้

ท่านอาจารย์ วันหนึ่งเราคิดเรื่อง มรณสติ ความตาย ว่าเราจะต้องจากโลกนี้ไป แต่ความจริง จากเร็วกว่านั้นอีกค่ะ จากอยู่ทุกขณะ จนกระทั่งถึงแม้จากยังเป็นคนนี้ หมดไปก็ยังเป็นคนนี้ จนกว่าถึงขณะสุดท้าย ไม่เป็นบุคคลนี้อีกเลย เด็ดขาด เป็นคนใหม่ทันที


ท่านอาจารย์ เหมือนเราเนี่ย ชาติก่อนเป็นอะไร เป็นอะไรไม่รู้เลย เป็นนก เป็นอะไร ก็ไม่รู้นะคะ แต่ชาตินี้เป็นคนนี้ และ เป็นได้แค่นี้ด้วย พ้นจากชาตินี้แล้วเป็นอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรม คือ ชาติที่ได้มีโอกาสฟังแล้วเข้าใจ


ท่านอาจารย์ เข้าใจเท่านั้นเองค่ะ จะมาก จะน้อยก็เห็นประโยชน์ว่า แต่ก่อนเราไม่เคยเข้าใจเลย สักคำก็ไม่เคยได้ยิน แต่พอได้ยินแล้วเริ่มเข้าใจ แล้วยังรู้ว่าอีกมาก ที่จะต้องเข้าใจ ก็คือเข้าใจไปเรื่อยๆ เพระาเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
ท่านอาจารย์ ใครจะให้เข้าใจมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้ได้ไหม แต่พรุ่งนี้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อยนึง เหมือนวันนี้ที่เราเข้าใจเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้
ท่านอาจารย์ . การเป็นพระภิกษุ คือ สละเพศคฤหัสถ์ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ โดยมีศีลเป็นกำเนิด ศีล 227 ข้อ แสดงความไม่ใช่คฤหัสถ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเพื่อให้รู้ว่าเป็นพระภิกษุ


ท่าน อ.สุจินต์ ... ทำไมถึงมาเป็นพระภิกษุ อยู่ดีๆ ก็มาเป็นพระภิกษุได้หรือ ก็คฤหัสถ์อย่างนี้แล้วจะมาเป็นพระภิกษุ มีเหตุผลอะไร จึงมีคำถามว่า บวชทำไม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังธรรมเลย จะรู้ไหม ดังนั้นคนที่จะบวช ต้องเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะบวชหรือ บวชคืออะไร คะ บวชแล้วได้เงินได้ทอง มีคนเอาเงินใส่บาตรอย่างนี้หรือคะ นั่นไม่ใช่บวช ค่ะ นั่นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะฉะนั้นภิกษุทุกรูป ต้องรู้ว่าบวชทำไม ถ้าบวชเพื่อจะได้เงิน ไม่ใช่ภิกษุ ถ้าบวช ไม่ฟังธรรม ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย
ภิกษุ บวช ออกจากบ้านเรือน คืออย่างไร
ท่าน อ.สุจินต์ ... ตราบใดที่ยังมีบ้านเรือน เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติของเรา ถ้วยจาน ชาม ของเราหรือเปล่าคะ ช้อน ส้อม มีด เตียง นอน ของเราหรือเปล่า เสื้อผ้าอะไรต่างๆ เป็นของเราหรือเปล่า วิทยุ โทรทัศน์เป็นของเราหรือเปล่า ทุกอย่าง ทางตา ทางหู เป็นต้น ของคฤหัสถ์ติดข้องหมด ผมก็ต้องสระ หวี อาหารก็ต้องอร่อย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของเพศคฤหัสถ์ เป็นเพศของความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในกระทบสัมผัสทางกาย นี่คือคฤหัสถ์ที่ติดข้อง

ท่าน อ.สุจินต์ ... .ดังนั้นคนที่ฟังธรรมแล้ว เห็นโทษของความติดข้อง และรู้ตนเองว่าสามารถจะสละ จะละความติดข้องทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ในชีวิตคฤหัสถ์ จึงจะสามารถอยู่อย่างภิกษุตามธรรมวินัยได้ เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นเป็นพระภิกษุเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง

คลิปวีดีโอยูทูป สนทนาธรรมที่ BANJARAN HOTSPRINGS RETREAT HOTEL 16 พ.ย. 2560 ช่วงเช้า คลิปเต็ม เชิญคลิกฟังได้ครับ
หลังจากจบสนทนาเสร็จ ท่านอาจารย์ก็มาถามกระผมว่า เย็นเราจะมีสนทนากันไหม ก็เลยกราบเรียนว่า กระผมจะหาที่สนทนาให้ครับ ก็นับว่า ได้ประโยชน์กับการที่จะมีสนทนาเพิ่มเติม ตามสบาย ของท่านอาจารย์และคณะที่จะให้มีการจัดสนทนา หรือ ไม่มี ถ้าเหตุพร้อมก็มีครับ


ท่าน อ.สุจินต์..ไปวัดได้บุญไหม ถ้าไม่รู้จักบุญ ก็ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร อยากแต่จะได้บุญ เขาคิดว่าเขาได้บุญ แต่ไม่รู้จักบุญ

ท่าน อ.สุจินต์..กุศล คือ สภาพธรรมที่เป็นสุข เป็นประโยชน์ ไม่ทำร้ายใครและจิตใครเลย บุญ คือ สภาพธรรมที่ชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์


ท่าน อ.สุจินต์..เดี๋ยวนี้อะไรปรากฎ สิ่งที่เกิดดับสืบต่อก็เป็นนิมิต สิ่งที่ปรากฎเกิดดับสืบต่อสุดประมาณได้ จึงปรากฎเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นนิมิต



ใจเย็นๆ ในการอบรมปัญญา คือ?
ท่าน อ.สุจินต์..ต้องเป็นผู้ที่ใจเย็นๆ ดิฉันเคยพูดเรื่องนี้กับคนหนึ่ง แล้วเขาก็บอกว่า หมายความว่าอย่างไร ใจเย็นๆ ไม่ให้ทำอะไรเลยหรือ ก็บอกเขาว่า ใจเย็นๆ ก็คือว่าไม่ต้องไปรีบด่วนทำอะไร เพราะว่าอยากจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะ เพราะเหตุว่าไม่ได้หมายความว่า คนนั้นมีความตั้งใจ มีความพากเพียร แล้วก็สามารถจะประจักษ์สภาพธรรมได้ แต่เป็นเรื่องการอบรมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

แล้วก็มีผู้ที่ฟังธรรม ก็หลายท่านที่มาบอกว่าเขาเชื่อเลย พอบอกว่าไม่ต้องทำอะไร หรือว่าใจเย็นๆ ปล่อยหมดเลย ไม่ต้องทำอะไรจริงๆ แต่ภายหลังก็มาคิดได้ ก็ไม่เห็นมีปัญญาเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องไม่ใช่แน่นอน การที่ฟังธรรมะ ต้องฟังด้วยความแยบคาย ด้วยการพิจารณาในเหตุผลให้ถูกต้องจริงๆ ใจเย็นๆ ก็คือว่าไม่ต้องใจร้อน แล้วก็ไม่ใช่ไปรีบด่วนทำอะไรโดยไม่เข้าใจ แต่หมายความว่ารู้ในเหตุและในผล ถ้าเหตุไม่มีผลมีไม่ได้

เพราะฉะนั้น จะใจเย็นๆ ไม่ฟังธรรมะ ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิด แต่ใจเย็นๆ ที่จะไม่ต้องรีบเร่งไปทำสิ่งที่ผิด แต่ว่าต้องพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ

จุดมุ่งหมายในการฟังพระธรรม
ท่าน อ.สุจินต์ ... จุดมุ่งหมายในการศึกษาธรรมะและการปฏิบัติธรรมะ ไม่ใช่เพื่อที่จะไปเจาะจงให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง แม้ว่าความจริงต้องเป็นอย่างนั้น แต่จุดประสงค์ไม่ใช่จงใจที่จะไปรู้ด้วยความต้องการ แต่จะต้องเข้าใจว่า แม้สภาพธรรมะกำลังปรากฎเดี่ยวนี้ ก็ยังไม่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมะนั้นได้ เพราะอะไร เพราะอวิชชามากมายเหลือเกิน
เพียงฟังนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็รู้ว่า ขณะที่กำลังเห็นก็เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง แล้วก็จะต้องรู้ความจริง แต่ไมใช่ว่าเมื่อรู้อย่างนี้ จะต้องไปรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ตรงนี้ ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งรู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าอวิชชามีมาก
เพราะฉะนั้น ทางใดที่จะทำให้อวิชชาค่อยๆ ลดน้อยลง แล้วก็ความติดข้องต้องการก็ต้องลดน้อยลงด้วย เพราะเหตุว่าผู้ที่ศึกษาธรรมะ เข้าใจความหมายของคำว่า “อนัตตา” คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่ตัวตน ไมใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แม้แต่ปัญญาก็ไม่ใช่ของเรา หรือว่าไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ที่เราเพียรจะทำอย่างนี้ เพื่อที่จะให้ปัญญาเกิด แต่ต้องเป็นการอบรม ซึ่งเป็นการขัดเกลาอวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมะ
แทนที่จะไปพยายามให้สติที่ระลึกลักษณะของสภาพหนึ่ง แล้วก็พยายามจงใจที่จะให้รู้การเกิดดับของสภาพธรรมะนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้ แต่การที่ฟังธรรมะ พิจารณาแล้วค่อยๆ เข้าใจธาตุแท้ๆ ของสภาพธรรมะแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น ชินขึ้น ความเข้าใจอันนั้นทำให้เวลาที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมะ ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง จนกว่าจะถึงสามารถที่จะละความที่เคยยึดถือสภาพธรรมะนั้นว่า เป็นตัวตนได้ ต้องค่อยๆ อบรมไป
ยิ่งละเอียดยิ่งรู้ว่าไม่ใช่เรา
ท่าน อ.สุจินต์..เราจะเป็นผู้ที่รู้จักตัวเราละเอียดขึ้น กว่าจะไม่ใช่เรา นานแสนนาน เพราะว่าเคยเป็นเรามานานแสนนานแล้ว เพราะฉะนั้น ความละเอียดทั้งหมดที่เราศึกษา ยิ่งศึกษาละเอียดเท่าไร ก็ทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมะว่า เป็นธรรมะ ซึ่งไม่ใช่เรายิ่งขึ้น
จบจากการสนทนาธรรมตอนเย็นแล้ว ก็ทานอาหารเย็นกันเรียบร้อย และก็เที่ยวกันในบริเวณโรงแรมต่อ เพราะโรงแรมมีบริเวณกว้างขวาง และ มีที่ให้ ตา หู ติดข้อง เต็มไปหมด ครับ
ทางโรงแรม แจ้งว่า มีถ้ำ ส่วนตัวของโรงแรม ที่เปิดให้คนที่พัก เที่ยวชม แต่ เป้นถ้ำที่เปิด เวลา หกโมงเย็นไปแล้ว ทีมเราก็เลย เข้าไปเที่ยวกัน
ภายในถ้ำ จะตกแต่งอย่างสวยงาม และ ติดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมด้วยกลิ่นหอมอโรม่า นี่ ติดข้อง ไปหมด ทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไหลไปในสิ่งที่สมมติว่าเป็นถ้ำ
เขาจัดให้ผู้ที่อยากทาน DINNER ในถ้ำด้วยครับ ราคา อยู่ที่ท่านละ 400 RM หรือ 400 ริงกิต ต่อมื้อ ต่อท่าน ทานอาหารค่ำในถ้ำ ก็นะ มื้อละประมาณ 3000 บาท โอ้ ไว้ก่อนนะครับ ไม่ขอเพลิดเพลินทางลิ้น ขอทาง ตา กับ ทางหูพอแล้วกัน
เราก็เลยชม ถ่ายรูปกันสบายๆ ในส่วนถ้ำของโรงแรมที่สวยงาม อายุถ้ำเกือบสองล้านปี นี่ รูปธรรม คิดว่านานนะครับ สองล้านปี แต่ จิต เจตสิกที่เ่กิดดับสืบต่อ สมมติว่าเป็นแต่ละท่านนี่ อายุ นับไม่ถ้วน แสนโกฎกัปก็อยู่กันมา เพราะ ความไม่รู้ อวิชชา พาไปล้วนๆ จนกว่าจะเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ก็ใช้ชีวิตปกติ ปกติของกิเลสที่เพลินไป จะไปถ้ำ จะเที่ยวไหน ทำอะไร แต่ก็แบ่งเวลาให้พระธรรม อบรมปัญญา จะนานแค่ไหนก็ถึงได้ เพราะมีบุคคลที่ถึงมาแล้ว อดทนที่จะฟังพระธรรมต่อไป ครับ
เข้าไปในถ้ำ ก็อดพิจารณาพระธรรมไม่ได้ว่า ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุทั้งหลายที่ปัญญาความเข้าใจถูก และ สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต สละอาคารบ้านเรือน ไม่กระทำตนดั่งเพศคฤหัสถ์แล้ว ก็อาศัย ป่า โคนไม้ เรือนว่าง และ ถ้ำเป็นที่อาศัย เพียงแค่ เป็นที่อาศัยอยู่ เพื่อดำรงชีวิตต่อไปเท่านั้น ที่จะศึกษาพระธรรม อบรมปัญญาละกิเลส ถ้ำสูกรขาตา บนยอดเขาคิชกูฎ อันเป็นที่อยู่ของท่านพระสารีบุตร ถ้ำสัตตบรรณคูหา เป็นสถานที่ทำสังคายนาพระธรรมครั้งที่ 1 และ ถ้ำอินทาสาละ ถ้ำที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรด พระอินทร์ให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
ดังนั้น สถานที่ที่รื่นรมย์ ไม่ใช่บ้านราคาแพงๆ สวยหรู แต่ที่ใดก็ตาม แม้จะเป็นโคนไม้ เรือนว่าง ถ้ำ แต่ที่นั้น มีบุคคลที่เป็นบัณฑิต มีปัญญา อยู่ในที่นั้น ก็เป็นสถานที่รื่นรมย์ ครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 502
ข้อความบางตอนจาก รามเณยยกสูตร
ว่าด้วยภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์
[๙๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นแล้วทรงถวายบังคมแล้วประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ประทับเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สถานที่เช่นไรหนอ เป็นภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์.
[๙๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
อารามอันวิจิตร ป่าอันวิจิตร สระโบกขรณีที่สร้างอย่างดี ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อันแบ่งออก ๑๖ ครั้ง แห่งภูมิสถานอันรื่นรมย์ของมนุษย์ พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิสถานอันน่ารื่นรมย์.
พระพุทธเจ้าทรงอุปมา ถ้ำว่า คือ ร่างกาย
[๓๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลงนรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวกก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
นรชน คือ บุคคลทั้งหลาย เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คือ สัตว์โลก ติดข้อง ยินดีพอใจในร่างกาย ที่เป็นเพียงมหาภูตรูป ไม่รู้ความจริงว่าเป็นเพียงธรรม
เที่ยวถ้ำกันเสร็จ ก็นัดกันพรุ่งนี้ เดินทางกลับบ้าน เดินทางนั่งรถกลับไปที่ปีนัง สองชั่วโมง สบายๆ เครื่องบิน บิน 16.35 น. ก็แวะทานอาหารเที่ยงที่ปีนังกันก่อน ครับ
เช้าวันที่ 17 พ.ย. 2560

ตื่นเช้า ก็สบายๆ เดินออกกำลังกาย ถ่ายรูปกันสบายๆ และไปทานข้าวเช้ากัน ครับ ก็ขอนำข้อความธรรมดีๆ โดย ท่าน อ.สุจินต์ จากส่วนอื่นมาประกอบเพื่อประโยชน์สูงสุดในชีวิต คือ ความเข้าใจพระธรรม ครับ
ท่าน อ.สุจินต์..ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว พรุ่งนี้ไม่ทราบจะอยู่ที่ไหน หรือเย็นนี้ก็ไม่ทราบว่าท่าน อ.สุจินต์..อยู่ที่ไหน หรือแม้แต่เพียงขณะหนึ่งขณะใดต่อไปนี้ เราก็ยังไม่ทราบอะไรจะเกิดขึ้นก็ย่อมได้
เพราะฉะนั้นขณะที่รู้ว่าขณะนี้ ถ้าจะมีปัญญาก็มีปัญญาขณะนี้ได้ ถ้าจะมีความสงบก็มีความสงบในขณะนี้ได้ ถ้าคนที่มีแต่โลภะ มีแต่โทสะ ขณะนี้โลภะเขาก็เกิดได้ โทสะเขาก็เกิดได้ เพราะว่าชีวิตอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่เป็นโลภะ ไม่ใช่ขณะที่เป็นโทสะ ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเป็นโทสะ โทสะเกิด ขณะที่โทสะไม่เกิด แต่ปัญญาเกิด เอาอย่างไหนคะ เพราะว่าชั่วขณะจิตเดียว ทุกคนมีชีวิตอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว ขณะจิตเดียว ที่เกิดดับสืบต่อกัน
ท่าน อ.สุจินต์..นี่คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นไตรลักษณะ ซึ่งเราก็คงจะได้ยินได้ฟังว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน แต่ทุกข์ที่นี่ไม่ใช่ทุกข์เจ็บตัว ไม่ใช่ทุกข์เจ็บใจ แต่ทุกข์นั้นไม่เที่ยง เพราะเกิดขึ้นสั้นมากแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรเลยซึ่งเกิดขึ้นแล้วคงอยู่โดยไม่ดับ แต่ว่าความไม่รู้ก็ทำให้คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง เมื่อไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ก็ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ
ท่าน อ.สุจินต์..แล้วก็การที่จะละคลายกิเลส ไม่ใช่จากปุถุชนสู่ความเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านก็เป็นพ่อค้า วิสาขามิคารมาตา ท่านค้าขายมีธุระกิจการงานมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ว่าจิตใจของท่านที่อบรมจนถึงความเป็นอริยะ ความเจริญถึงขีดขั้นของความเป็นอริยบุคคล คือ สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นขั้นๆ
อย่างท่านวิสาขาท่านยังมีโลภะ ท่านยังมีโทสะ แต่ท่านไม่มีความเห็นผิด ไม่มีความเข้าใจผิดในสภาพธรรม เพราะอาศัยการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แล้วจากการที่ท่านอบรมเจริญมาจนกระทั่งท่านรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ว่ายังไม่ใช่พระอรหันต์ตราบใด ท่านก็มีชีวิตอย่างชาวบ้านเป็นคฤหัสถ์ แต่ว่าเป็นครอบครัวที่ดี มีความสุข
นี่ก็เป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาไม่ใช่ว่าทุกคนมี แต่เป็นสิ่งซึ่งจะเกิดมีขึ้นได้ โดยอาศัยการฟัง การพิจารณา การไตร่ตรอง การสนทนา การเห็นประโยชน์ แล้วก็การฟังเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้น ที่ใช้คำว่า “ใช้สติใช้ปัญญา” เป็นคำพูดที่เลื่อนลอย เพราะว่าไม่เข้าใจว่าสติก็ไม่มี ปัญญาก็ไม่มีแล้วจะไปใช้ได้ยังไงในเมื่อไม่ได้อบรม แต่ถ้ามีแล้ว เกิดแล้ว มีได้ จะเกิดเมื่อไรก็ได้แม้ในขณะนี้ปัญญาก็เกิดได้
ท่าน อ.สุจินต์ ... พระธรรมจริงๆ ก็คือชีวิตประจำวัน แต่ว่าเราจะต้องอาศัยการฟังมากขึ้นเพื่อที่จะเข้าใจขึ้นแล้วปัญญาก็จะทำหน้าที่ของปัญญา เช่น ในขณะนี้โลภะถ้าเกิดขึ้น ดอกไม้นี่สวย โลภะทำกิจของโลภะ ไม่มีเรา แต่ถ้าโลภะไม่เกิด โทสะไม่ชอบสีนี้คล้ำไป โทสะก็ทำกิจของโทสะแล้ว ก็ไม่ใช่เราอีก
แสดงให้เห็นว่าเราไม่รู้ว่าสภาพธรรมมีลักษณะอย่างไร ทำกิจการงานอย่างไร แม้แต่ความสำคัญตน ความมานะความถือตนก็มี เกิดขึ้นเมื่อไรยังไง แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เวลาที่เกิดความสำคัญตนขึ้น สติก็ยังระลึกได้ นี่เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น มีความยึดถือในความเป็นเรา เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ก็รู้ว่านี่เป็นอกุศล แล้วใครล่ะอยากจะมีอกุศลมากๆ เมื่อรู้ แต่ถ้าไม่รู้โกรธก็ดี ต้องโกรธแล้วก็โกรธแล้วคนอื่นจะได้เชื่อฟังหรือทำอะไรต่างๆ อย่างมีคนนึ่งก็บอกว่า อาหารไม่อร่อย ถ้าไม่โกรธ คุณแม่ก็ไม่ทำให้ใหม่
นี่แสดงให้เห็นว่ายังไม่เข้าใจในเหตุในผลจริงๆ ว่า แท้ที่จริงความทุกข์ของใครที่กำลังโกรธ พระธรรมทั้งหมด แม้พระสูตร ก็ต้องสอดคล้องกับพระอภิธรรมด้วย เพียงแต่ว่าพระอภิธรรมนั้นทรงแสดงละเอียดขึ้นถึงเหตุที่จะทำให้ปัญญาของบุคคลนั้นเกิด แล้วพิจารณาตนเอง
ท่าน อ.สุจินต์..แต่ละคนเกิดมาแล้วเพื่ออะไร ลองคิดดูคะ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ เพื่ออะไร และอะไรเป็นสิ่งที่สามารถจะเป็นสิ่งที่ติดตามไปได้ ในเมื่อทรัพย์สินเงินทอง เรื่องราวต่างๆ ก็ติดตามไปไม่ได้ พอหมดสิ้นเหตุการณ์ในโลกนี้ เกิดในโลกอื่น จะไม่มีการรู้เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นไปในโลกก่อนเลย แต่ว่าสะสมโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทุกชาติไปได้
ด้วยเหตุนี้ก็เป็นผู้ที่รู้ประโยชน์จริงๆ ว่า ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้อกุศลเกิด ไม่สามารถที่จะให้กุศลเกิดเป็นไปได้ตลอด แต่ธรรมก็จะทำให้เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม ธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล แล้วถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญา ปัญญานั้นถึงแม้อกุศลเกิด ก็ยังสามารถที่จะรู้ความจริง และไม่เป็นไปในอกุศลกรรมบถ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดเป็นอกุศลวิบาก
แต่อันนี้ก็ต้องเป็นตามลำดับขั้นของปัญญา แต่อย่างไรก็ตามให้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจถูก เห็นถูกว่า ทุกอย่างที่เกิดแล้วก็ดับหมดไปไม่กลับมาอีกเลย แม้ความคิด แต่ถ้ารู้ว่าไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ สัจธรรมทำให้เข้าใจถูกต้อง ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา บังคับที่จะให้อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดไม่ได้เลย เป็นไปตามแต่ละบุคคลซึ่งได้สะสมมาเพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาแล้วทำดี คุ้มที่เกิด
ท่าน อ.สุจินต์ ... คนที่จะหมดกิเลสได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญาแน่นอน ถ้าไม่มีปัญญาแล้วดับกิเลสไม่ได้ แต่ว่าปัญญาก็ต้องมีการตั้งต้นมีการเริ่มต้น ตั้งแต่การที่บุคคลใดก็ตามที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วต้องฟังพระธรรมของพระองค์ก่อน จะได้ทราบว่าเราเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกมาก่อนที่จะได้ฟัง ถ้าทุกคนเข้าใจได้ถูกต้องก่อนฟัง ไม่ต้องฟังค่ะ เสียเวลา ไม่มีประโยชน์
แต่ว่าทุกครั้งที่ฟังจะรู้ว่าแต่ก่อนเราไม่เคยได้เข้าใจอย่างนี้ แม้แต่ความหมายของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่เคยคิดเลยว่าหมายความถึงสภาพธรรมในขณะนี้กำลังไม่เที่ยง กำลังเกิดขึ้นแล้วดับไป เราไปคิดว่าเกิดมา แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บแล้วก็ตาย นั่นคือความไม่เที่ยง เราเข้าใจอย่างนั้น แต่ถ้าศึกษาแล้วจะรู้ได้ว่า ถ้าเข้าใจเพียงเท่านั้นหมดกิเลสไม่ได้ เพราะว่าเป็นเรื่องที่เราก็รู้ เวลานี้พูดก็จริง เกิดแล้วก็แก่แล้วก็เจ็บแล้วก็ตาย แล้วกิเลสก็ยังอยู่เต็มใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นความหมายของความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา ต้องลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น และผู้ที่ประจักษ์แจ้งพระองค์แรกก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้ทรงแสดงพระธรรม เพื่อที่จะให้คนอื่นเข้าใจตาม
ท่าน อ.สุจินต์..ธรรมรัตนะคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้รู้ว่า เราไม่ดี ดีไหมคะ หรืออยากจะได้ยินว่า เราดีมาก อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงถ้าใครบอกอย่างนั้น เขารู้ความจริงหรือเปล่า เพราะความไม่ดีเริ่มตั้งแต่การไม่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นเหตุให้เกิดการยึดมั่น ติดข้อง แล้วเป็นเหตุให้กระทำสิ่งต่างๆ ด้วยความยึดมั่น ติดข้อง เพราะความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแล้วยึดถือว่าเป็นเรา ไม่มีอะไรสำคัญเท่า ใครสำคัญกว่าเรา ลองคิดดูซิคะ ไม่มีเลย ตัวเองเป็นที่ตั้งของการให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่แล้วแต่จะเข้าใจความจริง หรือไม่เข้าใจความจริง
อย่างที่ผ่านมาแล้วในอดีตกาลนานแสนนาน ไม่มีใครสามารถรู้ชาติก่อนได้เลย เคยเกิดเป็นใคร ที่ไหน แต่ชาตินี้รู้ เกิดเป็นอย่างนี้ ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้เลย นอกจากทำเอง เป็นอย่างนี้เพราะทำเอง เกิดมาเป็นอย่างนี้ ทำเองให้เป็นอย่างนี้ ให้เป็นคนนี้ ให้คิดอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว อย่าผ่านไปโดยไม่เคารพในพระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมะให้เรารู้ความจริง แล้วความจริงที่ควรรู้ยิ่งก็คือ ยังไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่สามารถรู้ได้ และประโยชน์ของการรู้ยิ่งก็คือว่า สามารถละสิ่งที่ไม่ดีที่สะสมมานานแสนนานในจิตของแต่ละคนได้
เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า จิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ความเห็นถูกต้องเป็นจิตที่ไม่ดี และมากและนานด้วย ไม่มีที่จะบรรจุได้เลย เพราะเหตุว่าไม่สามารถนับขณะจิตได้ตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์มาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ฟังหรือแม้ความดีที่เกิดขึ้น ทรงอุปมาเหมือนหยดน้ำทีละหยด เทียบกับวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้ามาเป็นอกุศลมากเท่าไร แล้วก็มีหยดน้ำสักกี่หยด ตื่นขึ้นมารับประทานอาหารมีหยดน้ำ หรือเต็มไปด้วยอกุศล แต่หยดน้ำของคุณความดีแม้น้อย แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ทีละหยดๆ ด้วยความอดทน ขันติบารมี ด้วยสัจจะ ความจริงใจที่มั่นคงว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสามารถรู้ได้แน่นอน ความจริงขณะนี้ก็ปรากฏ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นไม่สามารถได้ยินได้เลย เพราะเห็นสามารถมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น ส่วนได้ยินก็ไม่สามารถจะเห็นอะไรได้ในขณะที่ได้ยิน มีแต่เสียง และธาตุที่กำลังได้ยินเสียง แต่พร้อมกันไม่ได้เลย
เพราะความจริงของจิตก็คือว่า ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการเกิดขึ้น แล้วรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ นี่คือจิตที่กำลังเห็น กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ และเดี๋ยวนี้จิตก็กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น จิตเป็นธาตุที่เกิดแล้วดับทีละ ๑ ขณะ ทันทีที่จิตดับก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ใครรู้บ้าง นี่คือสัจจะ วาจาจริง ที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงที่ประเสริฐยิ่ง ที่มีอยู่ทุกขณะในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ต้องอดทนจริงๆ ในการฟังและพิสูจน์ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงหรือเปล่า สิ่งที่เป็นจริงมีประโยชน์ไหม หรือยังคงไม่รู้ดีกว่า จะไปเสียเวลารู้ทำไม แต่ว่าความจริงเกิดมาไม่พ้นต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ก่อนนั้นก็คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึกตลอด ไม่มีใครยับยั้งหยุดยั้งการเกิดขึ้นเป็นไปของจิตได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็ลองย้อนไปตั้งแต่เกิดมา อกุศลมาก หรือกุศลมาก ถ้าเป็นอกุศลมากในอดีต ก็ถึงเวลาหรือยังที่จะเป็นกุศลมากๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงเกิดดับ ไม่ใช่เรา ก่อนคิดที่จะละโลภะ โทสะ โมหะ ริษยา หรือมานะ ความสำคัญตนใดๆ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตราบใดที่ยังเป็นเรา
ท่าน อ.สุจินต์..คำอุปมาเรื่องฝั่งนี้ ฝั่งโน้น ก็มีในพระสูตรอื่นๆ ด้วย แล้วแต่ว่าจะทรงมุ่งหมายอะไร เพราะฉะนั้น ในพระสูตรนี้ก็แสดงให้เห็นความห่างไกลของความไม่รู้ ซึ่งจะไปสู่ความรู้ ความเข้าใจถูกเพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ฝั่งของความไม่รู้กับฝั่งของการดับกิเลสหมด เพราะไม่มีความไม่รู้เดี๋ยวนี้เอง อยู่ฝั่งไหน ใครอยู่ฝั่งโน้นบ้าง รู้แต่ว่า ฝั่งโน้นมีแน่ แต่กำลังอยู่ฝั่งนี้ แล้วจะถึงฝั่งโน้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเห็นถูกความเข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น ก็คือเดี๋ยวนี้เองมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จะไม่มีกิเลส ความติดข้อง ความยึดถือในสิ่งที่ปรากฏโดยสถานหนึ่งสถานใดได้ไหม เพราะเหตุว่าอุปาทาน ความยึดมั่น มีทั้งกามุปาทาน เพียงแค่เห็น ติดข้องแล้วอย่างมาก จะหมดได้ไหม ฟังธรรมะ ไม่ใช่เรื่องของคนหนึ่งคนใด ไม่ใช่เรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ผู้หมดกิเลสทั้งหลาย แต่ว่าเป็นธรรมะทั้งหมด แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ
เพราะฉะนั้น ลืมไม่ได้เลยว่า ทั้งหมดต้องฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่ต้องเข้าใจคำที่ได้ฟัง เช่นฝั่งนี้กับฝั่งโน้นแสนไกล เพราะเหตุว่าฝั่งนี้เป็นฝั่งของความไม่รู้และความติดข้อง ส่วนฝั่งโน้นไม่มีความไม่รู้และไม่มีความติดข้องเลย แต่หนทางมี เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีทาง ก็จะไม่ถึงฝั่งโน้น แต่ให้คิดว่า หนทางไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ เป็นธาตุที่ตรงกันข้ามกัน เช่น อวิชชา ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือความไม่รู้ อยู่ฝั่งนี้แน่นอน และวิชชารู้ความจริง เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏชั่วคราว คำนี้ลืมไม่ได้เลย
ทุกอย่างชั่วคราว แล้วชั่วคราวนี้ก็สั้นที่สุด รู้สภาพความจริงเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือหนทางที่นำไปสู่ฝั่งโน้น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังติดข้องคำบ้าง เรื่องบ้าง นี่บ้าง ก็ยังไม่ได้เรือจริงๆ ที่จะนำไปสู่ฝั่งโน้น กำลังแสวงหาเรือ หรือว่ายังไม่มีเรือก็แสวงหา ค่อยๆ เป็นเรือขึ้นสำหรับไป นั่งอยู่ในเรือแล้วไปก็คิดดู นานไหม ฝั่งโน้น กระแสของคลื่น กระแสของลม สัตว์ร้ายกลางทะเลที่กว่าจะถึงฝั่งโน้นได้
เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แม้แต่การฟังพระธรรม เข้าใจเมื่อไร เมื่อนั้นคือหนทางที่ทำให้ละความไม่รู้และความติดข้อง จนสามารถกับกิเลสได้ ไม่เกิดอีกเลย กิเลสที่ดับแล้วจะไม่เกิดอีกเลยด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ขาดความเข้าใจไม่ได้ และไม่ประมาทปัญญาด้วย และอย่าไปคิดว่า ปัญญาจะรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ข้อความทั้งหลายในพระไตรปิฎก ในพระสูตร แต่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังมีตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์ มีปัญญา ก็จะรู้ว่า พระธรรมทั้งหมดทุกคำเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งยังเข้าใจไม่ได้ เพราะลึกซึ้ง แม้แต่คำที่ว่า สิ่งที่มีในขณะนี้เกิด เห็นต้องเกิด และสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วต้องดับ คือเกิดแล้วดับไป นี่ก็เป็นความลึกซึ้งแล้ว ซึ่งข้ามไม่ได้ เผินไม่ได้ ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ไม่สามารถทำให้วิตกตรึกเฉพาะลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมะหลากหลายมาก ทรงแสดงโดยประการทั้งปวง แม้ยังไม่กล่าวถึงอุปมา แต่ให้รู้ว่า ธรรมะมีจริงๆ และธรรมะก็ต่างๆ กันไป และที่น่าอัศจรรย์ก็คือว่า ธรรมะทั้งหลายแม้หนึ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นไปอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วไม่ใช่ใครเลยจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมตา คือ ธรรมเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นตามที่ธรรมะนั้นเป็น
ท่าน อ.สุจินต์..ความเคารพต้องมีเหตุผลด้วยความจริงใจในความถูกต้อง ไม่ใช่ชื่อว่าเคารพเพราะกราบไหว้แล้ว ศึกษาแล้ว ไม่ใช่ แม้ศึกษาแล้วก็ต้องตรงกับเหตุผลตามความเป็นจริง จึงจะถูกต้อง
ได้ยินคำจากชาวพุทธว่า พระพุทธศาสนาไม่ยาก พูดได้ไหม แต่ก็พูดแล้ว และก็เป็นชาวพุทธที่บอกว่าเคารพพระรัตนตรัย แต่ไม่ใช่ความเคารพเลย เพราะเป็นผู้ประมาท ไม่เห็นคุณของพระธรรมแต่ละคำว่า ละเอียดลึกซึ้ง เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ก็ไม่สามารถกล่าวว่า พระธรรมง่าย และง่ายจริงหรือเปล่า เห็นเกิดแล้วดับแล้ว ง่ายไหม และคนที่บอกว่า พระธรรมง่าย สรรเสริญเคารพในพระศาสดาหรือเปล่า พระสูตรนี้ไม่มีความหมายเลย แต่ทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เอง
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แค่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังเคารพในสิกขา ในการศึกษาและประพฤติตามด้วย ไม่ใช่ศึกษาว่า พระธรรมละเอียดลึกซึ้ง แต่ไปทำสิ่งที่ง่ายๆ นั่นคือไม่ใช่ศึกษาด้วยความเคารพ เพราะไม่ประพฤติตาม
ท่าน อ.สุจินต์..วันนี้คิดถึงเรื่องอะไรบ้างคะ กว่าจะคิดฟังธรรมน้อยกว่า คิดเรื่องอื่นมากกว่า เพราะอะไร ถ้าเราคุ้นเคยกับสิ่งไหน ห้ามไม่ให้คิดถึงสิ่งที่คุ้นเคยได้ไหม แต่พอเราคุ้นเคยกับสิ่งนั้นแล้ว เราก็จะคิดถึงสิ่งนั้น ถ้าเราคุ้นเคยกับการฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง คือ เพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูก เพื่อละความไม่รู้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ การฟังธรรมะในขณะนั้นก็จะเข้าถึงความเป็นธรรมะ เพราะไม่ใช่มีเราฟังเพื่อจะเก่ง หรือจะเข้าใจหรือจะเป็นผู้รู้ หรือเพื่อลาภสักการะ เพื่อให้คนอื่นชม หรือจะกล่าวถึงเราเป็นคนดีฟังธรรมะ ก็ไม่ใช่ แต่เพราะรู้ว่า ไม่เข้าใจแล้วสามารถเข้าใจได้ทางเดียว คือฟังพระธรรมที่พูดถึงเรื่องนี้ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพื่อให้คุ้นเคยที่จะคิดถึงจนกระทั่งสามารถเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น จะมีคำว่า “อุปนิสยโคจร” หลายคนไม่ชอบภาษาบาลี ใครจะชอบ ไม่ใช่ภาษาของเรา ฟังก็ยาก ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร พูดรวมๆ มา แล้วก็จำๆ ไป แต่ความจริงถ้าในอดีตชาวมคธเข้าใจความหมาย อุปนิสยโคจร โคจร เป็นอีกคำหนึ่งของอารัมมณะ หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ หรือที่ไปของจิต
ท่าน อ.สุจินต์..เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์หรือเปล่า พอตอบว่าไม่เป็นคือลืมแล้ว แต่พอตอบว่าเป็น รู้แล้วว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา เกิดแล้วไม่ดับไม่ได้
ท่าน อ.สุจินต์.. ขณะนั้นลืมอะไรหรือเปล่า ลืมว่าเป็นธรรมะ ศึกษาธรรมะแล้วก็ลืมว่าเป็นธรรมะ แต่ถ้าศึกษาธรรมะรู้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ลืม ทุกข์มีหลายอย่าง แต่ทุกข์จริงๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดเพราะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ไม่เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไปเลย ไม่กลับมาอีกด้วย
เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นและดับไป ไม่กลับมาอีกนี่แหละ ใครเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น เป็นทุกข์ อริยสัจจะ เป็นความจริงของผู้รู้ว่า สภาพธรรมะใดๆ ก็ตามเป็นธรรมะ คือนอกจากไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่สิ่งที่เกิดนั้นต้องดับ ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ อย่างนี้ไม่ลืม ทุกขังที่นี่เป็นทุกขอริยสัจจะ ความหมายคือการดับไปไม่กลับมาอีก แล้วจะมีประโยชน์อะไร เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เกิดขึ้นได้ยินแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยทั้งสังสารวัฏฏ์เป็นอย่างนั้น แล้วมีประโยชน์อะไรในการที่เพียงปรากฏ แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ปรากฏให้ติดข้อง ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นติดข้องหมดเลย หรือปรากฏให้เข้าใจความจริงว่า สิ่งนั้นแหละไม่ควรติดข้อง
เพราะฉะนั้น คำว่า “ทุกข์” ที่นี่ไม่ได้หมายความถึงความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่หมายความถึงสภาพที่เป็นทุกข์ของสิ่งนั้น คือสิ่งนั้นไม่สามารถยั่งยืน ไม่มีใครไปทำให้ยั่งยืนได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป ยับยั้งไม่ได้ด้วย และไม่กลับมาอีกด้วย ติดข้องในสิ่งที่ไม่เหลือ ฉลาดไหม ไม่มีอะไรเลยก็ยังติดข้อง
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะเพื่อพ้นจากความไม่รู้และความติดข้อง แต่ไม่ใช่เราจะพ้นไปได้ง่ายๆ ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจจริงๆ ทุกคำ ทุกคำนี่ทิ้งไม่ได้เลย ธรรมะเป็นอนัตตา
ถ้าถามว่า เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์ไหม เป็น เพราะสภาพธรรมะไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ทุกข์เพราะสภาพนั้นที่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป แล้วรู้ทุกข์ไหม สภาพธรรมะเป็นทุกข์จริง แต่รู้ทุกข์ไหม
นี่คือการมีปัญญาของเราเอง ไม่ใช่ฟังไปเฉยๆ แต่จากการสนทนากันจะทำให้เราเข้าใจว่า เราเข้าใจแค่ไหน ลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า หรือเดี๋ยวเข้าใจแล้วเดี๋ยวก็ลืม ก็ต้องเป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่ามีความไม่รู้มากมาย จะให้เป็นความรู้มั่นคงติดต่อกันเลยทีเดียว เป็นไปไม่ได้ นอกจากอาศัยการฟังบ่อยๆ การไตร่ตรองและมั่นคงว่า สิ่งที่ปรากฏอย่างนี้แหละ พระธรรมที่ทรงแสดงแล้วว่า เป็นสิ่งที่จริงเกิดดับต้องสามารถรู้ได้ แต่ไม่ใช่เรา ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งที่มาจากการฟังเข้าใจก่อน มิฉะนั้นปริยัติไม่มี จะไปปฏิบัติ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ค้านกับความจริง ค้านกับพระพุทธพจน์ด้วย
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจแต่ละครั้ง จะค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ จนกว่าจะประจักษ์โดยปัญญาที่สะสมเข้าใจแล้ว ไม่ใช่โดยเรา เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้รู้ทุกข์ไหม ยังมีเราหรือเปล่า
ท่านอาจารย์สุจินต์ ออกมาทานอาหารเช้า ท่านขอเดินไปที่ห้องอาหาร เพื่อออกกำลังกาย ก็ได้พบสหายธรรม จึงได้มีการสนทนาธรรมแบบสบายๆ ท่ามกลางอากาศที่ดี บริสุทธิ์ และ วิวที่สวยงาม ซึ่งกระผมได้มีโอกาสเก็บภาพและเสียง ลงยูทูป เนื้อหาสาระดีมากๆ ในเรื่องที่สนทนา คือ บุญ
ยูทูป วีดีโอสั้นๆ สนทนาธรรม เรื่อง บุญ กับ ท่าน อ.สุจินต์
หลังจากที่พวกเรา ถ่ายรูปกันเต็มที่ตอนเช้าแล้ว ท่านอาจารย์ก็เดินมาเยี่ยม ผ่อนคลายกัน และ ท่านอาจารย์ก็มีเมตตาให้ถ่ายรูปกันแบบสบายๆ ทุกๆ คน RELAX IN MALAYSIA

อดทนที่จะเข้าใจพระธรรม
ท่าน อ.สุจินต์..อดทนที่จะรู้ว่า ธรรมะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ เพราะว่าคนที่เพิ่งฟังธรรมะทุกคน จะบอกว่า ธรรมะยากเหลือเกิน แม้แต่ในขั้นที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น เมื่อยากแล้ว หันหลังให้เสีย คงจะง่ายดี คือไม่ฟัง แล้วก็ไม่เห็นจะต้องมาลำบากที่จะต้องมารู้เรื่องจิต เจตสิกอะไรเลย ทำไมถึงจะต้องมาอดทนฟังให้เข้าใจ เพราะว่าบางคนที่ได้ยินได้ฟัง พอได้ยินเรื่องภาษาบาลี หรือจิต เจตสิก เขาบอกยาก ไม่ฟังเลย ยาก ไม่ฟังเลย เพราะไม่มีความอดทน แต่ยาก แล้วอดทนที่จะฟังจนกว่าจะเข้าใจ

นี่คือความอดทน ต้องอดทนจริงๆ แล้วเมื่อมีความเข้าใจแล้วเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจขึ้น ถ้าไม่เคยฟังเรื่องปรมัตถธรรม ไม่มีการระลึกลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ ต้องฟังแล้วก็ต้องพิจารณาจนกว่าจะเข้าใจ นี่คือความอดทนตั้งแต่เริ่มรู้ว่า พุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้แล้วว่า ไม่ใช่คำสอนของคนธรรมดา ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเรื่องซึ่งยากแสนยาก ที่คนอื่นจะกล่าว จะแสดง หรือว่าจะทรงเทศนาไว้มากมายตั้ง ๔๕ พรรษา
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นของง่ายๆ ก็ไม่ต้องถึง ๔๕ พรรษา แต่เพราะเหตุว่ายากอย่างนี้ แม้ว่าเมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ จะน้อมพระหฤทัยที่จะไม่ทรงแสดง แต่ผู้ฟังซึ่งมีความอดทน หรือว่ามีการสะสมมาแล้ว ก็สามารถที่จะค่อยๆ รับฟังไตร่ตรองจนกระทั่งประจักษ์สภาพธรรมะนั้นตามความเป็นจริงได้ ในครั้งโน้นตลอดมาจนถึงในสมัยนี้ก็ยังมีผู้ที่มีความอดทนที่จะฟัง นี่คือความอดทน
เป้นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งสมาธิ
ท่าน อ.สุจินต์.. ส่วนใหญ่คนมีความต้องการที่จะไม่มีอกุศล เพราะฉะนั้น เขาพยายามมากหลายทางที่จะไม่มีอกุศล ทางหนึ่งก็คือ เขาคิดว่าไปนั่งปฏิบัติ แล้วจะไม่มีอกุศล คิดว่าจะมีปัญญา ที่อกุศลจะหมดไปได้ ต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา อกุศลก็หมดไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น เขาคิดว่า เมื่อไปนั่งแล้วปัญญาจะเกิด บางคนก็ไม่รู้เรื่องปัญญาเลย คิดว่าเมื่อไปนั่งแล้วก็จะได้เป็นพระโสดาบัน ไม่รู้เรื่องปัญญาว่าปัญญารู้อะไร การเป็นพระโสดาบันบุคคลละอะไรที่เป็นอกุศลก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น เขาไปด้วยความหวัง แต่ไม่ได้ไปด้วยความรู้ เพราะว่าถ้ารู้จริงๆ ขณะนี้สภาพธรรมะกำลังเกิดดับ ถ้ารู้จริง คือไม่ว่าเมื่อไร ที่ไหน ปัญญาก็สามารถที่จะประจักษ์ความเกิดดับของสภาพธรรมะได้ เพราะว่าเป็นปัญญาตรงกันข้ามกับอวิชชา อวิชชาก็เป็นธรรมะ เป็นอกุศลธรรม แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงของธรรมะ แม้กำลังเผชิญหน้ากับธรรมขณะนี้ ก็ไม่รู้ความจริงของธรรมะ นี่คือ อวิชชา
เพราะฉะนั้น คนเราก็สามารถที่ว่าเมื่อฟังธรรมะแล้วก็รู้จักตัวเองได้ว่า เรามีอวิชชา มากแค่ไหน ทั้งทางตาที่กำลังเห็น ทางหูกำลังได้ยิน ทางจมูกเวลาได้กลิ่น ทางลิ้นกำลังลิ้มรส ทางกายกำลังกระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก อวิชชากองใหญ่แค่ไหน ถ้าเป็นวัตถุสิ่งของ ไม่มีที่จะเก็บเลย แต่เพราะเป็นนามธาตุ หรือเป็นนามธรรม แต่ก็สะสมไว้ จนกระทั่งเป็นสภาพของจิตซึ่งต่างกัน ประมาณไม่ได้เลย คนมีเท่าไรที่เรียกว่าเป็นคนก็คือจิตต่างกันเท่านั้น ที่เราเห็นเป็นประเภทต่างๆ ไม่ว่าใครจะพูดดี ไม่ว่าใครจะพูดไม่ดี ก็ต้องมีจิตที่ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดการพูด การคิด หรือการทำอย่างนั้น
นี่ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องเข้าใจตามลำดับ แล้วต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ไปนั่ง แล้วคิดว่าจะไม่มีกิเลส หรืออยู่ดีๆ ไปนั่งจะเป็นพระโสดาบัน อยู่ดีๆ ไปนั่ง แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะว่าการรู้แจ้งต้องเป็นเรื่องของปัญญา
มรดกคือปัญญามีค่าเหนือสิ่งอื่นใด
ท่าน อ.สุจินต์ ... ขณะใดที่ฟังแล้วก็พิจารณาเหตุผล เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะนั้นเป็นปัญญา ซึ่งสมบัติหรือมรดกซึ่งทุกคนจะได้รับจากพระศาสนา หรือจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ เพราะทุกสิ่งเหล่านี้ได้มาแล้วก็สูญไป หมดไปได้ จากไปทางหนึ่งทางใดก็ได้ ทั้งที่ยังมีชีวิต หรือว่าหมดชีวิตแล้ว แต่ว่าสิ่งหนึ่ง ซึ่งประเสริฐกว่านั้นคือปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
พึ่งพระพุทธเจ้าเพื่อเกิดปัญญา
ท่าน อ.สุจินต์ ... เรามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพื่อไปขอลาภ ขอยศ ขอหายป่วย ขออะไรต่างๆ ทั้งหมด แต่เพื่อได้รับปัญญาจากที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีแสนนาน เพื่อที่จะบรรลุถึงปัญญาที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถจะมีพระญาณทรงรู้อัธยาศัยของผู้ฟัง ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นเกิดความเข้าใจถูก เป็นปัญญาของตัวเอง
ท่าน อ.สุจินต์ ... ถ้าไม่มีบุญเก่าที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีโอกาสได้ฟังประการหนึ่ง หรือว่าถึงมีโอกาสได้ฟังก็ไม่สนใจ เพราะว่าไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์หรือคุณค่า แต่ว่าผู้ที่มีความสนใจ ทุกคนให้ทราบว่า ได้เคยมีศรัทธา มีความสนใจ มีการเห็นประโยชน์ในอดีต ถึงได้ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปอ่านหนังสือ ไม่ไปดูโทรทัศน์ ไม่ไปคุยกับเพื่อน แต่ก็ยังมีโอกาสหรือมีเวลาที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
อวิชชา คือ อะไร
ท่าน อ.สุจินต์..อวิชชา แปลว่าไม่รู้ แล้วเราก็ไม่สามารถจะรู้ว่า เราไม่รู้อะไร ถ้าเราไม่ได้ศึกษา เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่ความจริงพอเราศึกษาแล้ว หรือว่าเข้าใจ เริ่มรู้ว่า อวิชชาคืออะไร เราถึงจะรู้จริงๆ ว่า เราไม่รู้เลย แล้วก็ไม่รู้อย่างมากๆ ด้วย ถ้าถามต่อไปโดยการที่ศึกษาบ้างแล้ว ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมา ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เรารู้ทางตา เห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายถูกต้องกระทบสัมผัส ทางใจ คิดนึก เราเห็นมานานเท่าไรตั้งแต่เกิด ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึกนี่มากมายมหาศาล ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไร ชีวิตของเราก็คือแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเกิดมา ขณะที่เห็นเป็นของจริง เป็นชีวิตที่คิดว่าเป็นเราเห็น เราไม่รู้ความจริงว่าที่ว่าเป็นเห็น หรือว่าเป็นเราเห็น ความจริงแล้วเป็นอะไร
เพราะฉะนั้น ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่คิดนึก สัมผัส แล้วจากโลกนี้ไป ด้วยการไม่รู้ความจริงของชีวิตธรรมดา ตั้งแต่เกิดจนตาย
เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็คือไม่รู้ความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ของสิ่งที่มีจริงๆ เรายังไม่ต้องใช้คำบาลีอะไรเลยก็ได้ เพราะว่าเราเริ่มต้นจากคำว่า ความไม่รู้ ซึ่งก็ไม่ใช่คำที่ยาก แต่ว่าความไม่รู้จะมากมายมหาศาลสักแค่ไหน ต่อให้เราไปเรียนวิชาอื่น จบมหาวิทยาลัย ชาติโน้น ชาตินี้ ชาติหน้า แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริง ๑ ขณะที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน ที่กำลังได้กลิ่น ที่กำลังลิ้มรส ที่กำลังกระทบสิ่งที่อ่อนแข็ง เย็นร้อน ตึงไหว ที่คิดนึกเป็นประจำ หมายความว่าเรามีความไม่รู้ มากไหมคะ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว แล้วยังจะต่อไปอีก เพราะฉะนั้นมหาศาลจริงๆ เราเริ่มรู้ว่า เราไม่รู้อะไร
พระนามว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่าน อ.สุจินต์ ... เราจึงต้องศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งขอให้ทุกคนเริ่มคิดพิจารณาคำว่า ”อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ไม่มีใครมีชื่อนี้เลย เพราะว่าเป็นชื่อของพระคุณนาม เดิมไม่ได้ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประสูติก็ชื่อว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เท่านั้น เพราะอะไร ทำไมไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนประสูติ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงของธรรมะ ของชีวิต ของทุกขณะจิต แต่ว่าเมื่อตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง ใครก็จะเปลี่ยนพระองค์ให้กลับไปเป็นชื่ออื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากชื่อเดียวคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง จากการอบรมพระบารมี
สถานภาพที่แท้จริง
ท่าน อ.สุจินต์..ผู้หญิงอาจจะคิดว่าตนเองต่ำต้อย แล้วก็ไม่มีสถานภาพใดๆ แต่ตามความเป็นจริงสถานภาพที่แท้จริง คือ คุณความดี ไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้าประพฤติไม่ดี มีใครยกย่องบ้าง จะไปเรียกร้องสถานภาพให้ใครมายกย่อง ถ้าความประพฤติไม่ดี แต่ถ้ามีคุณความดีแล้ว ไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมายกย่องเลย ชาวโลกหรือใครก็ไม่ต้องไปอ้อนวอน ไปบอก แต่ทุกคนก็ยกย่องในคุณความดี
คุณป้าจี๊ด นั่งดูเราถ่ายรูปกัน พวกเราก็เลยไปถ่ายรูปกับคุณป้ากันบ้าง
ท่าน อ.สุจินต์ ... ทุกคนก็เป็นผู้ที่ได้กระทำบุญมาแล้วในอดีต เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้กระทำบุญมาแล้วในอดีต ไม่มีทางที่จะได้ยินพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะว่าทุกคนที่มีโสตปสาท คือ มีหู ได้ยินเสียงอะไรก็ได้ แต่เสียงนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
ทุกข์จริงๆ มาจากไหน
ท่าน อ.สุจินต์ ... คนเก่งมีทุกข์ไหมคะ เศรษฐีมีทุกข์ไหม เพราะฉะนั้น ทุกข์มันมาจากไหนกันแน่ ถ้าทุกข์เพราะไม่มีเงิน ถ้ามีเงิน แล้วก็น่าจะมีสุข แต่คนมีเงินก็ยังมีทุกข์ คนเก่ง เก่งแล้วก็ไม่น่าจะมีทุกข์ แต่คนเก่งก็ยังมีทุกข์ได้ เพราะฉะนั้น ทุกข์จริงๆ มาจากไหน มาจากความไม่รู้ มาจากความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจธรรมมากขึ้น เราก็จะทุกข์น้อยลง นี่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าเราจะเป็นใครอยู่ที่ไหน เราไม่ได้หมายความว่า เราจะออกนอกโลกไป เมื่อไรเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นถึงจะออกจากบ้านช่องได้ พระอนาคามีท่านไม่ยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส แต่ท่านก็ยังไม่ต้องบวชก็ได้ แล้วลองคิดดูว่า ถ้าเราติดในรูปน้อยลง ติดในเสียงน้อยลง ติดในกลิ่นน้อยลง ติดในรสน้อยลง ติดในเรื่องราวต่างๆ ด้วยความเป็นเราน้อยลง เราก็ย่อมจะมีความสบายใจขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเรายังติดมากๆ เราก็ต้องเป็นทุกข์มากๆ แต่ว่าเรื่องจะไม่ติดนี่ยาก ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ติด ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แต่ว่าปัญญาจะทำให้เห็นตัวเองตามความเป็นจริงว่า ลึกแสนลึกลงไปที่เราติดมากที่สุด คือติดในความเป็นเรา ในความเป็นของเรา ในความเป็นตัวเรา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จะรักใคร จะต้องการอะไรสักเท่าไรก็ไม่เท่ากับเรา เราเป็นใหญ่ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่า ไม่มีเราเลยสักขณะเดียว เป็นธรรมะทั้งหมด แล้วธรรมะก็เป็นธรรมะ คือ ธรรมะฝ่ายดีก็ดี ธรรมะฝ่ายไม่ดีก็ไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดกับใครที่ไหน เราไม่เป็นคนที่เข้าข้างตัวเอง เห็นธรรมะเป็นธรรมะจริงๆ ก็จะสะสมธรรมะฝ่ายดีเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความทุกข์ซึ่งเกิดจากธรรมะฝ่ายไม่ดีน้อยลง
หลังจากการถ่ายรูปที่โรงแรมกันแล้ว ก็เช็คเอ้า ออกจากโรงแรม ไปช้อปปิ้งที่ตัวเมือง อิโปะห์ อย่างน้อย ขาช้อป ก็ต้องมีของฝากกัน ครับ เร็วๆ เดี๋ยวสายครับ ไปทานอาหารกลางวันที่โรงแรมในปีนัง นั่งรถ ได้ 2 ชั่วโมงกว่า ก็ถึง โรงแรม eastern & oriental hotel penang ที่เราจะมาทานอาหารมื้อกลางวันกันครับ ก็ให้ชมภาพบรรยากาศของโรงแรม เป็นโรงแรมที่หรู ตามสไตล์ oriental สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1885 ติดทะเล ครับ




อาหารการกิน ก็เต็มที่ครับ แต่ เวลาน้อยจัง เร็วๆ รีบทานครับ เดี๋ยวไม่ทันเครื่องบิน

และ เราก็ทานอาหารเสร็จ รีบเดินออกจากโรงแรม ไปสนามบินปีนัง พร้อมแล้ว ที่จะเดินทางกลับบ้านกัน
ไปถึงสนามบิน เรียกว่า สายพอสมควร แต่ก็ยังทันกันครับ และ เครื่องบินแอร์เอเชีย ก็นำเราไปสู่ สนามบินดอนเมือง
แสงสุดท้าย ของปีนัง ก็จากไป เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง สมัยหนึ่ง ที่จะไม่หวนกลับมาอีกเลย แต่ สิ่งที่สะสมแล้ว คือ กุศล อกุศล ที่สะสมในจิต และ ประเสริฐที่สุด คือ ได้สะสมความเข้าใจพระธรรม อันมีค่าที่สุด ในการเกิดเป็นมนุษย์และเป็นขณะที่ประเสริฐยิ่ง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งที่เผยแพร่คำจริงตามคำของพระอรหันตัสมมัมสัมพุทธเจ้า ได้ให้เข้าใจถูก และ ได้ให้โอกาส การเจริญกุศล พาท่านมาพักผ่อนร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดี ที่จะเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่พระธรรมอย่างยาวนานต่อไป ชีวิตของผู้มีปัญญายิ่งยาวนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์มากเท่านั้น
การมีชีวิตอยู่ที่ประเสริฐที่สุดคือการได้เข้าใจความจริง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ




