ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ วิสาขบูชา ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  17 พ.ค. 2557
หมายเลข  24870
อ่าน  2,380

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันอังคาร ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิฯ และ คณะวิทยากร

ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา ที่ อาคารสำนักงานของมูลนิธิฯ

ซอยเจริญนคร ๗๘ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรม มากจนล้นห้องออกมาภายนอกอาคารโดยรอบ

ภายนอกอาคารด้านหน้ามูลนิธิฯ มีการตั้งเต้นท์บริการอาหาร ทั้งในภาคเช้า และ กลางวัน

โดยท่านผู้มีจิตศรัทธาเช่นเคย มากมายหลายชนิดจริงๆ ครับ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างไร คือ สัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยเคารพ ทำความอ่อนน้อมให้ทานให้ทานอย่างบริสุทธิ์ เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล สัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ.

เทวทหวรรคที่ ๑ จูฬปุณณมสูตรที่ ๑๐

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๘๙

เป็นความปีติ ชื่นบานอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นภาพการเจริญกุศลร่วมกันของทุกๆ ท่าน ครับ

และ นอกจากนั้น คุณทวีชัย อยู่มั่นธรรมา

ยังมีกุศลศรัทธา นำกระเป๋าแบบต่างๆ ที่ผลิตขึ้นจากโรงงานของท่าน ปักตราของมูลนิธิฯ

ถึงสามแบบให้เลือก แจกเป็นที่ระลึก แก่ผู้มีจิตศรัทธา

บริจาคเงินเพื่อการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ในการเผยแพร่พระศาสนาด้วย

กราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่าน รวมถึงท่านเจ้าภาพดอกไม้

บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ที่มีการจัดตกแต่งอย่างงดงามมากครับ

ในอันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาในช่วงแรกของวันนั้น ซึ่งท่านอาจารย์

ได้กล่าวถึงความละเอียด ลึกซึ้ง ของคำว่า อุบาสก อุบาสิกา ในพระศาสนา

มาให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา โดยละเอียด เพื่อประโยชน์ ดังนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

คุณคำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมะ เพื่อเป็นพุทธบูชา

แล้วก็เป็นการสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง

ซึ่งก็เป็นการได้ศึกษา คำ แต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

ในช่วงแรก ก็จะขอยกคำๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นคำที่น้อยคน จะไม่ได้ยิน

แต่ก็น่าจะพิจารณาว่า ก่อนฟังพระธรรม จะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

แต่จะมีความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็ต่อเมื่อมีโอกาสได้ยิน ได้ฟังความจริง

ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง คำนั้น ที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์ได้สนทนา

ในความละเอียด ลึกซึ้ง ก็คือคำว่า ความเป็น อุบาสก อุบาสิกา

ดูเหมือนว่า จะเป็นคำที่หลายท่าน คุ้นหูกันเป็นอย่างดี

แต่ว่า ในความละเอียด ลึกซึ้ง ของความเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่แท้จริง

เป็นอย่างไรครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ ครับ

ท่านอาจารย์ ความสำคัญของวันนี้ ก็คือ

เป็นวันที่น้อมระลึกถึง พระคุณของผู้ที่ประเสริฐที่สุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น ทุกท่าน กำลังบูชา

ต้องไม่ลืม

บูชา คือ การแสดงความนอบน้อม เคารพสุงสุด

ซึ่งโอกาสเช่นนี้ วาระเช่นนี้

ไม่ทราบว่า ในสังสารวัฏฏ์ ของแต่ละท่าน จะได้มีแล้ว กี่ครั้ง?

แต่ว่า สำหรับวันนี้ ต้องไม่ลืมคำว่า บูชา

บูชา ในคุณความดี ที่เหนือบุคคลอื่นใด ทั้งสิ้น

ด้วยพุทธประสงค์ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี แสนนาน

เพื่ออนุเคราะห์ ให้ผู้ที่ได้ฟัง เกิดความเข้าใจถูก เห็นถูก

เพราะฉะนั้น วันนี้ เราร่วมกัน

บูชา ด้วยการสนทนาธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม

บูชา ด้วยการที่กำลังฟัง "คำ" ซึ่งทำให้เข้าใจพระธรรม

มิฉะนั้นแล้ว การตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่เป็นประโยชน์

ถ้าไม่สามารถที่จะอนุเคราะห์ ให้คนอื่น มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก

ในสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

เพราะฉะนั้น เหนือสิ่งใด นอกจากดอกไม้ ธูป เทียน การกราบไหว้ การเปล่งวาจา

ด้วยกาย ด้วยการกราบไหว้ และ การนอบน้อมด้วยวาจาแล้ว

ก็คือ การบูชา ด้วยการฟังพระธรรม

เพื่อที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนาน กว่าจะได้ตรัสรู้ความจริง

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ คงไม่ลืม มีสิ่งที่มีจริง ที่พระผู้มีพระภาคฯ สามารถตรัสรู้

หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนาน

อย่างนี้เลย คือ กำลังเห็น กำลังได้ยิน ตามปรกติขณะนี้!!

ความน่าอัศจรรย์ยิ่ง คือ บุคคลอื่น ไม่สามารถจะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้

ถ้าจะอุปมา

โลกมืดมานานแสนนาน ตราบที่ไม่มีพระธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แม้ว่า สัตว์โลกจะเกิด มีการเห็น มีการได้ยิน มีสุขมีทุกข์ ชาติแล้วชาติเล่า

แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น โลกมืด จนกระทั่งถึงวันที่สว่าง

เมื่อผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้

กับผู้ที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้

แต่ว่า สำหรับผู้ที่ได้มีโอกาส ฟังพระธรรม ได้มีการเข้าใจความจริง

ก็จะเห็นได้ว่า เหตุใด พระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง แต่ละคำ จึงเป็นรัตนะที่มีค่ายิ่ง

เพราะเหตุว่า สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ ทีละเล็ก ทีละน้อย

เมื่อเปรียบเทียบกับ ปัญญา แต่ละท่าน บำเพ็ญบารมีมา นานเท่าไหร่?

แต่ว่า การที่จะเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมะได้

ก็แล้วแต่ว่า จะเข้าใจในระดับไหน

ถ้าในระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัปป์

ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัปป์ ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์

เพราะฉะนั้น เราคงจะไม่คิด แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง

"แต่ละคำ" ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

ซึ่งเราสามารถที่จะรู้ตัวเอง ตามความเป็นจริง

ว่ายิ่งด้วยปัญญา หรือว่า ยิ่งด้วยศรัทธา หรือว่า ยิ่งด้วยวิริยะ

ถ้ายังมีความเข้าใจน้อยมาก ก็มีความอดทนต่อไป

เพราะเหตุว่า การบูชาจริงๆ ก็คือว่า รู้ในพระคุณ

ซึ่ง จากความมืดสนิทของอวิชชา ไม่รู้แม้แต่สิ่งที่ปรากฏ ตลอดชีวิต

ตั้งแต่เกิดจนตาย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สุข ทุกข์

เดี๋ยววุ่นวาย เดี๋ยวสงบ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์

แต่ทั้งหมดก็คือ อยู่ในความไม่รู้

มืดสนิท ดิ้นรนกันไปในความมืดสนิท

สุข ทุกข์กันไป ในความมืดสนิท

แล้วทุกสิ่ง ทุกอย่าง ก็หมด ไม่เหลือเลย

ซึ่งความจริงแล้ว จากการที่ทรงตรัสรู้

ไม่ใช่เฉพาะแต่ละหนึ่งชาติ ซึ่งเกิดแล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

แต่ ขณะนี้!!! ความน่าอัศจรรย์ อย่างยิ่ง ของปัญญา

ก็คือ สามารถที่จะมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้

ว่า สิ่งใดก็ตาม ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ปรากฏ

สิ่งนั้น ดับแล้ว

เพราะฉะนั้น การอบรมปัญญา ต้องตรงกับที่ได้ยิน ได้ฟัง ทั้งหมด

แล้วก็จะรู้ได้ว่า

ทุกคำที่ทรงแสดง เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง ยากที่จะรู้อย่างยิ่ง

เพราะเหตุว่า กำลังปรากฏ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย

ความเป็นอนัตตา ของสิ่งที่ปรากฏ

ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย สักอย่างเดียว

ขณะนี้ สิ่งต่างๆ ที่มี ก็เกิดแล้ว เป็นแล้ว โดยความไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

ฟังแล้ว ยังไม่ถึงกาละ ที่จะละความติดข้อง และความไม่รู้

เพราะเหตุว่า สะสมความไม่รู้ มานานแสนนานมาก

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ รู้จริงๆ

ปัญญา คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังต่อไป จึงจะรู้จัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหาร ใหญ่โตมโฬาร

หรือว่าองค์พระปฏิมากรที่สร้างขึ้น เพื่อที่จะทำให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็ไม่ใช่พระรูปกาย แล้วก็ไม่ใช่การที่ใครจะรู้จักพระองค์ได้

จะเพียงเห็น แล้วก็คิดถึงชื่อ แล้วก็กราบไหว้

แต่ต้องเป็น ทุกขณะที่เข้าใจ สิ่งที่พระองค์ตรัส ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

ว่า ลึกซึ้ง แน่นอน

แต่ว่า เป็นสิ่งที่สามารถจะรู้ได้ เมื่อมีโอกาสได้ฟัง

เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ฟัง "คำ" ที่ได้ยิน

แล้วก็ รู้คำ ที่กล่าวถึงสภาพธรรมะ โดยยากยิ่ง แต่ค่อยๆ สะสม

จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จัก สภาพธรรมะ ตามความเป็นจริง ทุกอย่าง

ซึ่งเคยเป็นเรา และ กำลังเป็นเรา

แต่แท้ที่จริงก็คือว่า เป็นสภาพธรรมะ แต่ละหนึ่ง ซึ่งแยกกัน

แล้วก็เกิดขึ้น ปรากฏ ทีละหนึ่ง ไม่พร้อมกันด้วย

ถ้าขณะนี้ ไม่สามารถเข้าใจลักษณะ ของสภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง

จะละการติดข้อง ว่าเป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ได้อย่างไร?

แต่ให้ทราบว่า ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย

และ กิเลสก็มากมายมหาศาล ตั้งแต่ความไม่รู้ ความติดข้อง ความโกรธ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน แล้วไม่เคยรู้เลย

ก็เป็นสิ่งซึ่งสามารถ รู้ได้ เข้าใจได้

จนกระทั่ง ถึงการดับกิเลส เป็นสมุทเฉท

ในครั้งโน้น ที่ทรงแสดงพระธรรม

มีผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี ที่จะเป็นผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยฟังพระธรรม

เช่น พระเจ้าปุกกุสาติ เมื่อได้ละราชสมบัติแล้ว ได้มีโอกาสเฝ้าพระผู้มีพระภาคฯ

โดยไม่รู้ว่า บุคคลนั้น เป็นใคร ในโรงช่างหม้อ

แต่เมื่อได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่า บุคคลนั้นเป็นใคร

เพราะพูดถึงสิ่งซึ่ง ในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย

แต่ แต่ละคำ พระพุทธพจน์ เป็นวาจาจริง

ที่สามารถที่จะทำให้คนที่ได้ฟัง เริ่มเห็นถูก เริ่มเข้าใจถูก

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความเลื่อมใส จิตผ่องใส

เห็นคุณค่า ของการที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

และ ได้อบรมเจริญปัญญามาแล้ว

ก็มีตั้งแต่ระดับของผู้ที่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นก็จะไม่มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป

ก็จะต้องมีชีวิตที่เป็นความสงบ จากกุศลทั้งปวง

ในเพศของบรรพชิต

ในครั้งนั้น ก็มีพุทธบริษัท คือ ผู้ที่เป็นภิกษุ

และ สำหรับภิกษุณี คือ ผู้หญิง ก็เฉพาะผู้ที่สามารถถึงความเป็นพระอรหันต์

มิฉะนั้นแล้ว แม้แต่เพศคฤหัสถ์ ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

แต่ว่า ธรรมะ เป็นความจริง ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด

เพราะฉะนั้น พุทธบริษัท ไม่ใช่มีแต่เฉพาะภิกษุ ภิกษุณี

แต่ก็มี อุบาสก อุบาสิกา ด้วย

ใครเป็นอุบาสก? ใครเป็นอุบาสิกา?

เป็นตำแหน่ง?

หรือว่า เป็นความจริง?

ใครก็ตาม ที่ไม่มีศรัทธา ที่จะฟังพระธรรม

การที่จะฟังพระธรรมได้ อยู่ไกลๆ ไม่ได้ยิน ใช่ไหม?

เข้าไปใกล้ ถึงจะค่อยๆ ได้ยิน ค่อยๆ เข้าใจ

ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณ ที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงแสดง

จนกระทั่ง เป็นผู้ที่มั่นคงในการที่จะรู้ความจริง

ผู้นั้น ถ้าเป็นผู้ชาย ก็เป็นอุบาสก ถ้าเป็นผู้หญิง ก็เป็นอุบาสิกา

บางคน คิดว่าน่าอาย เป็นอุบาสิกา รู้สึกแปลกๆ

เพราะว่า คนนอกวัด อาจจะกล่าวว่า คนนอกวัดมีเยอะ

คนในวัดก็ตามแต่

แต่ถ้าขณะใด ที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรม

จะชื่อว่าผู้นั่งใกล้ เพื่อที่จะเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ไหม?

ก็ไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ต่อเมื่อใด มีศรัทธา มีความเคารพสูงสุด

ในการที่จะได้ฟังคำ ซึ่งจะได้ยิน โดยยากยิ่ง

แล้วก็เข้าใจได้ โดยยากยิ่งด้วย

แต่ว่า เข้าใกล้ไปเรื่อยๆ

จนกระทั่ง สามารถที่จะเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการเข้าใจพระธรรม

ผู้นั้นก็เป็น อุบาสก อุบาสิกา


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ 333

เรื่อง การเป็นอุบาสก อุบาสิกา คืออย่างไร

ดูก่อนมหานามะ บุคคลเป็นอุบาสกด้วยเหตุใดแล บุคคล

เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์

เป็นสรณะ ดูก่อนมหานามะ บุคคลย่อมเป็นอุบาสกด้วยเหตุเพียงนี้แล.

ถามว่า เหตุไรจึงเรียกอุบาสก แก้ว่า เรียกว่า อุบาสก เพราะนั่งใกล้

พระรัตนตรัย คือเรียกเขาว่า อุบาสก เพราะนั่งใกล้พระพุทธเจ้า

เรียกว่าอุบาสก เพราะนั่งใกล้พระธรรม พระสงฆ์.

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 17 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
phawinee
วันที่ 17 พ.ค. 2557

กราบอนุโมทนาในกุศลท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ch.
วันที่ 17 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 17 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม

ที่ถ่ายทอดสารธรรมและความงามของภาพ อย่างยอดเยี่ยม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
namarupa
วันที่ 17 พ.ค. 2557

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ มา ณ ที่นี้

และช่างภาพ คุณวันชัยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 18 พ.ค. 2557

เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง

ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์

โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง

จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 19 พ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 20 พ.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Boonyavee
วันที่ 20 พ.ค. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งที่กรุณาถ่ายภาพ

ประกอบอย่างสวยงามและถอดข้อความการสนทนาธรรม เนื่องในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาด้วยค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wirat.k
วันที่ 24 พ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
orawan.c
วันที่ 7 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ