ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  8 พ.ค. 2558
หมายเลข  26523
อ่าน  1,704

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร อ.นิภัทร พจนปฏิภาณ อ.ธนิต ชื่นสกุล ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ และ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจาก ชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท โดย พลโท นายแพทย์กฤษฎา ดวงอุไร ประธานชมรมฯ เพื่อไปสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันฉัตรมงคล ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ถนนราชวิถี กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

ตลอดเวลาสองชั่วโมงเต็มของการสนทนาธรรม เป็นไปกับด้วยประโยชน์อย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงขอนำความการสนทนาบางตอน มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมฟังการสนทนาในวันนั้น ได้พิจารณาเช่นเคย ดังนี้

ท่านอาจารย์ เวลามีน้อยมากนะคะ สำหรับทุกนาที สั้นที่สุดค่ะ ก็ควรจะเป็นเวลาที่มีค่าที่สุด ได้เข้าใจสิ่งที่กำลัง และกำลังปรากฏ ในขณะนี้ โดยการฟัง วาจาสัจจะ คำจริง ที่กล่าวถึง สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ มิฉะนั้น เราก็จะผ่านทุกๆ ขณะไป ด้วยความที่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ คือ อะไร? ซึ่งไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณา อนุเคราะห์ให้เราได้ยิน ได้ฟัง และให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ด้วย

เพราะเหตุว่า แม้ว่าจะฟังมานานเท่าไหร่ ฟังแล้ว ฟังอีก ในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่มีจริง ก็ยากแสนยาก ที่จะรู้ ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเลย ที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ได้ และ ต้องเป็นผู้ที่ "ตรง" ความจริง คือ สิ่งที่กำลังมี แล้วก็มีตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติ เป็นสิ่งที่มี "ชั่วขณะ" เพราะเหตุว่า มีแล้วก็หมด หรือจะใช้คำว่า ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก ก็ไม่รู้ เพราะขณะนี้ เหมือนไม่มีอะไรเกิด แล้วก็ไม่มีอะไรดับ มีแต่สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็คุ้นเคย ต่อการที่จะยึดถือ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ได้เกิดดับไปเลย

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อเป็นผู้ที่ "ตรง" ที่จะรู้ว่า ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เป็นอย่างหนึ่ง แต่การที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ ไม่มีความเข้าใจถูก ไม่มีความเห็นถูก ในความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดแล้ว ขณะนี้ก็กำลังปรากฏ แล้วก็จะเกิดต่อไปอีก นานมาก ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

เพราะฉะนั้น เวลาทุกขณะ มีค่า ที่จะทำให้ค่อยๆ สะสม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะเหตุว่า ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่ใช่เข้าใจอะไรถูก ไม่ใช่เห็นอะไรถูก นอกจากสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ขณะนี้มี "เห็น" เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของ "เห็น" หรือยัง?

แม้จะได้ยินคำว่า "ธรรมะ" เป็น "อนัตตา" "เห็น" ก็เป็นสิ่งที่มีจริง "เป็นธรรมะ" แล้วก็ต้องเป็น "อนัตตา" ด้วย คือว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของ "เห็น" มีปัจจัยเกิด แล้วก็ดับ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่มีแต่ "เห็น" ขณะนี้ ก็มี "ได้ยิน" มี "เสียง" มีทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดดับเร็วมาก นับไม่ถ้วน แต่ว่า ถูกปกปิด ด้วยความไม่รู้ คือ อวิชชา

เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงพระมหากรุณากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เป็นวาจาสัจจะ ให้ผู้ที่ได้ฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจความจริงของแต่ละสิ่ง ซึ่งมี โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยความจงใจ ว่าเมื่อไหร่เราจะเข้าใจถูก เมื่อไหร่จะประจักษ์การเกิดดับ เมื่อไหร่จะเป็นธรรมะ ซึ่งเป็นอนัตตา นั่นคือ ความคิด ด้วยความเป็นตัวตน ไม่ใช่ปัญญา ความเห็นถูก ซึ่งเกิดจาก ฟัง-เข้าใจ และรู้ความจริง ทีละเล็ก ทีละน้อย โดยความเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น ที่มั่นคงที่สุด ก็คือ เข้าใจให้ถูกต้อง ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ เกิดแล้วดับ และ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และ สิ่งที่เพียงเกิดขึ้น เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเกิดแล้วก็ดับไป จะเป็นใคร จะเป็นเรา จะเป็นเขา จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้ว่า ขณะไหนฟังพระธรรม ก็คือ ได้ฟังวาจาสัจจะ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ให้เราอยากรู้ ไม่ใช่ให้อยากเก่ง หรือว่า อยากที่จะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะ โดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ "ตรง" "ไม่ใช่เรา" แต่เป็น "ความเห็นถูก" ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" หรือ "ปัญญา" ไม่ใช่เราเลย !!! และจะเกิดได้เมื่อไหร่? เมื่อฟังแล้วพิจารณา พิจารณา อะไร? เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เข้าใจ เช่น เดี๋ยวนี้ ถ้ากล่าวถึง "เห็น" ถึง "ได้ยิน" ถึง "เสียง" ถึง "คิด" พวกนี้ เป็นธรรมะ เป็นคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด เพื่อที่จะให้ "เริ่มเข้าใจธรรมะ" จริงๆ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นหนังสือ หรือว่าเป็นเพียงเสียง แต่ว่า "ตัวธรรมะ" จริงๆ ก็หลากหลายมาก แล้วก็ถูกปกปิด ด้วยการที่ไม่ได้ฟังพระธรรมมานาน หรือว่า ฟังบ้าง เพียงเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละชาติ หรือว่า ในแต่ละวัน


นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่เห็นประโยชน์ ของการที่จะได้เข้าใจธรรมะ ก็รู้ได้เลย ใครก็คิดเอง ไม่ได้ แต่ต้องอาศัย การฟังพระธรรม ด้วยความละเอียด รอบคอบ เข้าใจความลึกซึ้ง ซึ่งจะเห็นจริงๆ ว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา

พิธีกร มีคำถามส่งมา กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ ดิฉันเพิ่งเริ่มฟังธรรมะใหม่ๆ ถูกญาติชักชวนให้มาฟัง เคยถามเขาว่า จะเริ่มต้นตรงไหน? เคยได้ฟังในวิทยุ ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า ให้ฟัง ดิฉันก็ถามญาติ ญาติก็บอกว่า มาฟังเถอะ จะได้รู้ ในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้ ก็เลยยัง งงๆ

ท่านอาจารย์ ฟัง แล้วก็เข้าใจคำที่ได้ฟัง ทุกคำ คำไหนก็ได้ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แต่ฟังคำ ซึ่งไม่เคยได้ฟังมาก่อน เพราะเหตุว่า ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะพูดคำแบบนี้ได้? ไม่มีเลย !!! แต่เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรม แล้วก็มีผู้ที่เข้าใจ คำที่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ได้ฟังคำที่เป็นวาจาจริง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง และ เข้าใจคำนั้น นั่นคือ การฟังพระธรรม

ไม่ใช่ฟังพระธรรม แต่ไม่เข้าใจ แต่ ฟังทุกคำ แล้วก็รู้ว่า แต่ละคำ ครั้งแรกต้องใหม่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ว่า เป็นคำจริง ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ทุกขณะ เช่น ขณะนี้ "เห็น" มี ผู้นั้น เมื่อฟังแล้ว รู้เลย ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงตรัสรู้ความจริงของ "เห็น" จะทรงแสดงความจริงของ "เห็น" โดยละเอียด ได้ไหม? ว่าขณะนี้ ที่เห็น "เห็น" ต้องเกิด และ "เห็น" จะเกิดเอง โดยไม่มีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิด ไม่ได้แน่นอน !!! ไม่ว่าที่ไหน และ ใครทั้งสิ้น ไม่สามารถที่จะบันดาลให้ "เห็น" เกิดขึ้นได้ โดยไม่มีปัจจัยของเห็นที่จะเกิดขึ้น

ถ้าฟังอย่างนี้ ก็รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด ที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติ ถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ไม่มีบุคคลใดเปรียบได้ เพราะเหตุว่า แต่ละคำที่ได้ยิน ลึกซึ้ง และเปลี่ยนไม่ได้เลย เช่น "เห็น" ต้องเป็น "เห็น" "เห็น" จะเป็นอะไรไม่ได้เลย "เห็น" เป็น "คน" ก็ไม่ได้ "เห็น" เป็น "สุนัข" ก็ไม่ได้ "เห็น" เป็น "เทวดา" ก็ไม่ได้ "เห็น" เป็น "พรหม" ก็ไม่ได้ เพราะ "เห็น" เกิดขึ้น "เห็น" แล้วก็ดับไป

นี่คือ การฟังให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่ใช่มีแต่เพียง "ขั้นฟัง" ให้เข้าใจ ความจริงนี้ สามารถที่จะ "ประจักษ์แจ้ง" ได้ มิฉะนั้น ก็เป็นคำพูดที่เลื่อนลอย กล่าวอะไรก็ได้ แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง นั่นไม่ใช่ประโยชน์ และ ไม่ใช่ผู้ที่รู้จริง แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้จริง นอกจากจะกล่าว "คำจริง" แล้ว ยังทรงแสดง "หนทาง" ที่จะทำให้ประจักษ์ความจริงนี้ด้วย

เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงคำว่า "เห็น" "เริ่มรู้" เคยเป็น "เราเห็น" ถูกไหม? เพราะ "เห็น" ต้องเกิด แล้ว "เห็น" ก็ดับไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ที่จะเข้าใจ "แต่ละคำ" ที่ได้ฟัง จนกระทั่ง สามารถที่จะ ค่อยๆ ละคลาย "ความติดข้อง" ซึ่งเคยเข้าใจอย่างมั่นคงว่า "เราเห็น" ไม่ได้ดับไปเลย เดี๋ยวนี้ก็ "เห็น" แต่ว่า คิดลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นไหม? ว่า "เห็น" เกิดเพราะอะไร? แล้ว "เห็น" เป็นใครจริงๆ หรือเปล่า? นอกจากเป็น "ธาตุ" หรือ "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งใคร ก็ไม่เคยสนใจ !!!

เพราะเหตุว่า เกิดมาก็ "เห็น" ก็ดูเป็นธรรมดา ต้องมาพูดอะไรเรื่อง "เห็น" แต่ว่า การที่จะรู้ว่า "สิ่งที่มี" นี้แหละ !!! ตั้งแต่เกิด จนตาย ไม่ว่ากี่ชาติ "รู้" หรือเปล่า ว่า เป็นอะไร?

ทุกคน เกิดแล้วต้องตาย เป็นธรรมดา แต่บอกว่า "เห็น" เกิดแล้วดับ ไม่เห็นมีใครคิด !!! ว่า ขณะนี้เอง ตายอยู่ทุกขณะ !!! คือ "เห็น" ตาย "เห็น" เกิด แล้วก็ ตาย คือ ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย !!! เพราะฉะนั้น จะมีคำว่า "ขณิกมรณะ" "มรณะ" คือ คำที่เราใช้ทั่วๆ ไป สำหรับ "ตาย" "ขณิกะ" ก็ ขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง กำลังตาย อยู่ทุกขณะ !!!


นี่ค่ะ เข้าใจ คำที่ได้ฟัง แล้วก็ไม่ใช่จะต้องเชื่อ แต่ จริงหรือเปล่า? ถ้า "เข้าใจถูกต้อง" นั่นคือ ความหมายของ "ปัญญา สัมมาทิฏฐิ หรือ ความเห็นถูก" ในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ไม่ใช่ฟังเพื่อจะได้บุญ อยากได้บุญ แต่ไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็ยังคงเป็น "เรา" ที่ต้องการ แต่รู้ว่า ทำไมฟัง? เพราะ ไม่รู้ !!! "ฟัง" เพื่อ เข้าใจความจริงของแต่ละคำ ที่ได้ยิน การฟังแต่ละขณะนั้น ก็จะมีประโยชน์

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 8 พ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม

ในการถ่ายทอดสารธรรมและภาพอันสวยงาม

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tanrat
วันที่ 9 พ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ ซ้ำๆ ซากๆ ที่ท่านอาจารย์กล่าว หากไม่เป็นสัจจะ สาระ และประโยชน์ ต่อผู้ฟังแล้ว ท่านอาจารย์สุจินต์จะกล่าวหรือ ผู้ฟังต้องพิจารณา ไตร่ตรอง และย้ำระลึกเสมอค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 9 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 9 พ.ค. 2558

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ch.
วันที่ 9 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 9 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 9 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 9 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wirat.k
วันที่ 10 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 10 พ.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Boonyavee
วันที่ 10 พ.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
raynu.p
วันที่ 12 พ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาค่ะ ได้อ่านซ้ำ ใคร่ครวญ พิจารณา มีประโยชน์จริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pat_jesty
วันที่ 14 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
tusaneenui
วันที่ 15 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ