ไฉนจึงต้องอุทิศ (บุญ) เจาะจง เปรตจึงได้รับบุญ อนุโมทนาเอาเองเลยไม่ได้หรือ

 
Jesada
วันที่  1 ส.ค. 2555
หมายเลข  21498
อ่าน  11,025

เรียนถามนะครับ

เท่าที่กระผมได้รับทราบมา เปรตชนิดที่อาศัยบุญของผู้อื่นเป็นอยู่ (ปรทัตตูปชีวี) สามารถอนุโมทนาและรับบุญจากผู้ที่อุทิศได้ ... การอนุโมทนา ก็พอมองออกว่าเป็นบุญอย่างไรครับ นั่นคือ พลอยยินดีกับการทำความดี (สิ่งที่ถูกต้อง) ของผู้อื่นหรืออาจมองเป็นการละกิเลสข้ออิจฉาริษยาได้ ฯลฯ

ประเด็นคือว่า หากเปรตได้มีโอกาสพบเห็นหรือรับทราบว่ามีผู้ทำบุญ ไฉนจึงไม่ไปอนุโมทนาเอาเองเลย โดยไม่ต้องมีใครมาเจาะจงชื่อ เช่น เห็นพระศึกษาพระไตรปิฎกหรือเจริญวิปัสสนา การอนุโมทนาเช่นนี้ก็น่าจะสำเร็จได้แล้วครับ หากกล่าวตามตัวแปร/คุณสมบัติด้านบน ไฉนผู้รู้หลายท่านจึงกล่าวว่า ต้องทำบุญเจาะจงเปรตผู้นั้นเท่านั้น การไม่เจาะจง แต่หากเขาได้รับทราบการกระทำนั้น เขาจะอนุโมทนาได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่ในประเด็นที่ผู้ถาม ถามว่า เปรต ทำไม ต้องรอให้อุทิศส่วนกุศล อนุโมทนาเลยก็ได้ ไม่ใช่หรือ

ซึ่งจะขอกล่าวใน พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ ใน ชาณุสโสณีสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า มีพราหมณ์ ชื่อ ชาณุสโสณีพราหมณ์ ได้ทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์มีความเชื่อว่า ทานที่ข้าพระองค์ให้ไปย่อมสำเร็จแก่ญาติ ความหมายคือ ทาน ที่ข้าพระองค์ให้ไป เมื่อข้าพระองค์อุทิศให้ ญาติย่อมได้บริโภคในทานนั้น

ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ทาน ที่อุทิศให้ญาติ ย่อมสำเร็จ กับ บุคคลบางจำพวก ไม่สำเร็จกับบุคคลบางจำพวก ซึ่ง หากญาติไปเกิดเป็นมนุษย์ ทานที่อุทิศให้ก็ไม่สำเร็จ เพราะ เขาไม่ล่วงรู้ และ ไม่อนุโมทนา

สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เทวดา ก็ไม่ได้บริโภคทานที่อุทิศให้ เพราะเหตุว่าสัตว์นรก มีอาหารของสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานก็มีอาหารของสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว มนุษย์ ก็เช่นกัน รวมทั้ง เทวดา อาหารของเทวดา คือ อาหารทิพย์

เพราะฉะนั้น ทานที่อุทิศให้บุคคลที่กล่าวมา จึงไม่ได้บริโภคทานนั้น แต่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า แต่ มีสัตว์ประเภทที่สามารถจะได้ทานที่ญาติอุทิศให้ คือ ได้บริโภคทานนั้น คือ เปรต ซึ่งอาหารของเปรต ที่เปรตจะได้มา มีสอง อย่าง คือ น้ำลาย น้ำมูก ของสกปรก ประการหนึ่ง และ อีกประการหนึ่ง อาหารที่เปรตจะได้รับ คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลจากญาติ และ เปรตอนุโมทนา จึงจะได้รับส่วนบุญ นั้น

เพราะฉะนั้น เราจะต้องแยกระหว่างผลของการได้รับ มีอาหาร เป็นต้น กับ กุศลจิตที่เกิด ว่าแยกจากกัน เปรต เกิดกุศลจิต อนุโมทนาได้ แม้ญาติจะไม่อุทิศ กุศลก็เกิดได้ครับ แต่ เมื่อเกิดกุศล แต่ เมื่อไม่ครบองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดผล คือ การได้รับส่วนบุญ มีการได้อาหารต่างๆ คือ ไม่ครบองค์ประกอบที่ญาติอุทิศให้ แม้อนุโมทนา เกิดกุศล ผลนั้นก็ไม่เกิด คือ ไม่ได้รับอาหารที่เลิศที่จะทำให้เปรตได้รับประทานอาหาร เพราะ ขาดองค์ประกอบไปบางประการ คือ การอุทิศกุศลจากญาติ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ญาติๆ ของพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นเปรต เมื่อครั้งแรก พระเจ้าพิมพิสาร ทำบุญ แต่ไม่อุทิศให้ เปรตที่เป็นญาติก็มาร้องทำเสียงน่ากลัว แสดงว่าเปรตรู้ว่า พระเจ้าพิมพิสารทำบุญ แต่ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารไม่อุทิศให้ แม้เปรตจะเกิดกุศลจิตที่อนุโมทนาบุญก็ตาม แต่เมื่อไม่ครบองค์ประกอบของการที่เปรตจะได้รับผลของบุญที่จะทำให้ได้อาหารต่างๆ ก็จึงมาร้องตอนกลางคืน พระเจ้าพิมพิสาร ได้เกิดความกลัว ทูลถามพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า เพราะ พระองค์ได้ทำบุญ แต่ไม่อุทิศให้ ญาติของพระองค์จึงมาร้อง พระเจ้าพิมพิสาร จึงทำบุญใหม่อีก และ อุทิศให้ ญาติของพระเจ้าพิมพิสารจึงได้รับ

นี่จึงเป็นการแสดงว่า แม้เพียงการอนุโมทนา เกิดกุศลจิตของเปรตเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เปรตได้รับผลของบุญ แต่จะต้องอาศัย การอุทิศของญาติ และเปรตอนุโมทนา จึงจะทำให้เปรตได้รับส่วนบุญ มีการได้อาหารต่างๆ เป็นต้น ครับ

จึงสรุปได้ว่า การจะได้รับสิ่งใด มีผลของบุญ ที่เป็นอาหาร มีภพภูมิเปรต เป็นต้น จะต้องอาศัย เหตุปัจจัยหลายๆ ประการ ไม่ใช่เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เพียง เห็นแล้ว อนุโมทนาเอง เกิดกุศลจิต ผลจะเกิด แต่ต้องอาศัย การอุทิศของญาติเป็นสำคัญด้วย จึงครบองค์ประกอบที่จะทำให้ได้ผลของบุญ ดังเช่น การให้ทาน เกิดกุศลจิตที่คิดในใจที่จะให้ และมีของที่จะให้ด้วย แต่ขาดองค์ประกอบอื่น คือ ไม่มีผู้รับ ทานก็ไม่สำเร็จ บุญก็ไม่สำเร็จเช่นกัน แม้ แต่การจะเกิดผลของบุญ มีการได้อาหาร ก็ต้องเหตุปัจจัยพร้อมหลายๆ ประการตามที่กล่าวมา ไม่ใช่เพียงการอนุโมทนา เกิดกุศลจิตที่เห็น แต่ไม่มีการอุทิศให้ เปรตก็ไม่ได้รับส่วนบุญนั้น ครับ

ส่วนภพภูมิอื่นก็เกิดกุศลจิต แม้ไม่ได้เห็น แต่ก็ไม่ได้อาหารทันทีดังเช่นเปรต ครับ แต่ เปรต อาหารของเปรต คือ น้ำมูก ของสกปรก และ การได้รับการอุทิศส่วนกุศลจากญาติ และ อนุโมทนา ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดง ถึง อาหารของสัตว์ประเภทต่างๆ และ อาหารของเปรตดังนี้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ดังข้อความในพระไตรปิฎก

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 437

ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีความเห็นผิด บุคคลนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัย ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในเปรตวิสัย หรือว่า มิตร อำมาตย์ หรือญาติสาโลหิตของเขา ย่อมเพิ่มให้ซึ่งปัตติทานมัยจากมนุษยโลกนี้ เขาเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ย่อมตั้งอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ด้วยปัตติทานมัยนั้น

ดูก่อนพราหมณ์ ฐานะอันเป็นที่เข้าไปสำเร็จ แห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นฐานะ.

อรรถกถาชาณุสโสณีสูตร

ส่วนอาหารของเหล่าสัตว์เดียรัจฉาน ก็พึงทราบ คือใบหญ้าเป็นต้น.

ของเหล่ามนุษย์ ก็คือข้าวสุกขนมสดเป็นต้น

ของทวยเทพ ก็คือ สุทธาโภชน์อาหารทิพย์เป็นต้น

ของเหล่าสัตว์ที่เกิดในปิตติวิสัยแดนเปรต ก็คือน้ำลาย น้ำมูกเป็นต้น.

บทว่าย วา ปนสฺส อิโต อนุปฺปเวจฺฉนฺติ

ความว่า เหล่ามิตรเป็นต้น ให้ทานส่งอุทิศผลบุญอันใดไปจากโลกนี้. เหล่าสัตว์ที่เกิดในปิตติวิสัยแดนเปรตเท่านั้น ย่อมเป็นอยู่ได้ด้วยผลบุญอันนั้น ที่บุคคลอื่นอุทิศไปให้. ผลบุญที่คนเหล่านั้นอุทิศให้ ไม่สำเร็จแก่สัตว์เหล่าอื่น.

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ดังนั้น เปรตจะได้รับอาหาร ในประการที่สอง คือ ญาติจะต้องอุทิศส่วนบุญให้ แม้อนุโมทนากุศลเอง แต่ไม่มีการอุทิศ เปรตก็ไม่ได้รับอาหาร แม้จะเกิดกุศลจิต เพราะไม่ครบองค์ประกอบตามที่กล่าวมา ซึ่งการอุทิศให้ จะจำเพาะเจาะจงชื่อหรือ กล่าวโดยรวมทั้งหมดก็ได้ เช่น อุทิศให้สรรพสัตว์ เพราะ สัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่เคยไม่เกิดเป็นญาติกันไม่มี เพราะ สังสารวัฏฏ์ยาวนาน ก็เป็นญาติกันมาหมดแล้ว ครับ

ส่วน กุศลที่เป็นขั้นวิปัสสนา ขั้นการศึกษาพระธรรม โดยมาก เปรตจะไม่ได้ต้องการกุศลประเภทนี้ เพราะโดยมาก เปรตเกิดมา เป็นผู้หิวกระหายเป็นนิจ คือ เป็นประจำ สิ่งที่ต้องการ คือ อาหาร เพราะฉะนั้น กุศลที่เปรตจะอนุโมทนา คือ กุศลขั้นทาน ที่ ผู้ที่อุทิศให้ ทำบุญถวายทานกับผู้มีศีล เป็นต้น ครับ และเมื่อญาติอุทิศให้ เปรตล่วงรู้ อนุโมทนาบุญนั้น ผลของบุญย่อมเกิดกับเปรต คือ การได้อาหาร เพราะครบองค์ประกอบ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลอุปการะเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อกุศลธรรม, กุศล ซึ่งเป็นความดีในชีวิตประจำวันสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งในเรื่องของทาน ศีล และการอบรมเจริญปัญญา ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นประโยชน์ของกุศลมากน้อยแค่ไหน

การอุทิศส่วนกุศล ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย จุดประสงค์ของการอุทิศส่วนกุศลก็เพื่อให้บุคคลอื่นได้ร่วมอนุโมทนา ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลจิตของบุคคลอื่นเกิดได้ กุศลจิตที่อนุโมทนาย่อมเป็นกุศลของผู้อนุโมทนาเอง ซึ่งกุศลที่เกิดขึ้นด้วยการอนุโมทนานี้ จะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดี คือ กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น ไม่ใช่เราหยิบยื่นกุศลของเราให้คนอื่น แต่การที่เราทำกุศล แล้วเป็นเหตุให้คนอื่นที่รู้อนุโมทนายินดีด้วย ขณะใดที่เขาอนุโมทนายินดีด้วย ขณะนั้นก็เป็นกุศลของเขา ซึ่งจะต้องเป็นกุศลจิตของผู้ที่อนุโมทนา

การเกิดเป็นเปรต ซึ่งเป็นภูมิหนึ่งในบรรดาอบายภูมิ ๔ เป็นผลของอกุศลกรรม ทำให้เปรตได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน และหิวโหยอยู่ตลอดเวลา ความเป็นอยู่ของเปรตต้องอาศัยการรับอุทิศส่วนบุญที่ญาติทั้งหลายได้อุทิศไปให้ เมื่อเกิดกุศลจิตอนุโมทนา ก็ทำให้พ้นจากสภาพที่เป็นทุกข์เดือดร้อนนั้น หรือ ถึงกับพ้นจากความเป็นเปรตเลยก็มี เพราะภพภูมิต่างกัน จึงไม่สำเร็จเพียงอนุโมทนาฝ่ายเดียว ต้องอาศัยญาติอุทิศส่วนบุญให้ จึงสำเร็จได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาแล้วสามารถมีกุศลจิตอนุโมทนาได้เลย โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นทำบุญอุทิศให้ ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pat_jesty
วันที่ 2 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
munlita
วันที่ 2 ส.ค. 2555

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แก่นไม้หอม
วันที่ 3 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาคุณ Jesada ที่ตั้งกระทู้นี้ค่ะ เพราะเป็นข้อสงสัยของดิฉันเช่นกัน และขออนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านที่ได้ยกพระสุตตันตปิฎกฯ พร้อมอธิบายในความละเอียดและความลึกซึ้งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้มีความเข้าใจยิ่งขึ้น

ขอบพระคุณและขอนุโมทนาในกุศลของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
peem
วันที่ 30 มี.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 10 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ