แบ่งปันสิ่งที่บันทึกจากชั่วโมงพื้นฐานพระอภิธรรม 5 พ.ค. 2556

 
wittawat
วันที่  6 พ.ค. 2556
หมายเลข  22862
อ่าน  1,249

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ชั่วโมงพระอภิธรรมวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ค. 2556 ผมได้บันทึกข้อความธรรม ก็ขอโอกาสในการแบ่งปัน โดยสรุปสั้นๆ ตามกำลังความเข้าใจครับ

-ในภาษาไทย คำว่า เจตนา เช่น ไม่ได้เจตนา คือ ไม่ได้จงใจแต่จริงๆ แล้ว มีเจตนาเกิดพร้อมจิตทุกขณะ (ไม่มีขณะใดที่จิตเกิดแล้ว จะไม่มีเจตนาเกิดด้วย) โดย เจตนานี้เป็น เจตสิก (เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต) ที่มี สภาพจงใจ ตั้งใจ ขวนขวายกระทำกิจ (จึงชื่อว่า กรรม) ให้จิตทุกขณะ กระทำกิจของจิตนั้นๆ (คือ รู้แจ้งอารมณ์ เช่น เห็น เป็นต้น) ให้เจตสิกก็กระทำกิจของเจตสิกนั้นๆ ซึ่งกระทำกิจของเจตสิกอื่นไม่ได้

-เจตนา เป็น กัมมปัจจัย (เป็นสภาพธรรมที่กระทำกรรม) จิตเกิดขึ้นโดย ไม่มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ คือจิตเกิดขึ้นได้ ต้องมีกัมมปัจจัยด้วย ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะเช่น ปฏิสนธิจิต ไม่มีใครทำให้เกิดแต่เกิดบนโลกนี้ เพราะกัมมปัจจัย คือ กุศล และ อกุศลที่ทำไปเนื่องกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ “เกิดแล้ว เพราะกรรมทำให้เกิด”

-การเกิดในสุคติภูมิ เพราะกุศลที่ทำเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเกิดในอบายภูมิ ก็เพราะเจตนาชั่วที่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีใครอยากเกิดในอบายภูมิ “แต่กำลังทำทาง ไปสู่นรกอยู่หรือไม่?”

-แต่ก็ยังต้องไปสู่อบายภูมิ เพราะมีเชื้อที่ทำให้ไปสู่อบายภูมิ (อกุศลเจตสิก ที่เกิดแล้วสะสมไว้ เป็นปัจจัยให้ทุจริตกรรมเกิดขึ้นได้)

-เมื่อเกิดในอบายภูมิ แม้ได้ยินเสียงเดียวกัน ถึงจะทราบธรรมได้ก็นิดๆ หน่อยๆ ไม่อาจรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

-ความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา คือ สามารถ แสดงธรรมให้เข้าใจถึงสิ่งที่ถูก ผิด ควร ไม่ควร และผู้ที่เข้าใจสามารถเดินตามทางของปัญญา (ที่รู้ว่าสิ่งใดควร ไม่ควร) ได้

-ความเข้าใจที่ถูก ทำให้มีการตรึก ไตร่ตรอง สาธยาย และไม่ลืม ที่จะสามารถตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมได้ครบถ้วนและเข้าใจธรรมโดยไม่ลืมด้วย

-เจตนา เป็น นามธาตุ ที่ควรเข้าใจ คือ เป็นสภาพที่จงใจตั้งใจ เช่น จงใจตั้งใจฟังธรรม เป็นต้น เห็น มีเจตนาที่จงใจ (จงใจเห็น) หรือไม่? แต่สภาพของเจตนาขณะที่เห็น เป็นสภาพขวนขวายกระทำกิจ (กระตุ้น) ให้เจตสิก และจิตที่เกิดขึ้นร่วมกัน (สหชาตธรรม) กระทำกิจของตนๆ ทำให้เห็นเกิดขึ้น กระทำกิจเห็นแล้วดับไปทันที (นี่คือ สหชาตกัมมปัจจัย)

-เหตุนี้ สภาพธรรม จึงไม่เผิน

-การฟังที่เข้าใจขึ้น คือ การรักษาจิต จากอกุศล คือ ความไม่รู้เพราะเพียงฟังเล็กน้อยไม่พอ ฟังเพื่อรักษาจิตให้สะอาดผ่องแผ้วขึ้น เพื่อสามารถที่จะเข้าใจความจริงในขณะที่ได้ยินได้ฟัง

-การฟังธรรม เป็นการทำกรรมหรือไม่? ใครทำ? ไม่มีคนทำแต่คือเจตนาที่ทำกิจขวนขวาย กระตุ้นสหชาตธรรมให้ทำกิจเท่านั้นด้วยความเข้าใจธรรม ก็คือ ปัญญาทำกิจของปัญญา

-ปฏิสนธิจิต เกิดได้เพราะมีเจตนาเป็นกรรม เป็นกัมมปัจจัย โดยสหชาตกัมมปัจจัยก็มี (เจตนาที่เกิดพร้อมกับวิบาก) ทำกิจกระตุ้นให้จิต และ เจตสิกทำกิจเกิดได้ เป็นวิบาก เพียงเกิดแล้วทำกิจตน แล้วก็ดับไป กรรม “สหชาตกัมมปัจจัย” นั้น ไม่สามารถให้ผลต่อได้ แต่ก็ยังมีกรรม (เจตนา) ที่เกิดพร้อมกับกุศลจิตและอกุศลจิตที่เป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นต่างขณะกัน เจตนานั้น จึงเป็น “นานักขณิกกัมมปัจจัย” (ธรรมที่มีสภาพจงใจที่เกิดก่อน และกระตุ้นให้จิต และเจตสิกเกิดต่างวาระกัน)

-ขณะที่เห็น มีเจตนาเกิดด้วย เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแต่หลังจากที่เห็นแล้วมีอกุศลจิตเกิดต่อจากจิตเห็นเจตนาที่เกิดร่วมด้วยเป็นกรรม แล้วเป็นกัมมปัจจัยประเภทใด?

เป็นสหชาตกัมมปัจจัย เพราะยังไม่ถึงกรรมบถไม่เป็นนานขณิกกัมปัจจัย แต่เป็นอุปนิสสยปัจจัย (ปกตูปนิสสยปัจจัย) เพราะสะสมมีกำลังให้อกุศลนั้นสามารถเกิดได้อีก เช่น โลภะที่เห็นของสวยงามนี้เกิดแล้ว สะสมไม่ได้หายไปเลย อกุศลสามารถที่จะยินดีติดข้องพอใจในสิ่งที่สวยงามทันที เมื่อเห็นสิ่งที่สวยงามในภายหน้า

-ถ้าชอบรับประทานอาหารประเภทนี้ อกุศลไม่รีรอวิ่งไป (“ชวนะ” คือ หลั่งออกไปอย่างเร็ว) เช่น ถ้าเสพบ่อยๆ จนพอใจ ก็สามารถเอื้อมมือไปตักได้ตามความพอใจ

-"จิตนั้นเป็นอย่างไร? สะอาด หรือเต็มไปด้วยอกุศลเชื้อโรค คือ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อเห็นถึงเวลาให้อกุศลเกิดได้ ออกมา วิ่งมา ไม่หยุด กั้นไม่ได้"เพราะกำลังของอุปนิสสยปัจจัย ซึ่ง เว้นเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น ที่เห็นอย่างไร ก็ไม่เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะปัญญาได้ดับเหตุที่ทำให้เกิดกุศลและอกุศลแล้ว

-ใครพ้นจากอกุศลได้ ถ้าไม่มีปัญญาเห็นถูกตามจริงฟังธรรม ไม่ลืม ไตร่ตรองเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา จนกว่าจะหมดความเป็นเรา

-เข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถเข้าใจ ธรรมแต่ละหนึ่งที่สั้นมากได้ ก็ต้องฟังเข้าใจสภาพธรรมยิ่งขึ้น กระทั่งรอบรู้ในพุทธพจน์ หรือ ปริยัติ จนกระทั่งรู้สภาพธรรมทีละหนึ่ง

-"รักษาจิต" ได้ด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจความจริงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งจิตสะอาดขึ้น จนสามารถเข้าใจความจริงที่ปรากฏ หนทางเดียว คือ กินยา “ธรรมโอสถ เพราะป่วยด้วยกิเลส”


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
orawan.c
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแดพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นประโยชน์มาก ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณ wittawat ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natural
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
mon-pat
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 7 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
boonpoj
วันที่ 8 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 9 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
rrebs10576
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kinder
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ธ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ