ศึกษาพระธรรมด้วยวิธีใด มากน้อยแค่ไหนอย่างไร

 
Suth.
วันที่  9 ต.ค. 2556
หมายเลข  23816
อ่าน  939

ระหว่างการเจริญสติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง กับการทำ

ความเข้าใจหัวข้อธรรมะพร้อมทั้งเนื้อหาและองค์ธรรมต่างๆ จนครบถ้วนอย่างละเอียด

สองอย่างนี้เราควรมีวิธีศึกษาอย่างไร อย่างละมากน้อยแค่ไหนในเวลาใด อยากทำ

ความเข้าใจในสองส่วนนี้ให้ชัดเจน

กรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การทำความเข้าใจหัวข้อธรรมะพร้อมทั้งเนื้อหาและองค์ธรรมต่างๆ จนครบถ้วนอย่าง ละเอียด ก็คือ การศึกษาปริยัติ ส่วนการเจริญสติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตาม ความเป็นจริง คือ ปฏิบัติ ซึ่งในความเป็นจริง ปฏิบัติ หรือ สติปัฏฐานจะเกิดได้ก็ด้วย การศึกษาปริยัติ ด้วยการสะสมปัญญาไปทีละน้อย

ปัญญาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ต้องมาจากการศึกษาในขั้นปริยัิติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยสาวกทั้งหลายอาศัยการศึกษาปริยัติธรรมแล้วจึงถึงความเป็นพระอริยบุคคล จะไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ซึ่งกล่าวว่าปัญญาที่ได้มาที่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากการฟังพระธรรม ไม่สามารถที่จะกล่าวอย่างนี้ได้ เพราะปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง บุคคลผู้ที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรมซึ่งเป็นปริยัติธรรม มิฉะนั้นแล้วชีวิตวันหนึ่งๆ ก็อยู่ไปๆ โดยไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ข้อสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม คือ ต้องรู้ว่าเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่สามารถจะกระทำได้ โดยที่ไม่เพียงแค่ฟังเท่านั้น แต่ต้องฟังเพื่อที่จะได้ประพฤติปฏิบัติตามด้วย จึงชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมจริงๆ เพราะฉะนันแล้ว การศึกษาตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นไปตามลำดับ กล่าวคือ ผู้ศึกษาต้องฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก่อน ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นของปริยัติ (ปริยัติ หมายถึง การรอบรู้ในพระธรรมคำสอน) เมื่อฟังเข้าใจแล้วจึงน้อมประพฤติปฏิบัติตามคำสอน (ซึ่งไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมปฏิบัติหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) เมื่อปฏิบัติตามคำสอนจึงจะมีผลคือการรู้แจ้งอริยสัจจ-ธรรมละกิเลสได้ตามลำดับขั้น (เป็นขั้นปฏิเวธ คือ การแทงตลอด การรู้แจ้งอริยสัจจ-ธรรม) ปฏิเวธจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ครับ.

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 279

๕. ทุติยสาริปุตตสูตร ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา

[๑๔๒๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนสารีบุตรที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ * ๆ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน. [๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญโสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑ สัทธรรมสวนะฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑ โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑. [๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ สัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธรรมสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑. ฯลฯ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่ถูกต้องคืออย่างไร

การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย

ปัญญาต้องมาจากปริยัติธรรม - บ้านธัมมะ

การศึกษาปริยัติเกื้อกูลการปฏิบัติอย่างไร - บ้านธัมมะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 9 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น ในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิต

ประจำวัน เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อ

ความเข้าใจสภาพธรรม ที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ธรรมจึงไม่พ้นไป

จากชีวิตประจำวันไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ก็มีธรรม ซึ่งเป็นชีวิตปกติธรรมดา

เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ย่อมเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดขึ้น ระลึกรู้สภาพธรรมใน

ขณะนั้นได้ ซึ่งต้องมีพื้นฐานมาจากการได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง

จนมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่่อนจากความเป็นจริง สติปัฏฐานไม่ผิด

ปกติ ไม่ใช่การไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความอยาก ความต้องการ

ถ้าฟังพระธรรม มีการพิจารณาไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็

ย่อมไม่มีอะไรที่จะมายับยั้งการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

โดยที่ไม่ใช่ตัวตนที่จะพยายามระลึก แต่เป็นกิจหน้าที่ของธรรม ที่เกิดเพราะ

เหตุปัจจัย คือ สติและปัญญา พร้อมกับโสภณธรรมอื่นๆ จะเห็นได้ว่าทุกขณะ

เป็นธรรม มีธรรมหนึ่งธรรมใดแน่นอน แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจในลักษณะของสภาพ

ธรรมตามที่ได้ยินได้ฟังให้ถูกต้องขึ้น ขณะนั้นก็คือ สติเกิด จึงจะค่อยๆ เข้าใจ

ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น แม้จะไม่ใช่ชื่อว่าสติปัฏฐาน แต่สิ่งที่กำลังมีกำลัง

ปรากฏให้เข้าใจและ กำลังค่อยๆ เข้าใจในลักษณะนั้น นั่นคือสติปัฏฐาน

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ย่อมเป็นที่ตั้งของสติปัฏฐานได้ ซึ่งจะต้องอาศัย

การฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ก่อนจะถึง...สติ-ปัฏฐาน !

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 9 ต.ค. 2556

ต้องศึกษาธรรมก่อนจึงจะค่อยๆ เข้าใจธรรม ค่อยๆ สะสมปัญญา

และปัญญาจะทำหน้าที่ปฎิบัติธรรมเอง คือ เข้าถึงธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Suth.
วันที่ 10 ต.ค. 2556

ขอบพระคุณทุกคำตอบและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 10 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 16 ต.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ch.
วันที่ 21 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ