สอบถามเรื่องการเจริญสติปัฏฐานค่ะ

 
นิ้ง
วันที่  11 ม.ค. 2558
หมายเลข  26025
อ่าน  1,306

ครั้งหนึ่ง หนูได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับบ้านธัมมะเรื่อง การปฏิบัติธรรม อาจารย์สุจินต์ และคณะได้ให้ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติ ในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน หนูสงสัยว่าเป็นบุญอย่างไร ท่านก็ตอบกลับมาว่า "นั่นสิคะ เป็นบุญอย่างไร เพ่งจิตไปที่เท้าและท้องอย่างนั้น เป็นบุญอย่างไร มีแต่โมหะล้วนๆ เพราะไม่รู้อะไร ไม่รู้สภาพธรรมะที่ปรากฏ"

ถ้าเช่นนั้นการเจริญสติที่ถูกต้อง เราต้องรู้สภาพธรรมะที่ปรากฏในแต่ละขณะว่า เป็นกุศลหรืออกุศล ขณะใดที่รู้ว่าเป็นกุศล ขณะนั้นแหละเป็นบุญ ที่นี้หนูมีความสงสัยในเรื่องสภาพธรรมะที่ปรากฏทางกาย กับ สภาพธรรมะที่ปรากฏทางจิตค่ะ สภาพธรรมะที่ปรากฏทางจิต ยังพอระลึกได้ว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล แต่ส่วนใหญ่อกุศลปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากกว่า เช่น โทสะ โมหะ โลภะ เยอะมาก ซึ่งก็รู้ทันบ้าง ไม่รู้ทันบ้าง พอรู้แล้ว เรื่องระงับคงทำไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถทำได้ แค่ปล่อยให้เกิดจนจบ เพียงแต่หนูเป็นผู้ดูสภาพธรรมะที่ปรากฏนั้นเฉยๆ ไม่เอาจิตไปผูกกับสภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้น (แต่บ่อยครั้งอดไม่ได้ ต้องเข้าไปร่วมแจม) แล้วการที่เราระลึกรู้สภาพธรรมะที่ปรากฏทางกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว แล้วมันเป็นกุศลหรือไม่อย่างไรคะ? (ความรู้สึกของหนูคือ สิ่งเหล่านี้เป็นกลางๆ ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศลเลย)

ฝากท่านผู้รู้ช่วยตอบคำถามหนูหน่อยนะคะว่า ความเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานของหนูถูกต้องหรือไม่ถูกต้องประการใด เพราะบ่อยครั้งที่หนูปฏิบัติแล้วหนูระลึกรู้สภาพธรรมะที่เป็นอกุศลได้มากกว่าซะอีก ทำให้หงุดหงิดใจบ่อยๆ ว่า เราเจริญแต่อกุศลจนไม่มีช่องว่างให้นึกถึงกุศลเลย เช่นนี้จะเป็นบุญได้อย่างไร

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนากับทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องยาก และละเอียดลึกซึ้ง หนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังต่อไป แต่เพราะความเป็นเรา และความต้องการ พอได้ฟังเรื่องสติปัฏฐาน ก็อยากที่จะรู้ อยากที่จะทำ อยากที่จะเจริญสติปัฏฐาน ลืมความเป็นอนัตตาว่า เราฟัง ศึกษาพระธรรมมาน้อย และปัญญาสะสมมาน้อย อยู่ดีๆ จะให้เกิดสติปัฏฐานไปรู้จิต รู้นาม รู้รูปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น จากที่ได้อ่านที่ผู้ถามเขียนมา ก็พอทราบว่า เป็นตัวเราที่จะไปรู้จิต เป็นเราที่รู้ว่าเราโกรธ เป็นเราที่รู้ว่าเราโลภ เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน แต่เป็นการนึกคิดถึงสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว และ คิดว่า นี่เป็นโลภะ นี่เป็นโทสะ เป็นต้น ซึ่งขณะนั้น ไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ รู้ว่าเป็นโลภะ โทสะ ด้วยความคิดนึก ไม่ได้ปรากฏลักษณะกับสติและปัญญาจริงๆ เพราะฉะนั้น ควรเริ่มต้นใหม่ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมเท่านั้น ไม่ต้องไปตามรู้ ตามดู สภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นหนทางที่ผิด เพราะขัดกับหลักอนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้ แม้สติและปัญญาที่เกิดขึ้น ครับ

ส่วนการรู้สภาพธรรมทางกาย เป็นกุศลอย่างไรนั้น สติปัฏฐานและพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา เพราะฉะนั้น ขณะที่รู้ สภาพธรรมที่ปรากฏทางกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็งที่ปรากฏ ไม่ใช่เราที่รู้ แต่ เป็นสภาพธรรมที่ทำหน้าที่รู้ คือ สติและปัญญา ที่ขณะที่ เย็น หรือ ร้อน ปรากฏกับ สติและปัญญา ก็รู้ว่า ไม่ใช่เรา ที่ร้อน ไม่ใช่เราที่เย็น แต่เป็นเพียงสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ขณะนั้นปัญญารู้ความจริง ขณะที่รู้ความจริงเป็นกุศลประกอบด้วยปัญญา ไม่มีกิเลสเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น เพราะฉะนั้น การรู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราที่เย็น ร้อน ทางกาย จึงเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาตามที่กล่าวมา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nopwong
วันที่ 12 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
tanrat
วันที่ 12 ม.ค. 2558

ถ้าบอกว่ากุศลที่เป็นมหากุศลคือการเจริญวิปัสสนา ทุกคนก็จะไปหาท่านอาจารย์ไรๆ ที่สอนทางเจริญวิปัสสนา เพราะยังมีตัวตน ต้องการบุญมากๆ ติดข้องแล้วค่ะ พระธรรมหรือธรรมะก็คือสัจจะหรือความจริง แต่จะไม่อยากรู้ความจริง ไม่สนุก ไม่ตื่นเต้น แต่ก็เป็นความจริง ชีวิตที่เกิดมาก็เป็นแบบนี้ เพราะเหตุนี้ท่านอาจารย์จึงใช้ประโยคที่ว่าอบรมเจริญความเห็นถูก หรืออบรมเจริญปัญญา เป็นจิรกาลภาวนา คือนานมาก เป็นหนทางเดียวเท่านั้นค่ะ ความเห็นถูกก็จะทำกิจของเขา ไม่มีเราไปทำ เมื่อไรเข้าใจถูก ก็จะกระทำสิ่งที่ถูก กุศลก็เจริญงอกงาม คำว่า รู้แล้วละนี่ค่ะ ไม่มีความหมายพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงตรัส

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 12 ม.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ต้องเริ่มจากการสะสมปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ยังคงไม่ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐานก็ได้ ขณะนี้มีธรรมอะไรบ้าง ที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ เมื่อฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนั้นได้ ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สิ่งสำคัญ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ตั้งแต่ต้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 12 ม.ค. 2558

อกุศลเกิดก็รู้ว่าอกุศลเกิดยังประเสริฐกว่า กุศลเกิดก็ไม่รู้ว่ากุศลเกิด รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ เพราะอกุศลก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา และการที่จะรู้ความจริงของธรรมก็ต่อเมื่อมีลักษณะนั้นๆ ปรากฏให้รู้ ให้เข้าใจถูกต้อง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 14 ม.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tee
วันที่ 14 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มกร
วันที่ 15 ม.ค. 2558

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
papon
วันที่ 15 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ms.pimpaka
วันที่ 19 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
peem
วันที่ 19 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ประสาน
วันที่ 6 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
worrasak
วันที่ 12 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ