เอ็มพีสามสนทนาธรรมที่อินเดีย ๒๕๕๗

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  7 ม.ค. 2558
หมายเลข  26016
อ่าน  1,475

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แสดงธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุญาตถอดคำบรรยายธรรมจากไฟล์เสียง

แนะนำ mp3 สนทนาธรรมที่อินเดีย ๒๕๕๗

"พระเชตวันยามฝนพรำ" พระเชตวัน วันนี้ มีฝนฉ่ำ … ตกพรำพรำ ทั่วพื้น พระวิหาร น้อมนึกไป เมื่อสมัย พุทธกาล … ต้องมีวัน เช่นนี้ แสนดีใจ ประทีปทอง ส่องแสง แข่งสายฝน … ใจทุกคน คงมั่น ไม่หวั่นไหว น้อมบูชา พระรัตนตรัย … ผ่องอำไพ เพราะสัทธา ทั่วกมล พระคันธ กุฎี ที่ประทับ … งามระยับ ยิ่งสว่าง อยู่กลางฝน ได้เป็นที่ ระลึกถึง พระทศพล … มหาชน ชาวพุทธ สุดเปรมปรีด์ ข้าพเจ้า เหล่าพุท –ธ บริษัท … กราบรอยบาท พระศาสดา ณ ที่นี้ ถึงสรณะ เรียนธรรมะ ประพฤติดี … ดับกิเลส ที่มี จนหมดไป

ประพันธ์โดย ผศ. อรรณพ หอมจันทร์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เลขที่ ๑๑

คุณคำปั่น อักษรวิลัย วันนี้ ก็เป็นโอกาส ที่ดี ที่มีค่า อย่างยิ่ง ที่ ได้ร่วมกัน เดินทางมาที่ สังเวชนียสถาน แล้วก็ มาที่ พระนครสาวัตถี ซึ่ง เป็น สถานที่ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับ แล้วก็ ทรงแสดงพระธรรม อยู่ที่พระวิหารเชตวัน นะครับ ท่านอาจารย์ครับ ก็จะ ขอกราบเรียน ท่านอาจารย์ ในประเด็นแรกเลยครับ ที่กล่าวถึง “การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง” ซึ่ง เมื่อวาน ในการที่ ท่านอาจารย์ ได้กล่าวนำ “บูชาพระวิหารเชตวัน” ก็มีข้อความตอนหนึ่ง ที่ท่านอาจารย์ ได้ กล่าวนำ ว่า “ข้าพเจ้า ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เพื่อ ศึกษาพระธรรม อบรมปัญญา อันเป็นเหตุให้ ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลา ละคลาย กิเลส จนกว่า กิเลสทั้งปวง จะดับ หมดสิ้นไป” กราบเรียน ท่านอาจารย์ ถึง สาระสำคัญ ของ “การที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง” ในช่วงแรกครับ

ท่านอาจารย์สุจินต์ ธรรมะ คือ ชีวิตจริง นะคะ ไม่ได้อยู่ในหนังสือเลย เราฟังธรรมะ มานาน และก็ ทุกขณะ นี่ ก็เป็นธรรมะ. แต่ว่า ธรรมะหลากหลายมาก เช่น เมื่อวานนี้ค่ะ ฝนตก ซึ่ง ตั้งแต่ มาอินเดีย ยังไม่เคยได้มี ฝนตก ที่พระเชตวันเลย เพราะฉะนั้น ก็ เป็นครั้งแรก ที่ ทำให้ นึกถึง เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี ฝน ก็ตก ที่พระเชตวัน แล้ว พระภิกษุ ท่าน ก็ มี ชีวิตของท่าน ตามปกติ แล้วก็ มีเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่ง ถ้าฟังต่อไป ก็จะได้ทราบว่า แม้ ฝนกำลังตก ที่พระเชตวัน น่ะคะ ก็ ยัง มีเหตุการณ์ ที่กล่าวไว้ ในพระไตรปิฎก ด้วย แต่ว่า ๒,๕๐๐ ปี ก็ผ่านไป นาน หรือเปล่า ก็ ไม่ทราบ

สำหรับ คนที่ ได้เคย ได้เดินอยู่ แถวนั้น เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็จะ ได้เห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอรหันต์สาวกเนี่ยค่ะ เข้าออก ที่ ประตูพระเชตวัน ทำกิจปกติ ไม่ว่า ท่านจะออกมา เพื่อที่จะ เดินบิณฑบาต ชาวสาวัตถี แถวนี้ ก็ ได้เห็น ได้เฝ้า ได้ฟัง พระธรรม เพราะฉะนั้น ทาง ที่เรานั่ง และ ผ่านไปผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจะ นั่งในรถ หรือว่า นั่งที่นี่ เดี๋ยวนี้ ก็ เป็นที่ ที่ บุคคลในครั้งก่อน ได้ นั่ง นอน ยืน เดิน มาแล้ว ทั้งนั้น. แล้วก็ จะเป็นอย่างนี้ต่อไป อีก หลายพันปี แต่ว่า พระธรรม ที่ได้ทรงแสดงไว้ ที่ พระวิหารเชตวัน ซึ่ง ได้จารึก เป็น พระไตรปิฎก ... จะ คงอยู่ อีกนาน เท่าไหร่ ถ้า ไม่มีการศึกษา ไม่มีการฟัง ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่สามารถ ที่จะ เข้าใจ พระธรรม ที่ พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง เพราะ ลึกซึ้ง เป็น สิ่งที่มี เดี๋ยวนี้. แต่ ความละเอียด ของ สภาพธรรมะ แต่ละหนึ่ง เดี๋ยวนี้ ทรงแสดงไว้ ด้วยเทศนา ซึ่งลึกซึ้งมาก

เพราะฉะนั้น การอ่านพระไตรปิฎก ประโยชน์ ก็คือว่า “อ่านแล้วได้อะไร - ไม่ใช่ตัวเราได้” แต่ ความเห็นถูก - เกิดขึ้น ที่รู้ว่า ถ้า ไม่มี พระธรรม สัก ๑ คำ เพียง แค่ ๑ คำ ... โลก ก็จะ มืด. เราก็ ไม่สามารถ ที่จะ รู้ได้ว่า แม้แต่ คำว่า ธรรมะ ก็หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง. เพราะฉะนั้น ธรรมะ เมื่อวานนี้ ที่ พระวิหารเชตวัน ... เป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตจริง ของ แต่ละคน หลากหลาย มาก กำลังเดิน เข้าสู่ พระวิหารเชตวัน กว่าจะถึง พระคันธกุฎี ความคิดมากมาย ใครคิดอะไรบ้าง คนอื่นรู้ไม่ได้เลย แต่ก็ คิดแล้ว เป็นอย่างนั้นแล้ว แล้วก็ ดับหมดไปแล้ว โดยที่ว่า ไม่รู้เลยว่า พระธรรม ที่ได้ทรงแสดงมาแล้ว ที่เราฟังมาบ่อยๆ ขณะนั้น สามารถ ที่จะ เกิดเข้าใจ ลักษณะ ของ ธรรมะ ที่กำลังปรากฏ จริงๆ หรือเปล่า ยากมาก ลึกซึ้งมาก คิด ก็เป็นธรรมะ . แล้วก็ เมื่อวานนี้ ก็ คิด เกิดขึ้น โดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน

บางคน อาจจะ คิดว่า ขณะที่ เดินประทักษิณ ก็จะ “คิดถึงธรรมะ” หรือ จะ กล่าวคำว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต” แต่ จริงๆ ความคิด-เกิด เกิดแล้วค่ะ. แต่ละคน ก็รู้ว่า เมื่อวานนี้ เป็นอย่างนี้ หรือเปล่า แต่ ยังไงก็ตาม นะคะ ไม่ใช่ ให้ติดข้อง แต่ ให้เห็น ความเป็นอนัตตา บังคับบัญชา ไม่ได้เลย ค่ะ. เตรียมคิด ยังไง ... ก็ไม่เหมือน “คิด” - ซึ่ง เกิดแล้วดับแล้ว ในขณะนั้น แล้ว ขณะนี้ นะคะ ... ตั้งแต่เช้ามา ก็ คิด มากมาย หลายเรื่อง ทั้ง เห็นด้วย ได้ยินด้วย ก็ไม่ได้ เข้าใจ สภาพธรรมะ. ทั้งๆ ที่ ได้ยิน ได้ฟัง เสมอทีเดียว ไม่เปลี่ยน ว่า ทุกขณะ เป็น สิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดแล้วปรากฏ แล้วก็ดับไป ... “ไม่ใช่เรา”.

เพราะฉะนั้น กว่าจะ ได้ฟัง ... จนกระทั่ง สามารถ ที่จะ ไม่ว่า อยู่ที่พระวิหารเชตวัน ฝนจะตก หรือว่า วันไหน ก็ตาม สามารถ ที่จะ รู้ สภาพธรรมะ ที่ กำลังปรากฏ ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ว่า “ไม่ใช่เรา” แต่ ลักษณะ ของ ธรรมะ แต่ละหนึ่ง ก็คือ ปกติในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น การที่ ปัญญา สามารถ ที่จะ ถึง การเข้าใจ ลักษณะของ สภาพธรรมะ เดี๋ยวนี้ หรือ เมื่อไหร่ ก็ตาม ... ซึ่ง เป็นธรรมะ ทั้งหมด ได้ ก็ ต้องอาศัย - กาลเวลานะคะ ที่ จะต้อง ฟัง แล้วก็ มีความเข้าใจ พร้อมทั้ง การละ ความติดข้อง ว่า “เป็นเรา”

ก็ เป็น สิ่งซึ่ง เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี ... พระธรรม ที่ทรงแสดง ก็อย่างนี้เอง แล้วต่อมาอีก ใคร ที่เข้าใจ ... ก็สามารถ ที่จะ รู้ได้ว่า “ธรรมะ – เปลี่ยนไม่ได้เลย” ก่อน การตรัสรู้ ธรรมะก็เป็นธรรมะ ตรัสรู้แล้ว ก็เป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปอีก แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การได้ยินได้ฟัง ... แล้วก็ การมีโอกาสได้พิจารณา และ ได้เข้าใจขึ้น จะมาก หรือ จะน้อย เป็น เรื่อง ซึ่ง ใครจะรู้ สภาพธรรมะทางตา ละคลาย ความเป็นเรา เพราะรู้ว่า เป็นสภาพธรรมะ ที่เพียงเกิดดับ หรือ ได้ยิน เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดเลย ต้องเป็นปกติ เพราะฉะนั้น ผู้นั้น ก็เป็น ผู้ที่ อดทน พร้อมด้วย บารมี ทั้ง ๑๐ เพราะว่า โอกาส ที่จะ ได้ฟังพระธรรม ... ใคร จะรู้ว่า มากน้อย เท่าไหร่ ถ้าขณะนั้น ตาก็ยังดี ยังมองเห็น หูก็ยังดี ใจคิดนึกได้ตามที่ได้ฟัง แต่ว่า วันไหน ที่ ตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน ... ก็ ไม่มีโอกาส ที่จะ ได้ฟังพระธรรม ที่ได้ทรงแสดง ไว้แล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี. บางคน ก็บอกว่า ๓,๐๐๐ ปีแล้ว ก็อะไรก็แล้วแต่นะคะ .. ตอนนี้ก็ ชักจะ มี คน เริ่มคิดว่า ๒,๕๐๐ กว่าปี จริงๆ หรือเปล่า อาศัย หลักฐาน ของสถานที่ ของโบราณวัตถุ เพราะฉะนั้น นั่น เป็นเพียง ความคิด แต่ ไม่มี ความสำคัญ เท่ากับ พระธรรม ไม่ว่า จะเป็น กาละไหน ก็ตาม “พระธรรมไม่เปลี่ยน”

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ทุกคน กำลังฟัง ... เข้าใจ สิ่งที่กำลังได้ยิน แต่ว่า ยังไม่เข้าถึง ลักษณะของสภาพธรรมะ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นจริง ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้ “ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ” ... “ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง” ... “ไม่ได้พึ่งอย่างอื่นเลย” พึ่ง - เพื่อที่จะได้เคารพ อย่างสูงสุด ในขณะที่ มีความเข้าใจ คำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ที่ได้ฟังแล้ว คิดถึงใครทันที พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง มิฉะนั้น ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง. สำหรับ ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ... ถ้า ไม่มีการได้ยินได้ฟังธรรมะเลย คิดเอง ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ... แล้วก็ ไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่งด้วย. เพราะฉะนั้น ถ้า เป็นธรรมะ ที่ทรงแสดง ต้องเป็น เรื่อง ของ สิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ และ ทุกขณะ ซึ่ง ทำให้ สามารถ ที่จะ เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่มี ละเอียดยิ่งขึ้น แล้ว เมื่อไหร่ ที่ ยังไม่เป็นอย่างนี้ ไม่มีการละคลาย ความเป็นเรา เพราะไม่รู้ความจริง นานแสนนานมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ นี่ ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ในปีนี้ ซึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่ง ๒,๕๐๐ กว่าปี เป็นมาแล้ว แต่ ไม่มีใครจำได้ และ ไม่มีใครรู้ แต่ก็ มีศรัทธา ที่ได้ยินได้ฟัง จนกระทั่ง สามารถที่ มีโอกาสจะ ได้ฟังอีก แล้วก็ เข้าใจอีก. เพราะฉะนั้น “มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง – เมื่อเข้าใจธรรมะ” ที่จะ สามารถ ทำให้ ละคลายกิเลส และ ดับกิเลสได้ มิฉะนั้น ก็คือ “ฟัง ทำไม” ต้องเป็นผู้ตรง “ฟัง เพื่อเข้าใจ” ... “เข้าใจ ทำไม” ... ก็ มีกิเลสมา ตั้งมากมาย แล้วจะ ปล่อยให้ กิเลสนั้น เพิ่มพูน ไปเรื่อยๆ หรือ แล้ว หนทาง ที่จะ ค่อยๆ ละคลาย ก็ มีทางเดียว ปัญญา - ความเห็นถูก เมื่อไหร่ – ก็ ละความเห็นผิด ซึ่งเป็นเหตุให้ เกิดกิเลสมากมาย พิสูจน์ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ ขาด - การฟัง ไม่ได้ เพื่อจะถึง ความเป็นบุคคล ที่ดับกิเลสหมด โดยฐานะของสาวก คือ เป็นพระอริยสาวก อีกเมื่อไหร่ ไม่สำคัญเลย เพราะ นี่คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มีโอกาส ได้มาถึง พระวิหารเชตวัน แม้ว่า เหตุการณ์ จะผ่านไปนาน แต่ พระเชตวัน ก็จะ มีคนมาอีก เรื่อยๆ แต่ผู้ที่มา ก็ขึ้นอยู่กับ ความเข้าใจ เห็นประโยชน์ เห็นคุณ ของพระรัตนตรัย มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น การบูชาสูงสุด ก็คือ การได้ฟังพระธรรม และก็เข้าใจ ซึ่ง จะเป็น การดำรงรักษาพระศาสนาไว้ สำหรับบุคคลต่อๆ ไปด้วย เพราะเหตุว่า วันหนึ่ง ก็จะ ไม่มีใคร เข้าใจ พระธรรม

ถึงแม้ว่าขณะนี้ ยังมีการได้ยินได้ฟัง แล้วก็ มีพระไตรปิฎกที่จารึกสืบๆ ต่อกันมา แต่คนที่ ไม่ได้ฟังเลย หรือเข้าใจผิด พระธรรมก็อันตรธานจากคนนั้น. ไม่ต้องคอยจนถึง ๕,๐๐๐ กว่าปี แต่ว่า เมื่อไหร่ ก็ตามค่ะ ที่ ไม่มีใครเข้าใจ พระศาสนา ก็อันตรธาน. เพราะฉะนั้น ทุกคน รู้สึก เป็นชาวพุทธ ที่ใคร่ ที่จะ ดำรง พระพุทธศาสนา ไว้ ก็ มี หนทางเดียว เมื่อ เข้าใจ พระธรรม แล้ว จะ เข้าใจ พระธรรม ได้ ต่อ เมื่อ ไม่ขาด การฟัง

เพลงของ มศพ. เพราะไม่รู้และเพราะรู้

โดย สมาชิก ชมรมบ้านธัมมะ มศพ.

ประพันธ์ โดย ผศ. อรรณพ หอมจันทร์ เลขที่ ๑๑

ดนตรี โดย คุณพีรพัชร เกตุมณี เลขที่ ๑๐๖๓

ขับร้อง โดย คุณโอ ปวีร์ คชภักดี เลขที่ ๘๙๗

เพราะไม่รู้ จึงอยู่มา ในหล้าโลก เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศก ในสงสาร เพราะไม่รู้ จึงเป็นเรา เขลามานาน เพราะไม่รู้ จึงคบพาล เผาผลาญตน เพราะรู้คุณ ของพระธรรม จึงร่ำเรียน เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียร เพิ่มกุศล เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่ สัตว์บุคคล เพราะรู้ละ ตัวตน จึงพ้นภัย (จบ)

ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี พุธ ๗ มกราคม ๒๕๕๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pulit
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาย่ิงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wirat.k
วันที่ 9 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanrat
วันที่ 9 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 9 ม.ค. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 9 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chvj
วันที่ 11 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kullawat
วันที่ 29 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เจียมจิต
วันที่ 14 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มกร
วันที่ 4 ก.พ. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เฉลิมพร
วันที่ 18 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ