สภาพธรรมปฏิบัติกิจ

 
papon
วันที่  4 ม.ค. 2558
หมายเลข  26006
อ่าน  919

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"สภาพธรรมปฏิบัติกิจ" พจนาท่านอาจารย์ในปกิณกะตอนที่ 82-83 ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้คำอธิบายเพื่อความกระจ่างมากขึ้นด้วยครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมปฏิบัติกิจของธรรม โดย ท่านอาจารย์สุจินต์

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติก่อน คือ ในภาษาไทย เราใช้คำว่า “ปฏิบัติ” หมายความถึง การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างสมมติว่านั่งอยู่อย่างนี้ บางคนก็อาจจะคิดว่า ไม่ได้ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติก็คือ “ทำ” ในภาษาไทย เพราะฉะนั้นบางคนก็คิดว่าต้องทำหรือไปทำ

แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว สภาพธรรมทุกอย่างมีกิจการงานหน้าที่ของสภาพธรรมนั้น เช่น โลภะ ความต้องการเกิดขึ้นขณะใด เป็นสภาพที่ติดข้อง ไม่ยอมสละโทสะเกิดขึ้นขณะใด จิตจะกระด้าง และมีความขุ่นเคือง ประทุษร้าย เบียดเบียน นั่นเป็นกิจการงานของสภาพธรรมนั้นๆ

เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า สิ่งที่เราเคยยึดถือว่า เป็นเราทั้งหมด เป็นธรรมแต่ละอย่าง อันนี้เป็นสิ่งที่เราอาจจะไม่เคยคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ก็คือทรงแสดงเรื่องจริงซึ่งมีอยู่แก่ทุกคน และสิ่งต่างๆ ที่มี ที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา แท้ที่จริงก็เป็นธรรม

ถ้าเข้าใจธรรมแล้วก็จะรู้ว่า ตาก็เป็นธรรม หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ความสุข ความทุกข์ ความริษยา ความมานะ ความสำคัญตน ความเกียจคร้าน ความง่วงนอน ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด

เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม คือ ทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งทุกคนมี แต่ว่าไม่เคยเข้าใจ แล้วก็มียึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็เลยมีความคิดว่า เราทำหรือว่าเราปฏิบัติ แต่แท้ที่จริงแล้ว ธรรมนั่นเองปฏิบัติกิจของธรรมนั้นๆ อย่างเวลาที่เมตตาเกิด เมตตา คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความปรารถนาดี ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลยว่า เราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือลักษณะของเพื่อนจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสภาพของธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา ในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยเราก็ใช้คำว่า “มิตร” หรือ “เพื่อน”

เพราะฉะนั้นเวลาไหนที่เราเกิดหวังดีต่อใคร ให้ทราบว่า สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นกำลังทำกิจหวังดี แต่เวลาที่โกรธ ทั้งๆ ที่เราบอกว่าคนนี้เป็นเพื่อนเรา แต่ลองคิดดูว่าเราเคยโกรธเพื่อนคนนั้นไหม ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพื่อนเรา แต่เราก็ยังเคยโกรธเขา

เพราะฉะนั้นเวลาที่ลักษณะสภาพธรรมที่โกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ก็ทำกิจของธรรม คือ ไม่ชอบใจเลยในการกระทำของคนนั้น ในเรื่องนั้น เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมปฏิบัติกิจของธรรม ไม่ใช่มีเราซึ่งเป็นตัวตนที่จะทำ

อย่างขณะนี้ที่ทุกคนกำลังนั่ง แล้วตั้งแต่เกิดมากี่ชาติก็ตาม เวลาไหนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมก็จะคิดว่า เป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าของเราหมดเลย เกิดมาอย่างไร จากไหน ได้มาอย่างไร ไม่สำคัญ ถ้ามาอยู่ตรงนี้แล้วก็ยึดถือเอาเลยว่า เป็นเรา

เพราะฉะนั้นก็ไม่เคยเข้าใจว่า เห็น ขณะนี้มี กำลังทำกิจเห็น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงชนิดหนึ่ง และขณะนี้ก็มีได้ยิน ได้ยินกับเห็น ไม่เหมือนกันเลย เห็นต้องอาศัยจักขุปสาทกับสิ่งที่มากระทบตา แล้วจึงเห็นสิ่งนั้น ถ้าทางหู ขณะนี้ที่กำลังได้ยิน ต้องมีโสตปสาท ถ้าไม่มีโสตปสาท อย่างไรๆ การได้ยินก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถึงแม้คนที่มีโสตปสาท แต่ถ้านอนหลับ ก็ไม่ได้ยินอีก ใช่ไหมคะ ถึงแม้ว่ามีเสียง

นี่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การได้ยินชั่วขณะนิดหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นกระทำกิจได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วไม่มีใครทำด้วย แต่จิตนั้นเกิดขึ้นทำกิจได้ยินแล้วก็ดับ ไม่ใช่ในขณะที่คิดนึก เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของธรรม

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา กล่าวคือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่ออาศัยการฟังการศึกษาการพิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า แต่ละขณะๆ นั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมเหล่านั้นเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีทางเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดี พอใจ หงุดหงิด โกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรมนั้น โดยไม่ปะปนกันเลย เป็นแต่ละสภาพธรรมจริงๆ

ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด โดยเริ่มต้นสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ เมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ถ้าปัญญาเกิดจะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม เพราะทุกขณะเป็นจริงที่มีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วทุกขณะไม่ใช่เรา การที่ปัญญาจะถึงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ต้องอาศัยความเข้าใจมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 5 ม.ค. 2558

ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธัมมะทั้งหมด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 5 ม.ค. 2558

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
tanrat
วันที่ 5 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nopwong
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 29 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 25 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ