แบ่งปันสิ่งที่บันทึกจากชั่วโมงปฏิบัติธรรม ๒๘ เม.ย. ๒๕๕๖

 
wittawat
วันที่  29 เม.ย. 2556
หมายเลข  22823
อ่าน  1,105

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

วันอาทิตย์ที่ 28 เม.ย.2556 ผมได้จดบันทึกข้อความจากชั่วโมงปฏิบัติธรรมและก็ขอโอกาสในการแบ่งปัน เป็นเนื้อความสรุปย่อ ตามกำลังความเข้าใจครับ

-จะพิจารณา หรือ เข้าใจ สิ่งที่ฟัง?

-แม้ "พิจารณา" ก็ไม่ใช่เราแต่มีสภาพธรรมแล้ว ฟังแล้วเข้าใจขึ้น คือ มีเสียง รู้คำ เข้าใจความหมายของเสียงที่ได้ยิน และก็มีสภาพธรรมเกิดขึ้น สืบต่อ จนกว่าที่จะเข้าใจมีเห็น ๑ ได้ยิน ๑ คิด ๑ เข้าใจ ๑ เข้าใจถูกต้องขณะที่กำลังฟัง ก็เป็นธาตุรู้ทั้งหมด ที่ไม่ใช่เรา

-มีสิ่งที่ปรากฏ ฟังเข้าใจขึ้น ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ (กุศลธรรมที่พิจารณาถูกตรงตามความจริง เช่น รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นความจริง ทุกอย่าง คือธรรม เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่คิดนึกเป็นเรื่องราวด้วยอกุศล หรือหลักวิชาการ)

-ธาตุรู้เกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทีละ ๑ ไม่ใช่ ๒ มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธาตุรู้ไม่ใช่เรา เช่น มีธาตุเห็นที่กำลังรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างหนึ่งจริง และมีจริงขณะที่เห็นเกิดขึ้น

-ฟังในสิ่งที่มีจริง และการเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น คือการฟังโดยมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งไม่ว่าจะทรงกล่าวโดยนัยทุกข์ อนิจจัง ธาตุ อริยสัจจ์ ๔ หรืออื่นๆ ก็ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจความจริงสิ่งที่มี ในขณะนี้ ให้เข้าใจละเอียดถูกต้องยิ่งขึ้น

-การฟังว่า "เห็น" เกิดดับมีจริง ก็เพื่อละคลายความติดข้อง ไม่ใช่ยึดถือว่าเป็น เรา เข้าใจถูกตามความเป็นจริง

-อกุศลทั้งหลาย ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย เช่น โลภะติดข้องเพราะไม่รู้ความจริง โทสะขุ่นเคือง เพราะไม่รู้ความจริง

-ผู้ตรง ฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เช่น มีแข็งปรากฏขณะนี้สภาพรู้แข็งก็ต้องมี จึงมีแข็งปรากฏ และแม้แข็งก็ต่างกัน โดยเป็นอ่อนนุ่มก็ได้ ซึ่งไม่ใช่หวาน/เค็ม เป็นแต่ละลักษณะ ที่กายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ก็มีความจริง และสิ่งนั้นเกิด ปรากฏ ดับไป อาศัยการฟัง จนกระทั่งเข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง ณ ขณะนี้

-การเข้าใจธรรม ไม่ใช่ว่าต้องหา แต่มีสิ่งที่ปรากฏ เข้าใจขณะนี้หรือไม่?

-"อนัตตา" เป็นความจริงขณะนี้ ฟังจนมีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

-"รูปธาตุ" เป็นธาตุที่ไม่สามารถรู้อะไรได้ เกิดแล้วดับไป แต่ก็มีธรรมที่อุปการะให้เกิดขึ้น จิตเห็นเกิด โดยมีจักขุปสาทรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ขณะที่จักขุปสาทรูปนั้นยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้ "จิตเห็น" เกิดขึ้น (ทรงแสดงว่าเป็นจิต มนัส มโน ก็แสดงว่าเป็น ธรรมที่เห็นไม่ได้)

-"เห็น" ก็คือ ธรรมที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ (ทางตา) ขณะนี้ ซึ่งไม่ใช่เจตสิกส่วนความติดข้อง พอใจ ความขุ่นเคือง ในสิ่งที่เห็น ก็ไม่ใช่จิต (เป็นเจตสิก) และวันหนึ่งๆ ก็ไม่มีใคร และยับยั้งการเกิดขึ้นดับไป ของจิต และ เจตสิกไม่ได้

-รู้ความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่เราขณะนี้หรือไม่ ไม่ใช่เราที่พยายาม แต่เป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นทีละน้อย

-มีใครทราบว่ามีเจตสิก เกิดขึ้นพร้อมกัน ๗ ประเภท ขณะที่ได้กลิ่น ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่ทราบ แต่ขณะที่ฟังก็เข้าใจขึ้น คือการสะสมไป เป็นประโยชน์ที่ไม่สูญหาย

-ทางอื่นไม่มี มีแต่ทางเดียว คือการฟัง รู้ เข้าใจเพิ่มขึ้น ไตร่ตรองความจริงได้ยินสิ่งที่ได้ฟัง มั่นคงเข้าใจว่าเป็นความจริง

-"สุขเวทนา เป็นสุข เพราะดำรงค์อยู่ เป็นทุกข์ เพราะแปรปรวน ทุกขเวทนา เป็นทุกข์ เพราะดำรงค์อยู่ เป็นสุข เพราะแปรปรวน อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุข เพราะรู้ เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้" เวลาที่ร้อนไม่ชอบ เพราะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้ารู้สึกเฉยๆ ก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าไม่รู้ความจริง ก็เดือดร้อนใจ เพราะต้องการเป็นสุข

-เพราะไม่รู้จึงติดข้องพอใจ ทั้งยังแสวงหา ทั้งยังแสวงหาในทางทุจริตเพราะไม่รู้

-ประโยชน์จากการเข้าใจ คือ ความมั่นคง (ว่าเป็นธรรม) แต่ถ้าเป็น "เราเข้าใจขึ้นไหม?" นั่นก็คือ เครื่องกั้น (คือ โลภะ) มาแล้ว

-ถ้าเห็นผิด ประพฤติผิด กล่าวคำผิด ทั้งคนที่ฟังก็เชื่อตามคำผิดก็เป็นการหันหลังจากพระสัทธรรม และชีวิตก็เป็นโทษอย่างยิ่ง

-การฟังธรรม เพื่อชำระล้าง ขัดเกลาจิตที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะถ้ามีกิเลส กิเลสสะสมมากๆ กิเลสรู้ธรรมไม่ได้ โลภะ โทสะ มานะ ริษยา ที่มีมากมายทั้งยังเพิ่มขึ้น จิต (ทั้งเจตสิก) เหล่านี้รู้ธรรมไม่ได้ (ไม่ใช่กุศลธรรมที่รู้ลักษณะธรรมได้) แต่เมื่อฟังความจริง ละความไม่รู้ ติดข้องยึดถือว่าเป็นเรา ขณะที่เข้าใจถูก อกุศลเริ่มเบาบาง เข้าใจอีกนิด กระทั่งเป็นจิตที่ผ่องแผ้ว โดยที่ไม่หวังใดๆ แต่เข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะสะอาดขึ้น สามารถรู้ความจริง โดยการฟังเข้าใจได้

-ถ้าฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ก็ให้ทราบว่า เพราะอกุศลมืดมิดดำสนิท ทั้งยังมีความหวังที่กั้น เพราะเราต้องการรู้เพิ่มขึ้น เพื่อความเป็นเรามีมายาที่แสร้งตน "ทั้งที่ไม่เป็นเช่นนั้น ก็แสร้งทำว่าเป็นเช่นนั้น" ดังเช่น สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ผู้แม้เดินตามหลังพระศาสดา ผู้ได้จักขุทิพย์ เห็นหมู่เทวดา ยังสนใจว่าสนทนาเรื่องอะไร (เห็นการสะสมมา ที่แต่ละหนึ่งจะมีความสนใจที่ต่างกัน) จึงทูลขอทางได้โสตทิพย์ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าภิกษุไม่ได้สะสมมาที่จะได้โสตทิพย์ ก็ไม่ได้ตรัสบอก ภิกษุก็โกรธและกล่าวติเตียนว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมตามความคิดไตร่ตรอง... (ซึ่งเป็นการกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้าพร้อมมายาก็ยังกล่าวเติมอีกว่า) ถึงอย่างนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ก็ยังสามารถทำให้บุคคลอื่นพ้นทุกข์ได้ (เติมเพื่อไม่ให้ตนเองถูกกล่าวติเตียนเพราะอกุศล ที่คดเคี้ยว) "

-เวลาที่พูดถึงคนอื่น มีความไม่ดีของคนอื่นมากมาย แต่ไม่ได้ทราบว่าใจที่คิดถึงคนอื่นด้วยความไม่ดี เป็นอะไร? (อกุศล) แม้กระทั่งห่วงคนอื่นว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร?

-ไม่เพียงแต่ฟังแล้วผ่าน แต่ชำระจิตด้วยการฟังแล้วเข้าใจธรรมอบรมกระทั่งจิตสะอาด พร้อมที่จะได้ฟัง และก็เข้าใจถูกในธรรมที่เป็นจริงในขณะนั้น

ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ อาจารย์วิทยากร และผู้ร่วมสนทนาในการสนทนาชั่วโมงปฏิบัติธรรม ครั้งนั้นด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 30 เม.ย. 2556

"สุขเวทนา เป็นสุข เพราะดำรงค์อยู่ เป็นทุกข์ เพราะแปรปรวน

ทุกขเวทนา เป็นทุกข์ เพราะดำรงค์อยู่ เป็นสุข เพราะแปรปรวน

อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุข เพราะรู้ เป็นทุกข์ เพราะไม่รู้"

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-ถ้าเห็นผิด ประพฤติผิด กล่าวคำผิด ทั้งคนที่ฟังก็เชื่อตามคำผิด ก็เป็นการหันหลังจากพระสัทธรรม และชีวิตก็เป็นโทษอย่างยิ่ง

-การฟังธรรม เพื่อชำระล้าง ขัดเกลาจิตที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะถ้ามีกิเลส กิเลสสะสมมากๆ กิเลสรู้ธรรมไม่ได้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณ wittawat ด้วยครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natural
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
boonpoj
วันที่ 1 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 2 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lamphun
วันที่ 2 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ผิน
วันที่ 2 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pat_jesty
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
orawan.c
วันที่ 4 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ธ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ