จิตไม่นิ่ง ทำอย่างไรดีครับอาจารย์

 
สายฝน
วันที่  4 ม.ค. 2558
หมายเลข  26004
อ่าน  1,818

ปีที่ผ่านมาผมพบกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต ผมป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ตอนที่รู้ตัวว่าป่วยผมช็อค งานที่ทำอยู่ก็เจอภาวะกดดัน ผมถูกไล่ตามงานแทบทุกวัน บางวันก่อนมีการนำเสนองาน ผมต้องอยู่ถึงตีสาม ตีสี่ แล้วต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เป็นแบบนี้บ่อยๆ ทั้งช่วงก่อน และหลังจากรู้ว่าป่วยผมอยู่ในภาวะที่ไม่ดีมากๆ แต่ยังพอมีสติ แก้ไขปัญหา เรื่องอาการป่วยผมไปพบแพทย์ และได้รับยารักษา ในเรื่องการทำงานระหว่างนั้น ผมสู้นาที ต่อนาที ชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อให้ผ่านไปได้ สุดท้ายผมขอย้ายไปอยู่หน่วยงานที่ผมสามารถดูแลตัวเองได้ และโรคที่ป่วยก็ทุเลาลง แต่ก็ยังอยู่ในตัวผม ต้องกินยาตลอดไม่สามารถหยุดยาได้

ระหว่างนั้นผมใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากๆ อยู่กับครอบครัว ดูแลงานที่รับผิดชอบได้ดี แต่พอหมดช่วงสิ้นปีนี้ ผมพบว่าตัวผมเองจิตไม่นิ่ง ปรุงแต่งไปเรื่อย มองแต่อนาคต ไม่สามารถควบคุมให้อยูกับขณะปัจจุบันได้ แล้วก็ทำให้หมดกำลังใจ ขาดแรงจูงใจ ไม่มีเป้าหมาย

ผมอยากขอคำแนะนำเพื่อช่วยเตือนสติ ให้ผมสามารถประคองชีวิตต่อไปให้ได้ กราบขอหลักธรรมจากกัลยาณมิตร และอาจารย์ทุกๆ ท่านด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นไปของปุถชน ย่อมเป็นไปตามความเป็นปกติของอกุศลที่เกิดขึ้นมากเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่ที่ประเสริฐ คือ อยู่ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในหนทางที่ถูกต้อง และทำดี และศึกษาพระธรรม เพราะชีวิตไม่แน่นอนเลย ไม่สามารถเอาอะไรไปได้ นอกจากความดีและความไม่ดีที่สะสมติดตัวไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตของปุถุชนก็เป็นธรรมที่จะหลงลืมสติ เพราะมากไปด้วยกับอกุศล ไม่มีใครจะอยู่กับปัจจุบันด้วยความเข้าใจตลอดได้

แต่ที่สำคัญ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียดลึกซึ้ง หากไม่ศึกษาให้ละเอียดย่อมเข้าใจพระธรรมผิด แม้แต่คำว่า อยู่กับปัจจุบัน อยู่อย่างไร อยู่ด้วยเข้าใจว่าทำอะไรอยู่ กำลังเดิน กำลังทำงาน อย่างนี้ ไม่ใช่อยู่กับปัจจุุบัน ที่รู้ว่าทำอะไรอยู่ เพราะเป็นการอยู่กับปัจจุบันที่ขาดปัญญา ขาดความรู้ความเข้าใจ แต่การอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เราที่รู้ว่าทำอะไร แต่อยู่กับบัจจุบันด้วยปัญญา ที่เข้าใจในปัจจุบันว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา อย่างนี้ ชื่อว่าอยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจถูก ย่อมไม่เดือดร้อนว่า ทำไมไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะเข้าใจความเป็นไปของปุถุชนที่จะต้องเป็นอย่างนั้นที่หลงลืมสติ แต่กลับมาที่สะสมเหตุที่ถูกต้องว่า ตนเองเข้าใจถูกต้องหรือยังแม้แต่คำว่า อยู่กับปัจจุบัน แม้แต่เรื่องจิตไม่นิ่ง ก็เป็นธรรมดาที่จิตจะต้องเกิดขึ้นและดับไป เป็นไปกับอกุศลโดยมากที่ซัดส่ายไปกับอกุศล แต่ความเข้าใจถูกในพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง ก็เข้าใจถูกได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แม้อกุศลที่เกิดขึ้นที่สมมติเรียกว่า จิตไม่นิ่ง พระธรรมในหนทางถูก จึงไม่ใช่เรื่องจะห้าม เรื่องจะทำ ให้จิตนิ่ง ไม่นิ่ง แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้วว่าคืออะไร เรา หรือ ธรรม ครับ

เพราะฉะนั้น ควรที่จะกลับมาเริ่มสะสมเหตุที่ถูกต้องด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมใหม่ให้เข้าใจถูก ไม่เข้าใจผิด ซึ่งเวปนี้ ก็มีไฟล์เสียงธรรม และหนังสือให้อ่าน สะสมเหตุตรงนี้ เป็นหลักธรรมที่ควรยึดถือเป็นลำดับแรก คือ ให้เข้าใจถูกเป็นเบื้องต้นในขั้นการฟังก่อนเป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อมีรูปร่างกายแล้ว ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ เนื่องจากว่า ร่างกายเป็นรังของโรค เป็นบ่อเกิดแห่งโรค การเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เป็นผลของกรรม ซึ่งไม่มีผู้ใดจะบังคับได้เลย วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้อาจจะเจ็บป่วยก็ได้ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญาที่ได้อบรมมาแล้ว ถึงแม้ในขณะที่วิบากซึ่งเป็นผลของกรรม คือ การเจ็บป่วยเกิดขึ้น เป็นเครื่องเตือนได้ว่า เป็นเวลาที่ไม่ควรประมาท ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา และไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ เป็นธรรมที่จะเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ความกลัว ความทุกข์ใจ ก็เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีตัวตนที่จะไปห้าม หรือไปบังคับ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เราเลย เป็นแต่เพียงธรรม และที่สำคัญ เป็นเรื่องของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างแท้จริง เพราะผู้ที่หมดทุกข์ใจ หมดโรคทางใจ คือกิเลสแล้ว มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 4 ม.ค. 2558

พระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก ท่านก็ยังป่วยไม่สบาย ส่วนเราเป็นปุถุชนความเจ็บป่วยเป็นของธรรมดาหนีไม่พ้น ความเจ็บป่วยเป็นเทวทูตเป็นเครื่องหมายเตือนให้เราทำดี ศึกษาพระธรรม ถ้ามีโอกาสให้ตั้งใจฟังแนวทางเจริญวิปัสสนาและเจริญกุศลทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สายฝน
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณมากครับ ผมเห็นทางไปต่อแล้วครับ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่คือเป้าหมายที่ผมจะปฏิบัติครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 4 ม.ค. 2558

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาในกุศลจิต อ.ทั้งสองท่านค่ะ

พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ลึกซึ้ง และเป็นความจริงที่เห็นยาก จึงต้องศึกษาโดยละเอียด จากผู้ศึกษาโดยถ่องแท้มาก่อน ซึ่งกว่าจะเริ่มเข้าใจในส่วนละเอียดได้ ก็เมื่อได้ฟัง อ่าน การบรรยายและสนทนา โดยท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จึงขอกราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่าน อ.สุจินต์ ด้วยความสำนึกพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 4 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ประสาน
วันที่ 5 ม.ค. 2558

คุณสายฝนครับ ลองศึกษาวิธีรักษาของหมอเขียวในยูทูป แต่อย่าลืมการฟังธรรมและเจริญกุศลทุกประการด้วยนะครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 5 ม.ค. 2558

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พรรณี
วันที่ 5 ม.ค. 2558

ขอเป็นกำลังใจให้คุณสายฝนมีความเข้มแข็งอยู่กับปัจจุบัน ทำดีและศึกษาพระธรรม และมีจิตใจที่ผ่องใสอยู่เสมอค่ะ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
isme404
วันที่ 5 ม.ค. 2558

กราบเท้าบูชาท่าน อ.สุจิต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูง

และกราบขอบพระคุณท่านอ.ทั้ง 2 ด้วยค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 6 ม.ค. 2558

สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูกว่าธรรมที่ควรรู้ยิ่งนั้นมีแล้วเกิดดับขณะนี้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ทรงตรัสสอนอย่างละเอียดถี่ถ้วน พวกเราเป็นสาวกๆ แปลว่า ผู้ฟัง ฟังอะไร? ฟังคำสอนจากที่ทรงตรัสรู้นั่นเอง ดังมีปรากฏหลายแห่งในพระไตรปิฎกว่า จงเงี่ยโสตลงสดับ

สาธุขออนุโมทนากับทุกท่านคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
tanrat
วันที่ 7 ม.ค. 2558

ขั้นการฟังก็เข้าใจว่าทุกข์คือความไม่สบายกาย และใจ มีจริงๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วด้วย ความเป็นปุถุชนก็ยังคงมี จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะนั้นๆ พระองค์มิได้ทรงห้ามไม่ใครคิด คำว่าค่อยๆ สะสมความเห็นถูกค่อยๆ กระจ่างขึ้น

ขอให้น้องมีจิตที่แข้มแข็ง และสะสมการฟังธรรมะต่อไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 7 ม.ค. 2558

ขณะที่คิดถึงปัจจุบัน อดีตหรืออนาคต จิตเป็นได้ทั้งกุศลและอกุศลต่างกันตรงที่ขณะที่เป็นปัจจุบันมีลักษณะของสภาพธรรมให้พิจารณาได้ ขณะที่จิตเป็นไปใน ทาน ศีล และภาวนา จิตเป็นกุศล จิตที่เป็นชาติกุศล วิบาก กิริยา ไม่ฟุ่งซ่าน จิตที่เป็นอกุศลเท่านั้นที่ฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านหรือไม่ฟุ้งซ่านก็เป็นธรรมะ เกิดแล้วต้องดับท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า ข้อความในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการฟัง หรือ การอ่านเกื้อกูลต่อการที่จะให้กุศลจิตเกิด

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
nong
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
nopwong
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
wirat.k
วันที่ 10 ม.ค. 2558

ขอเป็นกำลังใจในการรักษาตัวจากโรคภัยที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจในการฟังพระธรรม และทำความดีตามกำลังที่จะสามารถทำได้ ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจไปเรื่อยๆ นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
jirat wen
วันที่ 20 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ