สัญญาความจำที่มั่นคง จะเป็นปทัฏฐาน คือเป็นเหตุใกล้ ที่จะให้สติเกิด

 
pirmsombat
วันที่  15 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24176
อ่าน  1,754

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจาการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์..

การฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมมากๆ มากกว่าที่จะคิดเรื่องอื่น จนกระทั่งเป็นสัญญาความจำที่มั่นคง ไม่ว่าจะกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่อง อะไร สติก็ยังระลึกลักษณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นผู้สังเกตเองเพราะว่าวันหนึ่งๆ ทุกคนคิดแล้ว ก็ลองวิเคราะห์ความคิด ของท่านดูว่า ท่านคิดเรื่องอะไรมากเรื่องโลภะมากหรือว่าเรื่องโทสะมาก หรือว่าเรื่องกุศลมาก ถ้าคิดเรื่องปรมัตถธรรมมากแล้วก็พิจารณาโดยละเอียดโดยแยบคาย เข้าใจขึ้น นั่นจะเป็นสัญญา ความจำที่มั่นคงที่จะเป็นปทัฏฐานคือ เป็นเหตุใกล้ ที่จะให้สติเกิด ระลึก ได้ เพราะ ว่ากำลังปรากฏ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ ท่อง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 15 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 16 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความจำ หรือ สัญญาเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศล สัญญา ความจำ ต้องเกิดด้วยเสมอดังนั้นตามปกติ ในชีวิตประจำวัน กุศล หรืออกุศลเกิดขึ้นมาก ก็ต้องเป็นอกุศล ดังนั้น สัญญาความจำตามปกติในวันๆ หนึ่ง ก็จำผิด จำด้วยความเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นความจำที่มั่นคงในทางที่ผิด ซึ่งไม่ใช่เหตุให้เกิดสติปัฏฐานแน่นอนครับ แต่การจำที่มั่นคงที่จะเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดนั้น คือขณะที่ฟังเข้าใจในเรื่องสภาพธัมมะ ว่า ธรรมคืออะไร อยู่ในขณะไหน ขณะที่เข้าใจ ขณะที่ฟัง ก็มีสัญญา ความจำเกิดด้วย ขณะที่เข้าใจในเรื่องสภาพธัมมะที่กำลังฟังขณะนั้นก็เริ่มสะสม การจำถูก (เพราะมีปัญญาเกิดร่วมด้วย) จำว่าเป็นธรรมเท่านั้น ในขณะนี้ (แม้ขั้นการฟัง) ไม่ต้องไปหาธรรมที่อื่น ฟังจนเข้าใจ จนเหตุปัจจัยพร้อมความจำที่มั่นคง อันเนื่องมาจากการฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดขึ้น (สติขั้นสติปัฏฐาน) ระลึกสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราตรงตามสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏโดยไม่ใช่ขั้นคิดนึกและขั้นการฟังครับ แต่ที่สำคัญ ความจำหรือสัญญาที่มั่นคง ที่จะเป็นปัจจัยให้สติเกิด ต้องจำถูกในเรื่องสภาพธัมมะ โดยมีปัญญาเกิดร่วมด้วยกับสํญญานั้น จึงจะเป็นปัจจัยให้สติเกิดครับ

ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ใน เรื่องนี้ ครับ

ประทีป พอท่านอาจารย์พูดเข้าใจ ทุกครั้งที่มาพอท่านอาจารย์พูดอย่างนี้แล้ว ผมมีแต่ความสงสัย ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา เราเข้าใจว่าครั้งแรกเป็นปรมัตถ์และต่อมา

สุ. เราไม่ใช้ปรมัตถ์ก็ได้ หมายความว่าเดี๋ยวนี้สิ่งนี้มีจริงๆ ที่เราจะต้องเข้าใจขึ้นๆ ในสิ่งนี้ ไม่ใช่ในสิ่งอื่น

ประทีป ที่ฟังท่านอาจารย์บรรยาย หรือตอบคำถาม ช่วงนี้เข้าใจ พอกลับไปที่บ้านบางครั้งบางคราวสิ่งเหล่านี้เกิดดับขึ้นมาจริงๆ มันก็มีแต่ความสงสัย

สุ. เพราะฉะนั้นการฟังสำคัญมาก ฟังด้วยความใส่ใจ สดับ พิจารณา สัญญาที่มั่นคงเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติปัฏฐาน สัญญาที่มั่นคงไม่ใช่สัญญาอื่น สัญญาที่จำ เข้าใจในเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง อย่างฟังว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมจริงๆ ไม่ต้องใช้คำว่า ปรมัตถ์เลย สี ทุกคนเกิดมามีตาเห็นกระทบแล้ว ต้องเข้าใจสิ่งนี้ให้ถูก แล้วสิ่งนี้มีปรากฏทุกวันจนตาย เพราะฉะนั้นพอจะตาย เราก็รู้ได้เลยว่า เราเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามากน้อยแค่ไหน ยังคลุมเครือ หรือว่าค่อยๆ กระจ่างขึ้น ชัดขึ้น ละคลายความสงสัยในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไปมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าปัญญาทำหน้าที่ละคลายความไม่รู้กับความสงสัยเวลานี้มีสิ่งที่ปรากฏ มีหลงลืมกับมีการระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ๒ อย่างเท่านั้นในชีวิตประจำวัน

ประทีป พอท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ก็เข้าใจ แล้วก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้

สุ. พอเข้าใจอย่างนี้ ก็มีโอกาสที่ระลึก ขณะที่สติเกิดก็กำลังรู้ กำลังค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น แล้วก็หลงลืมไป ก็หลงลืม พอสติเกิด เราก็รู้เลยว่า นี่กำลังพยายามค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย

ประทีป ก็คงต้องฟังลูกเดียวไปเรื่อยๆ ครับ

สุ. (มีเสียงดัง) นี่ก็เสียงธรรมดาๆ อย่างนี้ ที่จะต้องรู้ว่า เสียงนิดเดียว แล้วต่อจาก นั้นคิดทั้งนั้น

ขออนุโมทนาคุณหมอที่นำธรรมดีๆ มาให้อ่านและ พิจารณากัน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pirmsombat
วันที่ 16 ธ.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผเดิมและคุณคำปั่นและคุณnapachant ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
napachant
วันที่ 16 ธ.ค. 2556

ซาบซึ้งมากๆ เลยค่ะ"

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณหมอและน้องเผดิมด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 16 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งแสดงถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ขณะนี้เป็นธรรม ก็จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ มีความเข้าใจว่าธรรมไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มีจริงในขณะนี้ ฟังจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ เป็นสัญญาที่มั่้นคง อันเป็นสัญญาที่จำสภาพธรรมอันเกิดเกิดพร้อมกับปัญญา เพราะมีการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จึงมีเหตุที่จะทำให้มีการพิจารณาหรือระลึกถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังอย่างถูกต้องแยบคาย ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากเรื่องของธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ในขณะนั้นก็เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็คงจะไม่มีการพิจารณาไตร่ตรองพระธรรมอย่างแน่นอน

สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ นั่นเอง ที่จะเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และปัญญารู้ตามความเป็นจริง (สติปัฏฐาน) เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จริงๆ ไม่ใช่เรื่องหวัง ไม่ใช่เรื่องต้องการ ไม่ใช่เรื่องของความจดจ้อง ไม่ใช่เรื่องของการไปกระทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเห็นผิด และ ด้วยความไม่รู้ แต่เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับ

เรื่องเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุผลแล้วก็เจริญเหตุให้สมควรแก่ผลด้วย ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อการรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็มีจริง แต่ต้องเป็นหนทางแห่งปัญญา เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลับมาที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ครับ

ขอบพระคุณในกุศลวิริยะของ คุณหมอ และ อ. ผเดิม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ