โลภะเป็นทั้งครูและศิษย์

 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่  25 ส.ค. 2554
หมายเลข  19571
อ่าน  2,597

ได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวถึงเรื่อง "โลภะเป็นทั้งครูและศิษย์" ยังทำความเข้าใจไม่ถี่ถ้วน ขอความกรุณาอนุเคราะห์สนทนาหัวข้อนี้ให้กระจ่างสักนิดนะครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

จากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงว่า กิเลสที่เกิดขึ้นจากการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก กิเลส อกุศลธรรม มีโลภะ เป็นต้น เปรียบเหมือนอาจารย์และศิษย์ (อันเตวาสิก) ครับ อธิบายดังนี้

เมื่อกล่าวถึงศิษย์ ศิษย์ คือ ผู้ที่อยู่ในโอวาทของอาจารย์ โดยธรรมแล้ว อกุศลที่เกิดขึ้นภายใน ที่เมื่อเกิดแล้ว เป็นศิษย์ คือ เป็นภายในนั่นเองครับ ศิษย์ย่อมอยู่ในโอวาทของอาจารย์ กิเลส มีโลภะเป็นต้น เมื่อเกิดขึ้นก็อยู่ภายในจิต ไม่ได้หายไปไหน เป็นศิษย์ของจิต เป็นศิษย์ของเรา อยู่ภายในจิต สะสมต่อไปไม่ได้หายไปไหนนั่นเอง

ดังเช่น อรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า กิเลสที่เกิดขึ้น มีโลภะ เป็นต้น เป็นอันเตวาสิกเพราะเกิดขึ้นภายในจิต สะสมไว้นั่นเองครับ ส่วนกิเลสที่เกิดขึ้น มีโลภะ เป็นต้น เมื่อเกิดขึ้นย่อมครอบงำบุคคลนั้น การถูกครอบงำโดยกิเลส มีโลภะ เป็นต้น ชื่อว่ามีอาจารย์ เพราะอาจารย์ย่อมครอบงำสั่งสอนศิษย์ให้ทำสิ่งต่างๆ ฉันใด เมื่อกิเลสเกิดขึ้น มีโลภะ เป็นต้น ก็ครอบงำบุคคลนั้นเหมือนอาจารย์สั่งสอนศิษย์ให้ทำสิ่งต่างๆ โลภะเมื่อเกิดขึ้น ก็ให้บุคคลนั้นทำสิ่งต่างๆ ตามอำนาจของกิเลสที่เกิดขึ้นครับ เช่น เมื่ออยากดูหนังก็ทำตามกิเลส ก็ขวนขวายไปตามอำนาจกิเลส อยากทานอาหารก็ขวนขวายด้วยการทานข้าว อยากทำสิ่งต่างๆ ตัวเราเองก็ต้องทำตามอำนาจกิเลสที่เกิดขึ้น โลภะและอกุศลธรรมประการต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงเปรียบเหมือนอาจารย์ของเราให้ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้นั่นเองครับ

สรุปคือ ไม่ใช่เพียงโลภะเท่านั้นที่เป็นอาจารย์และศิษย์ อกุศลธรรมประการอื่นๆ ด้วยครับ เพราะศิษย์ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต อันมีอกุศลธรรมประการต่างๆ และอาจารย์ หมายถึง อกุศลธรรมประการต่างๆ แม้โทสะเกิดขึ้นก็ทำให้มีการกระทำตามกำลังของโทสะ เป็นต้นครับ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้ที่มีอาจารย์และศิษย์ คือ เมื่อเห็น ได้ยิน...คิดนึกแล้วอกุศลเกิดขึ้น มีอาจารย์และศิษย์ อยู่เป็นทุกข์ เพราะไม่พ้นจากความอิสระคืออำนาจของกิเลส และจะต้องวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ยังมีอาจารย์และศิษย์ที่เป็นอกุศลธรรมครับ ดังนั้นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่มีอาจารย์และศิษย์ที่เป็นอกุศลธรรมเลย ซึ่งหนทางที่จะไม่มีอาจารย์และศิษย์คือการอบรมปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจครับ ขออนุโมทนา ที่ร่วมสนทนา

เชิญอ่านข้อความโดยตรงในเรื่องอาจารย์และอันเตวาสิกครับ

กิเลสเป็นอาจารย์และศิษย์

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 25 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง มีนัยที่หลากหลายมาก เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง ได้เห็นโทษของอกุศลและเห็นคุณของกุศลตามความเป็นจริง เมื่อเห็นโทษของอกุศลและเห็นคุณของกุศลตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะไม่เข้าใกล้อกุศล แต่จะถอยกลับจากอกุศลให้เร็วที่สุด แล้วตั้งใจมั่นในการที่จะอบรมเจริญกุศลต่อไป ซึ่งเป็นเครื่องเตือนที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะศึกษาจากพระสูตรใดก็ตาม ถ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน

จากพระสูตรนี้ที่ว่านี้ คือ ลูกศิษย์กับอาจารย์ โดยนัยที่เป็นกิเลสนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า บุคคลผู้ที่ยังมีอันเตวาสิก (ลูกศิษย์) นั้น คือ ผู้ที่เมื่อเห็นรูปด้วยตา ได้ยินเสียงด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้ธัมมารมณ์ด้วยใจ แล้วอกุศลธรรมเกิดขึ้น อกุศลธรรมนั้นย่อมสิงอยู่ภายในบุคคลนั้น ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม อกุศลธรรมนั้นไม่ได้อยู่นอกตัว ไม่ได้อยู่ไกล แต่ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมที่อยู่ภายในจิตของบุคคลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกบุคคลนั้น ว่า มีอันเตวาสิก คือ มีลูกศิษย์ และเมื่ออกุศลธรรมอันลามกครอบงำบุคคลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกบุคคลผู้มีอกุศลธรรมอันลามกครอบงำว่า มีอาจารย์ กล่าวคือ เป็นผู้ที่คอยให้ทำอย่างนั้น คอยให้ทำอย่างนี้ เชื่ออกุศลทุกอย่างที่มีอยู่ในใจ ถ้ามีโลภะ ถูกโลภะครอบงำแล้ว จะให้ทำอะไรๆ ก็ทำ ซึ่งเป็นอกุศลของตนเอง โลภะที่มีอยู่ในใจ เป็นอาจารย์คอยให้ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ ครอบงำบังคับบัญชาให้แสวงหา ให้ทำสิ่งต่างๆ

เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ยังมีกิเลสนั้น เป็นผู้ที่มีทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ เพราะเหตุว่า กิเลสนั้นมีกำลังก็ทำให้ครอบงำจิตใจ ทำให้ประพฤติเป็นไปตามที่อาจารย์ คือ กิเลส ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังไม่พ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แต่บุคคลผู้ไม่มีลูกศิษย์ ไม่มีอาจารย์ คือ บุคคลผู้ไม่มีกิเลส ไม่ถูกกิเลสอกุศลครอบงำ จึงเป็นผู้อยู่เป็นสุขในที่ทั้งปวง เนื่องจากว่าไม่ถูกกิเลสเสียดแทงจิตอีกต่อไป

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละคลายความไม่รู้ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้นก็สามารถดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้เป็นผู้ไม่มีทั้งลูกศิษย์ และ ไม่มีทั้งอาจารย์ กล่าวคือ ไม่มีกิเลส นั่นเอง ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 25 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นมากครับ มีความเข้าใจมากขึ้นครับ ว่า ทำไมกิเลสจึงเป็นได้ทั้งศิษย์และอาจารย์ คงต้องมีวิริยะในการศึกษาพระธรรมต่อไป เผื่อจะได้เปลื่ยนลูกศิษย์และอาจารย์ใหม่ เพราะศิษย์และอาจารย์เก่าก็อยู่กันมานานมากแล้ว คุ้นเคยกันเกินไป ศิษย์ใหม่ อาจารย์ใหม่ (ที่เป็นกุศล) เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้รู้จักกันเท่าไหร่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 25 ส.ค. 2554

คนผู้โลภแล้วย่อมไม่รู้อรรถ คนผู้โลภแล้วย่อมไม่เห็นธรรม เมื่อใดความโลภครอบงำนรชน เมื่อนั้นนรชนนั้นย่อมมีความมืดตื้อ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 25 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 26 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 18 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 20 ม.ค. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Sea
วันที่ 19 พ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Jarunee.A
วันที่ 14 ธ.ค. 2566

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ