โค้ชเช น้องก้อย คุณธรรมของอาจารย์และศิษย์

ความหมายของ ความเป็นอาจารย์ และศิษย์
อาจารย์ หมายถึง ผู้ที่พร่ำสอนด้วยความหวังดี อันเตวาสิก หรือ ศิษย์ หมายถึง ผู้ที่รับคำพร่ำสอนของอาจารย์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง สำหรับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในเรื่องของอาจารย์ และอันเตวาสิก (ศิษย์) ก็เป็นสัจจะความจริง ความละเอียดของการประพฤติปฏิบัติของอาจารย์ และศิษย์ ที่ควรมีอย่างถูกต้อง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า อาจารย์ผู้ที่พร่ำสอนบอกกล่าว ย่อมมีทั้งการสรรเสริญ แนะนำทำโทษ เพื่อประโยชน์ของศิษย์ ศิษย์ผู้ปรารถนาวิชาความรู้ย่อมเคารพอาจารย์ดั่งเช่นเทวดา เหมือนผู้ที่ปรารถนาทรัพย์ ย่อมประพฤติปฏิบัติกับผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์อย่างยิ่ง แม้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ จะดุด่าว่า เฆี่ยนตี ก็อดทน เพราะประโยชน์ คือ การได้ทรัพย์นั้น แต่ด้วยกุศลจิตที่เคารพ อ่อนน้อม อันเป็นสิ่งที่สมควร
ซึ่งขอยกพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในชาดกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นการกระทำของผู้เป็นอาจารย์และศิษย์ ที่มีการพร่ำสอน ลงโทษ ที่เป็นทั้งคุณธรรมของอาจารย์และศิษย์ ดังนี้ :-
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 12
๒. ติลมุฏฐิชาดก
การเฆี่ยนตีเป็นการสั่งสอน
เรื่องโดยย่อเป็นดังนี้ ครับ ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่งมักโกรธ มากไปด้วยความโกรธ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ไม่ใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีต เธอก็เป็นผู้มักโกรธ
พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องในอดีตกาล
ครั้งนั้น พระราชา ทรงส่งพระราชโอรส ไปเรียนวิชา กับอาจารย์ (ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้า) ในต่างแดน เพราะการส่งพระราชโอรส เพื่อลดมานะกษัตริย์ และ เป็นผู้ขัดเกลาและอดทน พระราชโอรส เล่าเรียนวิชาด้วยความเคารพ พระโพธิสัตว์ผู้เป็นอาจารย์ก็สอนศิลปวิชา อยู่มาวันหนึ่ง พระราชโอรส เห็นผู้หญิงตากเมล็ดงาไว้ เกิดอยากเสวย จึงหยิบเมล็ดงากำมือหนึ่ง โดยไม่ได้ขออนุญาตหญิงนั้น หญิงนั้นก็เข้าใจว่า พระราชโอรสคงอยากเสวย ก็ไม่ว่าอะไร วันต่อมาก็ทำอีก วันต่อไปก็ทำอีก จนหญิงนั้นทนไม่ได้ ยกมือร้องคร่ำครวญ บอกกับอาจารย์ อาจารย์บอกว่าจะให้มูลค่าของคืน หญิงนั้นไม่ต้องการมูลค่าของ แต่ต้องการสอนพระราชโอรสไม่ให้ทำอีก อาจารย์จึงบอกว่าได้ จึงให้ศิษย์สองคนให้จับพระราชโอรสไว้นำไม้มาเฆี่ยนที่หลัง 3 ที และบอกว่า นี่คือการลงโทษ ต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีก ในการกระทำนี้ พระราชโอรส เป็นผู้ฝังโกรธ โกรธจนนัตย์ตาแดง มองแต่เท้าจนศีรษะของอาจารย์ อาจารย์ก็ทราบว่าพระราชโอรสโกรธ พอเรียนจบ พระราชโอรสยังฝังโกรธ คิดในใจว่าเมื่อเราได้เป็นพระราชา จะจับอาจารย์มาฆ่า ทำทีว่าร่ำลาดี บอกกับอาจารย์ว่าขอท่านอาจารย์กลับมาหาผมเมื่อเป็นพระราชา
พระราชโอรสกลับไปแล้ว ได้เป็นพระราชา นึกถึงเวร ต้องการจะฆ่าอาจารย์ เพราะโกรธแค้นที่โดนเฆี่ยนตี จึงส่งทูตให้เชิญอาจารย์มา อาจารย์ทราบข่าว รู้เหตุ และรู้ว่าพระราชายังหนุ่มย่อมคิดไม่ได้ จึงไม่ยอมไปหา ครั้งเวลาผ่านไปนาน พระราชาอายุมากขึ้น ผ่านวัยหนุ่มไป แต่พระราชาก็ยังฝังโกรธ ต้องการฆ่าอาจารย์ จึงส่งทูตไปอีกครั้ง อาจารย์คิดว่าพระราชาผ่านวัยหนุ่มคงคิดได้ จึงเข้าไปเฝ้า พระราชาเห็นแล้วพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นพระราชาก็โกรธนัยต์ตาแดง กล่าวกับอาจารย์ว่า ท่านไม่รู้เลยว่า ท่านเข้ามาหาความตาย ที่ท่านเฆี่ยนเราสามที เรายังจำได้อยู่จนบัดนี้ พระราชากล่าวคาถาว่า : -
[๓๕๕] การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้วเฆี่ยนตีเรา ด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเหตุเมล็ดงากำมือหนึ่งนั้น ยังฝังอยู่ในใจของเราจนทุกวันนี้.
[๓๕๖] ดูก่อนพราหมณ์ ชะรอยท่านจะไม่ยินดีในชีวิตของตนแล้วสินะ จึงได้มาจับแขนแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ครั้ง วันนี้ท่านจะได้เสวยผลของกรรมนั้น.
อาจารย์ได้ฟังดังนั้นได้กล่าวคาถาตอบพระราชาว่า : -
[๓๕๗] อารยชนใด ย่อมข่มขี่คนที่ไม่ใช่อารยะขึ้น ผู้ทำกรรมชั่ว ด้วยอาชญา กรรมของอารยชนนั้น เป็นการสั่งสอน หาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้แล.
อาจารย์กล่าวหมายถึงว่า อารยะชน คนดีทั้งหลาย เมื่อจะสั่งสอนผู้ที่กระทำผิด ด้วยจิตหวังดี ในการกระทำที่ไม่ดีของศิษย์ หรือ บุตร ธิดา ย่อมตี เพื่อให้รู้ในโทษนั้นแล้วสั่งสอนเพื่อให้เห็นโทษโดยความเป็นโทษ การลงโทษนั้น ย่อมไม่ใช่เวร
ส่วนพระองค์ ก็ไม่ควรก่อเวร ผูกโกรธ ในการกระทำของคนที่สั่งสอน ลงโทษเลย เพราะเหตุว่า ถ้าข้าพระองค์ (อาจารย์) ไม่ลงโทษพระองค์แล้ว ต่อไป พระองค์ก็จะไปทำทุจริตขโมยมากขึ้น สุดท้ายก็จะถูกจับเป็นโจร เพราะเริ่มจากโทษเล็กน้อย จนมากขึ้นในที่สุด การตี ลงโทษไว้ก่อน ให้รู้ย่อมเป็นสิ่งที่ควร เพราะฉะนั้นการได้เป็นพระราชาก็เพราะอาศัยหม่อมฉัน เพราะพระองค์ไม่ต้องไปทำโทษทำทุจริต ไม่ต้องถูกจับ
อำมาตย์ได้ฟังดังนั้น ก็เห็นด้วยว่า อาจารย์มีพระคุณอย่างมาก ที่พระองค์ได้เป็นพระราชา ก็เพราะอาศัยอาจารย์ พระราชานึกถึงคุณได้ จึงหายโกรธ พระราชารู้คุณดังนี้ ขอยกพระราชสมบัติให้ อาจารย์ไม่รับ พระราชาให้เชิญ บุตร ภรรยา ของอาจารย์ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มา และแต่งตั้งอาจารย์เป็นปุโรหิต อาจารย์สั่งสอนคุณธรรม แต่ละท่านมีสวรรค์ในเบื้องหน้าเมื่อจากไป จากเรื่องนี้ จะเห็นว่าผู้มีปัญญา คือ อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้เคยเป็นอาจารย์มีการลงโทษ ทำโทษ มีการตีเฆี่ยน เป็นของธรรมดาสำหรับอาจารย์ หากลูกศิษย์ทำผิดอย่างมาก และ กล่าวเตือนด้วย เพื่อให้รู้ว่าเป็นโทษที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นศิษย์ ผู้มีคุณธรรม ย่อมนึกถึงคุณและ รู้ว่า การได้ดี เพราะอาศัยความเข้มงวด การลงโทษอย่างนี้ จนมีระเบียบวินัย และเป็นคนดีได้ในที่สุด การลงโทษด้วยความหวังดี เช่นนี้ ไม่เป็นโทษเลย ผู้ที่ถูกทำโทษไม่ควรก่อเวร แต่นึกถึง ความหวังดี คุณธรรม ศิลปะ ที่อาจารย์ปรารถนาดีกับศิษย์เป็นสำคัญ
นี่คือ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ที่เป็นสัจจะความจริง แต่ละคนก็อาจจะพูดกันไปตามความเห็นส่วนตัว แต่สัจจะความจริงถูกต้องเสมอ เพราะเป็นพระดำรัสของพระพุทธเจ้า จึงยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ ในการดำรงชีวิต แม้การเป็นศิษย์ อาจารย์และ เรื่องที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ในปัจจุบันในขณะนี้ ระหว่างโค้ชเช และ น้องก้อย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อาจารย์ เป็นผู้ประพฤติเอื้อเฟื้อต่อศิษย์ เป็นผู้กระทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกศิษย์ เป็นคนดี มีความสำเร็จ พร่ำสอนศิลปวิทยาในสาขานั้น ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ศิษย์ เมื่อศิษย์ผิดพลาด ก็คอยตักเตือน พร่ำสอน แนะนำในสิ่งที่ถูกต้อง และอาจจะมีการลงโทษบ้าง ก็เพื่อประโยชน์แก่ศิษย์ ไม่ใช่เป็นการทำร้าย แต่เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แต่ละคนก็มีการสะสมมาที่แตกต่างกัน การที่จะคอยชี้ให้เห็นโทษ ก็ตามการสะสมของผู้นั้น อาจารย์บางท่าน ก็อาจจะไม่มีการลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีก็มี แต่จะไม่ละเลยโอกาสที่จะคอยสอนคอยบอกอยู่บ่อยๆ เพื่อให้ศิษย์ได้คิดถึงคำพร่ำสอนนั้น ก็เพื่อประโยชน์ของศิษย์เอง อาจารย์จึงเป็นบุคคลผู้ที่ควรเคารพ เป็นบุคคลผู้ควรแก่การบูชา, ควรอย่างยิ่งที่ศิษย์ จะแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที ตามความสามารถของแต่ละบุคคลที่จะกระทำได้ ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี อาจารย์ที่ดีก็ต้องตักเตือน ตักเตือนไม่เชื่อฟังก็ต้องลงโทษ ค่ะ
การลงโทษด้วยความหวังดี (ปัญญา) เช่นนี้ไม่เป็นโทษเลย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
หนูไม่เห็นด้วยกับการลงโทษที่รุนแรง ในเรื่องนั้นเป็นเพราะเจ้าของทรัพย์ ต้องการให้ทำโทษพระโอรสให้หลาบจำ ถึงแม้ว่าอาจารย์จะเสนอให้ชดใช้เป็นเงินแล้วก็ตาม (แก้ปัญหาไม่ใช้ความรุนแรง) ไม่ใช่เพราะว่าตัวอาจารย์เองอยากทำ (แต่จำใจทำ) ลองมาสังเกตดูว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้ามีการลงโทษผู้ที่กระทำผิดรุนแรงหรือไม่ แม้แต่องคุลีมาลที่ฆ่าคนมาเยอะโทษหนักกว่าการขโมยถั่วงามาก เพราะองค์ไม่ได้ลงโทษ หรือใช้วิธีการสอนที่รุนแรงเลย เค้าก็สำนึกได้
ส่วนเรื่องโคชเชนั้น เป็นคนละอย่างกัน ถามว่าการใช้ความรุนแรงเป็นผลดีกับนักกีฬาหรือ ก็ต้องมาคิดว่าระหว่างนักกีฬาที่บาดเจ็บจากการถูกลงโทษรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาล ร่างกายบอบช้ำ กับนักกีฬาที่โดนทำโทษเบาหน่อย แต่เน้นเรื่องความฟิต เช่น วิดพื้น วิ่งรอบสนาม ฯลฯ ร่างกายใครจะสมบูรณ์มากกว่ากัน กีฬาคือ การรู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักให้อภัย คือน้ำใจนักกีฬา ลองคิดดูดีๆ หนูรู้ว่าหนูสวนกระแส แต่อยากให้ทุกคนลองพิจารณามุมกลับบ้าง
ขอบคุณค่ะ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
พระธรรม ย่อมเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง และไม่ใช่ตัดสินตามความถูกต้อง และความรู้สึกของตนเอง แต่ตัดสินด้วยเหตุผล โดยเฉพาะตัดสินด้วยพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า คำใดที่เราตรัสนับตั้งแต่ที่เราตรัสรู้ จนถึงวันที่เราปรินิพพาน คำเหล่านั้นเป็นสัจจะ ความจริง ใครๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่เรื่องของการลงโทษ ก็ต้องพิจารณาให้ละเอียด ต้องแยกระหว่างเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ เพราะเพศบรรพชิต ไม่ใช่เพศคฤหัสถ์อย่างเช่นเรา การลงโทษ ไม่ใช่การตี แต่มีข้อบัญญัติพระวินัยเป็นการลงโทษ ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามโทษย่อมหนักกว่าการถูกตี คือ การไปนรก (แต่การไปนรกของผู้ที่ล่วงพระวินัย ไม่ใช่เพราะได้รับโทษจากพระพุทธเจ้า แต่เพราะบุคคลนั้นได้รับโทษจากอกุศลของตนเองที่ไม่ประพฤติตามพระวินัย) ส่วนเพศคฤหัสถ์ ไม่ใช่เพศบรรพชิต พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แม้พระองค์เป็นคฤหัสถ์ เป็นอาจารย์ แน่นอนว่าพระโพธิสัตว์มีปัญญามากกว่าพวกเราหาประมาณไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพระโพธิสัตว์จำใจ ถึงอย่างไร พระโพธิสัตว์แม้ว่าจะต้องชดใช้มูลค่าเงินกับหญิงนั้น ก็จะต้องลงโทษศิษย์ คือ พระราชโอรสอย่างแน่นอน แต่ด้วยความหวังดี เพื่อให้หลาบจำ และสำนึกในความผิด อันเป็นการป้องกันรักษาศิษย์จากความชั่ว ไม่ให้กระทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องอีก เพียงแต่ พระโพธิสัตว์ต้องการใช้คืนมูลค่าของก่อน แต่หญิงนั้นไม่รับและต้องการลงโทษให้เห็นต่อหน้า ไม่ใช่ลับหลัง พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีปัญญามาก ไม่ใช่เพียงแค่ท่านจำใจเลยไม่ทำ แต่เพราะท่านรู้ว่าอย่างไรก็ควรลงโทษให้หลาบจำและสำนึก จึงมีการเฆี่ยนตี และการเฆี่ยนตีในสมัยอดีต ไม่ใช่แบบไม้เรียว ที่ตอนนี้ก็มีการยกเลิกไม่ให้ใช้ จนเด็กสมัยปัจจุบัน ไม่เกรงกลัวการกระทำความผิด และเพราะการตามใจของผู้ปกครอง ทำให้เกิดปัญหาของสังคมมากขึ้น มีการไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่อ่อนน้อมเลย แตกต่างจากสมัยอดีตที่ ครู เป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สอง นักเรียน ศิษย์ เคารพยำเกรงเชื่อฟังอย่างยิ่ง เพราะท่านตี ลงโทษด้วยความหวังดี ปัญหาสังคมจึงไม่มากเหมือนอย่างทุกวันนี้ เป็นคนดีมีคุณภาพ ดังนั้น การเฆี่ยนตีในสมัยอดีต ลงโทษรุนแรง เป็นหวายที่ใช้เฆี่ยนตี ให้เห็นว่าโทษที่ทำนั้นควรลงโทษนั่นเอง พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ลงโทษศิษย์เพียงเพราะจำใจทำ เพราะท่านมีปัญญา ทั้งยังได้กล่าวคาถาที่ไพเราะอย่างยิ่งให้อารยชนผู้มีปัญญาได้พิจารณาตาม เพื่อความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่า :-
[๓๕๗] อารยชนใด ย่อมข่มขี่คนที่ไม่ใช่อารยะขึ้น ผู้ทำกรรมชั่ว ด้วย อาชญา กรรมของอารยชนนั้น เป็นการสั่งสอน หาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลายรู้ชัด ข้อนั้นอย่างนี้แล.
ข้อความในอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 20
บทว่า สาสน ต นต เวร ความว่า ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าการเฆี่ยนตีกีดกันบุตรธิดา หรือ ศิษย์ ผู้กระทำสิ่งไม่ควรทำด้วยอาการอย่างนี้ เป็นการสั่งสอนในโลกนี้ คือ เป็นการพร่ำสอน เป็นโอวาท หาใช่เป็นการก่อเวรไม่ บทว่า อิติ น ปณฺฑิตาวิทู ความว่า บัณฑิต ทั้งหลายย่อมรู้ชัดข้อนั้นอย่างนี้ทีเดียว.
ข้อความในอรรถกถา อธิบายเพิ่มเติมในพระพุทธพจน์ชัดเจนว่า การลงโทษ เฆี่ยนตีบุตรธิดา เพื่อการสั่งสอน เป็นการสั่งสอนในโลกนี้ ไม่ใช่การก่อเวร และมีข้อความต่อที่ว่า บัณฑิต ผู้มีปัญญา ย่อมรู้ชัดในข้อนี้ ส่วนผู้ที่ไม่ใช่บัณฑิต ก็ย่อมเห็นตรงกันข้ามอีกอย่างไป
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกของตน กับสัจจะความจริงย่อมแตกต่างกัน ความถูกต้อง ไม่สามารถเกิดด้วยความรู้สึก แต่ด้วยสัจจะความจริงแท้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเห็นได้ว่า สังคมปัจจุบัน เด็กในยุคปัจจุบัน ขาดการเคารพนับถือ แม้บิดามารดา แม้แต่ครู มีพฤติกรรมก้าวร้าว ก็เพราะสองส่วน คือ การสะสมมาของเด็ก และอีกประการหนึ่ง คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่ ที่ตามใจลูก ที่เป็นพ่อแม่รังแกฉัน ซึ่งพิสูจน์ได้จากปัญหาของคุณภาพของคนในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร แตกต่างจากเด็กสมัยก่อนที่เคารพเชื่อฟังคุณครู เหมือนพ่อแม่ แม้มีการลงโทษเฆี่ยนตีก็ตาม แต่เพราะความหวังดีอบรมสั่งสอน เพราะ โทษบางครั้ง เพียงบอก ไม่สามารถทำให้จำได้เลย ครับ
เรื่องบางเรื่องไม่มีทางยุติเลย ถ้าอาศัยความคิดเห็นของปุถุชน ที่มากไปด้วยความไม่รู้ ความเห็นผิดที่เต็มไปด้วยกิเลส แต่เรื่องทุกเรื่องยุติเสมอ สมกับศัพท์ที่ว่า ยุติธรรม คือ ยุติได้ เพราะ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป็นจริง หากผู้นั้นเป็นผู้ว่าง่ายในพระธรรม คือ การพิจารณาตามเหตุผล ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ตามเรื่องที่ยกมาทั้งหมด ครับ ก็จะเป็นผู้มีเหตุผลและได้สาระจากพระธรรมจริงๆ
เรื่องนี้พอเอามาสวมกับเรื่องตัวบุคคลนี้ก็ตัดสินได้ยากหรือไม่สามารถทราบได้อย่างชัดเจนหรือ เปล่าคะ เพราะย่อมขึ้นอยู่กับจิตของผู้กระทำในขณะนั้นว่าเป็นไปด้วยอกุศล (โทสะ) หรือกุศลหรือเปล่าคะ แม้ตัวผู้กระทำก็อาจไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ณ ขณะที่ทำร้าย ด้วยความเคารพค่ะ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
โดยทั่วไป การตี การลงโทษ ก็กระทำด้วยโทสะ แต่มีจิตที่หวังดีเป็นเหตุสำคัญ เพราะฉะนั้น ผู้เป็นศิษย์ต้องพิจารณาเหตุและผลตามความเป็นจริงถึงความหวังดีของอาจารย์ และประโยชน์ที่จะได้รับ ในภายภาคหน้า และการกระทำก็ไม่ได้รุนแรงจริงๆ ตามที่เป็นข่าว เพราะฉะนั้น การลงโทษจึงลงโทษพอสมควร เพื่อให้ศิษย์ได้หลาบจำ ในโทษที่ไม่ดี ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับศิษย์เองในอนาคต ครับ
ขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมค่ะ พอดียังสงสัยในเรื่องนี้จึงได้ไปค้นหา พบหัวข้อหนึ่งที่ท่านอาจารย์ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องคล้ายๆ กันนี้ไว้ชัดเจนมากค่ะ คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่ยังสงสัยอยู่ค่ะ
รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี......?
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา



