อินเดีย 2559 (3) พระเชตวัน และลุมพินี
16 พ.ย. 2559
ร่ำลาพระเชตวัน อีกครั้งที่ลุมพินี จิตดีด้วยกุศลและปัญญา

เช้าวันที่ 16 พฤศจิกายน ทั้งสองกลุ่มใหญ่ ต่างแยกย้ายกันไปตามเหตุปัจจัย กลุ่มท่านอาจารย์ยังอยู่ที่เมืองสาวัตถี อีก 1 วันเต็มๆ พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางไปที่เมืองปัตนะ ส่วนกลุ่มที่ไปครบสี่แห่ง เช้านี้ก็เตรียมออกเดินทางไปนมัสการสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ที่ลุมพินี ประเทศเนปาล
คณะกลุ่มสี่แห่ง ออกเดินทางไปลุมพีนี โดยรถสามล้อที่มารับที่ โรงแรม แต่ละคัน ก็นั่งได้สองคน บางคนไม่อยากรอ ก็เดินไป ประมาณ 1 กิโลเมตร จุดนัดหมาย คือ เสาพระเจ้าอโศกที่ลุมพินี

คณะเกือบหนึ่งร้อยคน เดินทางมาพร้อมกันที่ลุมพินี ไกด์ก็อธิบายประวัติ และ แสดงความจริงถึงสถานที่ประเสริฐ ณ ที่แห่งนี้ บุคคลผู้เลิศประเสริฐที่สุด ได้ถือกำเนิด ประสูติ ณ ที่นี้ เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย สัตว์โลกต่างยินดีในการเกิด ใครเกิด บ้านไหนก็ยินดีกัน แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการเกิดเป็นทุกข์ เพราะ มีการเกิดจึงนำมาซึ่งทุกข์กายและทุกข์ใจ เพราะฉะนั้น การเกิดเป็นครั้งสุดท้าย จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง เพราะไม่ต้องเกิดอีก


เมื่อบุคคลผู้เลิศประเสริฐสุด ประสูติ ณ ที่นี้ พระองค์ก็ทรงเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครที่จะประเสริฐเท่าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาเพื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จึงเปล่งวาจาอันยอดเยี่ยมที่ว่า
"เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก เราเป็นใหญ่ที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่ มีการเกิดใหม่อีกต่อไป"
คณะของเราช่วยกันพันผ้าที่เสาพระเจ้าอโศก พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เสด็จมาที่สถานที่นี้ และ ทรงทราบแน่ชัดว่าเป็นสถานที่ประสูติ จึงปักเสา และ เขียนอักษรจารึกว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ประพุทธเจ้าทรงประสูติ คณะของเราทั้งหมด จึงบูชาด้วยผ้าแพรทองสวยงาม และ เดินประทักษิณรอบวิหารมายาเทวี



หลังจากนั้น ก็เข้าไปในพระวิหารมายาเทวี ตึกสีขาว ข้างในมีรอยพระบาทที่เข้าใจกันว่า เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งประสูติ ทุกคนต่อแถวไหว้เสร็จแล้วก็เดินประทักษิณสามรอบ ในพระวิหารมายาเทวี ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ตามความเป็นจริง ตามกำลังปัญญาของแต่ละท่านเสร็จเรียบร้อย เก็บภาพประทับใจ ณ กาลครั้งหนึ่ง เคยมาสถานที่นี้พร้อมๆ กัน ด้วยภาพหมู่ ครับ

เป็นอันจบการนมัสการที่สถานที่ประสูติ แต่ จิตไม่จบและสะสมต่อไป แม้ขณะที่เกิดจิตที่ดี บูชาพระองค์ก็สะสมสิ่งที่ดีใหม่แล้ว อันจะเป็นเหตุ เป็นมูลได้พบบัณฑิตได้ฟังพระธรรม ต่อไป และ กลุ่มสี่แห่ง หลังอาหารกลางวันก็จะเดินทางต่อไป สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เกิดแล้วก็ต้องตาย เป็นความจริงเสมอ ตายโดยสมมติ คือ ตายจากบุคคลนี้ และ ตายโดยสัจจะ เกิดตายทุกขณะ ที่จิต เจตสิก กำลังเกิดขึ้นและดับไป แต่การตายของจิตสุดท้ายแล้วไม่เกิดอีก ประเสริฐแค่ไหน นั่นคือ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ที่เราจะถึงตอนค่ำนี้และนมัสการในพรุ่งนี้เช้า ครับ
ช่วงสายที่มีการสนทนาธรรมที่โรงแรมปาวาล จบการสนทนาธรรมช่างเช้าแล้ว ก็เดินทางไปเจริญกุศล บริจาคเลี้ยงอาหารเด็กที่ โรงเรียนเด็กอินเดียใกล้พระวิหารเชตวัน และบริจาคสิ่งที่เหมาะสมกับเด็กทั้งเครื่องเขียน ตุ๊กตา ก็ขออนุโมทนาผู้บริจาคมาตั้งแต่เมืองไทยด้วย มา ณ ที่นี้ ก็เป็นการเจริญกุศลทุกๆ ประการ ของคณะสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ครับ จึงขอนำภาพการเจริญกุศลมา ดังนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้ สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้ว ก็จะไม่พึงบริโภค อนึ่ง ความตระหนี่อันเป็นมลทิน จะไม่พึงครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่พึงแบ่งคำข้าวคำหลังจากคำข้าวนั้นแล้วก็จะไม่พึงบริโภค ถ้าปฏิคาหกของสัตว์เหล่านั้นพึงมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายไม่ให้แล้วจึงบริโภค อนึ่ง ความตระหนี่อันเป็นมลทินจึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น


[๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะเป็นทาน ชื่อว่า ให้ฐานะ ๕ อย่างแก่ปฏิคาหก ๕ อย่างเป็นไฉน คือ ให้อายุ ๑ ให้วรรณะ ๑ ให้สุข ๑ ให้กำลัง ๑ ให้ปฏิภาณ ๑ ครั้นให้อายุแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุทั้งที่เป็นทิพย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์ ครั้นให้วรรณะแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งวรรณะทั้งที่เป็นทิพย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์ ครั้นให้สุขแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสุขทั้งที่เป็นทิพย์ทั้งที่เป็นมนุษย์ ครั้นให้กำลังแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งกำลัง ทั้งที่เป็นทิพย์ทั้งที่เป็นมนุษย์ ครั้นให้ปฏิภาณแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งปฏิภาณ ทั้งที่เป็นทิพย์ทั้งที่เป็นมนุษย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทายกผู้ให้โภชนะเป็นทาน ชื่อว่า ให้ฐานะ ๕ อย่างนี้แล


ปราชญ์ผู้มีปัญญา ให้อายุ ย่อมได้อายุ ให้กำลัง ย่อมได้กำลัง ให้วรรณะย่อมได้วรรณะ ให้ปฏิภาณย่อมได้ปฏิภาณ ให้สุขย่อมได้สุข ครั้นให้อายุ กำลังวรรณะ สุข และปฏิภาณแล้วจะเกิดในที่ใดๆ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มียศ


บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดยชอบธรรมย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่ครองเรือน คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันและเพื่อความสุขในสัมปรายภพการบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้น ย่อมเจริญบุญ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

ท่านอาจารย์ กุศลทุกชนิด ท่านใช้คำว่า “เนกขัมมะ” หมายความว่าสละอกุศล ออกจากอกุศล ไม่ว่าอกุศลประเภทใดก็ตาม ทานเรายังสามารถให้วัตถุที่เป็นประโยชน์

ดิฉันเคยเห็นคนจน ไม่มีอะไร เขามีขนม เขาแบ่งกัน คิดดูซิ คนจน เขาหิว เขาไม่ค่อยได้อาหารที่อร่อย แต่พอเขามีอาหารอร่อย เขาแบ่งได้ แล้วคนที่มั่งมีศรีสุข มีอะไรก็ให้คนอื่นไม่ได้ ก็แสดงสภาพของจิตใจแล้วว่าต่างกัน

ความดีทุกอย่าง คิดให้ลึก มันมาจากการสละ ความไม่ติด ซึ่งในที่สุดเราจะสละความเป็นเราได้ เพราะเวลานี้ปัญญาแค่นี้สละความเป็นเราไม่ได้หรอก เห็น ก็เป็นเราเห็น ได้ยิน ก็เป็นเราได้ยิน ดี ก็เป็นเราดี ชั่ว ก็เป็นเราชั่ว เป็นเราไปหมด จนกว่าจะสละความติดข้อง เพราะรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ ถึงที่สุดของปัญญา ก็รู้ความจริงของธรรมที่เกิดดับจนค่อยๆ คลาย จนหมด ไม่มีความสงสัยว่า ไม่ใช่เราเพราะอะไร เพราะมันเป็นธาตุ หรือธรรมที่เพียงเกิดปรากฏ แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย



พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชนทั้งหลายเหล่าใด เมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ เหมือนพวกเดินทางไกล ก็แบ่งของให้แก่พวกที่เดินทางร่วมกัน ชนทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อบุคคล ทั้งหลายเหล่าอื่นตายแล้ว ก็ชื่อว่าย่อมไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของบัณฑิต แต่ปางก่อน ชนพวกหนึ่งเมื่อ ของมีน้อยก็แบ่งให้ ชนพวกหนึ่งมีของมาก ก็ไม่ให้ ทักษิณาที่ให้แต่ของน้อย นับเสมอด้วยพัน

[๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอานิสงส์แห่งการให้ทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก ๑ สัปบุรุษผู้สงบย่อมคบหาผู้ให้ทาน ๑ กิตติศัพท์อันงามของผู้ให้ทานย่อนขจรทั่วไป ๑ ผู้ให้ทานย่อมไม่ห่างเหินจากธรรมของคฤหัสถ์ ๑ ผู้ให้ทานเมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการให้ทาน ๕ ประการนี้แลผู้ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักของชนเป็นอันมาก ชื่อว่า ดำเนินตามธรรมของสัปบุรุษสัปบุรุษผู้สงบผู้สำรวมอินทรีย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ย่อมคบหาผู้ให้ทานทุกเมื่อสัปบุรุษเหล่านั้น ย่อมแสดงธรรมเป็นที่บรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขาเขาได้ทราบชัดแล้ว ย่อมเป็นผู้หาอาสวะมิได้ ปรินิพพานในโลกนี้
จบ ทานานิสังสสูตรที่ ๕


ตอนเย็น หลังจบการสนทนาธรรม ช่วงบ่ายสองถึงสี่โมงเย็น ท่านอาจารย์และคณะก็เดินทางไปพระวิหารเชตวันอีกครั้ง ร่ำลาพระเชตวัน เพราะจะต้องเดินทางไปเมืองปัตนะ ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งขอนำภาพประทับใจและธรรมที่สนทนาที่ โรงแรมปาวาลมาประกอบกัน

@ ปัญญากับโลภะไม่คบกัน เพราะปัญญารู้ความจริง โลภะไม่รู้ความจริง แต่ ปัญญาสามารถรู้ความจริงของโลภะได้



@ โลกสำหรับชาวโลกคือโลกที่เที่ยง มีภูเขา ต้นไม้ มีสิ่งต่างๆ แต่ความจริงคือ โลก คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นโลกและดับไป เห็นเกิดขึ้นเป็นโลกหรือเปล่า ได้ยินเกิดขึ้นเป็นโลกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปทั้งหมด ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นโลก


@ โลกทั้งโลกเป็นของใครหรือเปล่า หรือเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงเท่านั้น ที่เป็นธรรมไม่ใช่เรา

@ เราฟังมาแล้วกี่ชาติ หรือ เราฟังมาน้อยแค่นั้น ถ้าเป็นผู้ฟังมาก เข้าใจมาก เพียงได้ยินคำว่าธรรม ก็ประจักษ์แจ้งความจริง นี่แสดงให้เห็นว่าเราฟังมาน้อยมาก เข้าใจน้อยมาก


@ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ว่างเปล่าใช่ไหม คะ แต่ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาหนึ่งอย่าง นั่นคือโลก เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแต่ละหนึ่งเป็นโลก

@ ความละเอียดของโลภะนะคะ คือ อยากจะศึกษามากๆ


@ เข้าใจสำคัญที่สุด ถ้าใช้คำว่าปัญญา อาจจะเข้าไม่ตรง แต่เข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ


@ เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าใจเห็น ขณะนั้นเป็นปฏิบัติ ขณะใดที่ที่กำลังเข้าใจแข็ง ขณะนั้นก็เป็นปฏฺิบัติ คือ เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราในขณะนั้น


@ ทางที่รู้ความจริง ขณะนี้กำลังฟังเข้าใจ แม้ขั้นการฟังในเรื่องสภาพธรรมเป็นทางที่รู้ความจริงหรือเปล่า ก็เป็นทางที่รู้ความจริง ที่ค่อยๆ เริ่มไปสู่การรู้ความจริง


@ หนทางนี้ที่รู้ความจริงไม่ใช่เรา และเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่เพราะไม่รู้จึงหลงยินดี ติดข้องในสิ่งนั้น ซึ่งถ้าปัญญาไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ไม่มีทางที่จะละโลภะได้ แต่โลภะมีมาก ละเอียดก็ต้องเริ่มจากปัญญาขั้นการฟังค่อยๆ เข้าใจไปทีละน้อย



@ สิ่งที่ผิดและเป็นโรคระบาดร้าย 2 อย่าง คือ พระภิกษุที่รับเงินและทองและสำนักปฏิบัติ

@ ภิกษุรับเงินและทอง เป็นการทำลาย ภิกษุในธรรมวินัย ภิกษุที่รับเงินและทอง จึงไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย


@ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมไหม มี คือ เห็น ได้ยิน และ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แล้วจะไปไหน ไปหาธรรมที่ไหน ในเมื่อธรรม คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้

@ ไม่ต้องไปไหนเลย ปัญญารู้ความจริงเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็รู้ความจริงในขณะนี้ได้





@ ไปสำนักปฏิบัติ เพราะไม่รู้จึงไป ไปเพราะความไม่รู้ ไปแล้วก็เพิ่มความไม่รู้มากขึ้น แล้วคิดว่ารู้แจ้งแล้ว
@ ไม่รู้ตลอดเวลาจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม


@ เพราะไม่รู้จึงฟังพระธรรม และ เพราะไม่รู้จึงไปสำนักปฏิบัติ แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว ดังนั้น ทำไมไม่ฟังให้รู้ แต่กลับไปสำนักปฏิบัติ ไปทำ แต่ไม่ฟังให้เข้าใจ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจคำว่าปฏิบัติแล้ว เพราะเข้าใจว่า ปฏิบัติคือต้องไปทำ



@ ไปสำนักปฏิบัติแล้วไม่รู้อะไร แล้วเพิ่มความไม่รู้ อย่างนี้ไม่ชื่อว่า สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนหรือ


@ สำนักปฏิบัติห้ามพูด แล้ว พระพุทธเจ้าห้ามพูดหรือ และถ้าพระพุทธเจ้าจะตรัสคำของพระองค์ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ห้ามพูดหรือคะ


@ ห้ามใครพูดได้ไหม เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าอกุศลเกิด พูดก็ผิด ใครห้ามคนอื่นได้ และ ถ้าจิตดีเกิด การพูดที่ดีก็เกิดใครห้ามได้


@ พระธรรมทั้งหมดนำออกซึ่งกิเลส เพราะฉะนั้น ธรรมจึงเป็นวินัย และ วินัยก็เป็นธรรม

@ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณา สำหรับพระภิกษุที่ล่วงพระวินัย ต้องอาบัติ ก็ให้สำนึกด้วยการปลงอาบัติด้วยความเห็นโทษ เพื่อความสำรวมระวังต่อไป





การบูชาพระวิหารเชตวันกับคณะท่านอาจารย์สุจินต์ ในเย็นนี้ ส่วนกลุ่มสี่แห่งก็เดินทางถึงเมืองกุสินารา ในตอนหัวค่ำ พร้อมที่จะนมัสการสถานที่ปรินิพพานในวันนี้ และ กลุ่มท่านอาจารย์ก็จะออกเดินทางไปเมืองลัคเนาว์ในวันพรุ่งนี้ โดยรถยนต์เพื่อที่จะบินต่อ จากเมืองลัคเนาว์เข้าเมืองปัตนะ ในตอนเย็นพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้ก็มีเรื่องตื่นเต้นและอนัตตา ซึ่งความจริงแล้ว อนัตตาทุกขณะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่
อินเดีย 2559 (1) เดินทางนมัสการพระวิหารเชตวัน
อินเดีย 2559 (2) แสงแห่งพระธรรม ที่ เมืองสาวัตถี
อินเดีย 2559 (3) พระเชตวัน และลุมพินี
อินเดีย 2559 (4) อนัตตาตั้งแต่ต้นจนจบ กุสินารา ปัตนะ





