แน่ใจนะ...ว่ารู้จักสติแล้ว

 
คุณย่า
วันที่  26 ส.ค. 2552
หมายเลข  13348
อ่าน  2,824

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ ฯ
พื้นฐานพระอภิธรรม ครั้งที่ ๙๒
วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒

คุณชาลี เมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์สนทนากับพี่อรวรรณในกรณี หลงลืมสติ เลยอยากเรียนถาม ท่านอาจารย์ว่า บางทีไม่ลืมหรอกครับ แต่บางทีขณะที่เข้าใจสภาพธรรม อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย เมื่อไรเป็นสติเจตสิกเกิด หรือเมื่อไรจะเป็นการตั้งใจพิจารณาสภาพธรรมตรงนั่นละครับ

ท่านอาจารย์ ได้ยินชื่อสภาพธรรมเยอะใช่ไหมค่ะ จากการเริ่มได้ยินว่าธรรม แล้วธรรมนี้ก็หลากหลายมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีคำที่ได้ยิน คือ "สติ" ได้ยินว่าอย่างไรค่ะ สติ คืออะไรค่ะ

คุณชาลี สติก็คือ สภาพที่ระลึกได้

ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรือค่ะ หรือว่าละเอียดกว่านั้น อีกนิดหนึ่ง

คุณชาลี ระลึกได้ในปรมัตถธรรม

ท่านอาจารย์ เป็นไปในทางกุศลเท่านั้น เป็นปรมัตถธรรมหรือไม่ใช่ปรมัตถธรรม สติเป็นสภาพที่เป็นโสภณธรรม ธรรมนี้มีทั้งฝ่ายดีเป็นโสภณ ฝ่ายที่ไม่ดีเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ค่ะ เวลาที่เราจะใช้ คำหนึ่งคำใด เราต้องเข้าใจว่าลักษณะนั้นเปลี่ยนไม่ได้ จะเปลี่ยนสติให้เป็นอกุศลได้ไหมค่ะ ถ้ามีความเข้าใจ ว่าคำว่า " สติ " หมายความถึงสภาพธรรมฝ่ายดี จะให้เป็นอกุศลได้ไหม

คุณชาลี ไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์ วันนี้ดีขนาดไหน

คุณชาลี ดีขณะที่มีโสภณธรรมเกิด

ท่านอาจารย์ วันนี้นะค่ะ รู้ว่าขณะไหนเป็นโสภณธรรม เมื่อเช้านี้ฟังธรรมหรือเปล่าค่ะ

คุณชาลี ฟังครับ

ท่านอาจารย์ ขณะนั้น คุณชาลีฟัง หรือว่าสติเกิด เป็นไปในการที่จะฟังธรรม ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่น ถ้าคิดถึงอย่างอื่น ไม่ใช่สติ แต่ขณะใดที่ระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม คือ การที่จะเข้าใจธรรม มีการฟังธรรม ขณะนั้น เพราะสติเกิด เป็นสติเจตสิก พอจะเข้าใจใช่ไหมค่ะ แต่รู้ลักษณะของสติหรือเปล่า

คุณชาลี คิดว่ายังไม่รู้ครับ

ท่านอาจารย์ รู้ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวนี้ก็มีสติเจตสิกเกิดกับจิตที่เป็นโสภณ แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรม แต่ละลักษณะ ขณะนั้นจะไปรู้สติ ซึ่งเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็วมากได้ไหม

เพราะว่าแม้ขณะนี้เอง สภาพธรรมที่ปรากฏ เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สภาพเห็นถูกต้องไหมค่ะ แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่สงสัย ถูกต้องไหมค่ะ แต่สภาพเห็นสงสัยไหมค่ะ

คุณชาลี สภาพเห็นไม่สงสัย

ท่านอาจารย์ รู้ลักษณะเห็นหรือเปล่า กำลังเห็นนี้รู้ลักษณะที่เห็นหรือเปล่า ไม่ใช่ชื่อเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เป็นธาตุที่กำลังเห็น รู้ลักษณะของธาตุที่กำลังเห็นหรือยังค่ะ

คุณชาลี ถ้าสภาพเห็นอาจจะยังครับ

ท่านอาจารย์ ก็แสดงให้เห็นว่า สติขั้นฟังมี แต่สติที่จะรู้ถึงลักษณะของสภาพเห็น ถึงเฉพาะลักษณะที่เห็น ยังไม่เกิดขึ้น ก็มีความสงสัยลักษณะของสติ แต่ว่าเราเรียนชื่อลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมด กุศลธรรมชื่อหรือเปล่าค่ะ แต่ไม่รู้ว่าสภาพธรรมใดขณะนี้เป็นลักษณะของกุศลธรรม หิริก็มี โอตตัปปะก็มี สัทธาก็มี ก็เป็นธรรมฝ่ายดี ก็ไม่ปรากฏให้รู้ได้ เพราะว่าสภาพธรรมนี้เกิดแล้วดับไปอย่างเร็วมาก แต่ว่าเมื่อได้ฟังว่าธรรม

ขั้นแรกก็คือว่าขณะนี้ เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า? เห็นเป็นธรรม ตอบได้ แต่ลักษณะของธรรมคือสิ่งที่มีจริง แม้มีจริงปรากฏ " อวิชชา " ไม่สามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงได้ จนกว่าการฟัง เริ่มจะเข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อย เป็นผู้ที่ตรง เพราะปัญญายังไม่ถึงการที่จะประจักษ์แจ้ง ธาตุเห็นซึ่งเกิดดับและสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เพียงปรากฏ แต่ลักษณะที่เกิดดับก็ยังไม่ปรากฏ แสดงว่าปัญญาของผู้ที่เริ่มฟังกับผู้ที่อบรม จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงของธรรม รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ทุกขอริยสัจจะ หมายความถึงการเกิดดับของสภาพธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเที่ยง หรือว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสุข พอใจอยู่เรื่อยๆ ที่จะมีสิ่งนั้น จนกระทั่งเมื่อไร คลายการยึดมั่น ความพอใจต้องการในสังขารธรรมทั้งหลาย คิดดูนะค่ะ สังขารธรรมทั้งหลาย หมายความถึงสภาพธรรมทั้งหมด ที่เกิดปรากฏแล้วดับไป เป็นความรู้ระดับไหน ที่จะน้อมไปสู่ธาตุ ที่ไม่มีการเกิดอีกเลย ถ้าไม่มีการเกิดนะค่ะ จะต้องเจ็บไข้ไหมค่ะ จะต้องหิวไหม จะต้องเสียใจไหม จะต้องเป็นทุกข์ไหม ไม่ต้องเดือดร้อนใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าไม่สามารถจะเป็นอย่างนั้นได้เลย แม้ว่ากำลังฟังค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง ฟังเพื่อเห็นถูกว่าเป็นธรรมก่อน

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เป็นสติเพียงขั้นฟัง แต่ไม่ใช่สติที่กำลังรู้เฉพาะลักษณะของธรรม ลักษณะ ขณะนี้มีแข็งไหม ยังไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะแข็งว่าเป็นลักษณะหนึ่ง ที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ และจากการฟังก็ทำให้รู้ว่าไม่มีใครไปทำให้แข็งเกิดได้ แต่เมื่อมีธาตุที่รู้แข็ง เพราะแข็งนั้นเกิดปรากฏและแข็งก็ดับ ทั้งธาตุที่รู้แข็งก็ดับเร็วมาก นี่คือการที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจ ทุกคนรู้จักแข็ง แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม แล้วไม่รู้ว่าเกิดดับ ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่เพียงปรากฏให้รู้ได้ทางกายเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่จะสำคัญเลย เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถจะปรากฏความเป็นธาตุแข็ง เมื่อกระทบสัมผัสแล้วก็ดับไป นี่คือหนทางที่จะละคลายความไม่รู้ ความติดข้องในสิ่งที่ไม่เคยรู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา ขณะใดที่รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมก็ต่างกับขณะที่ฟังเข้าใจ ก็เป็นสติอีกขั้นหนึ่ง แล้วจริงๆ ขณะนั้นก็คือสติปัฏฐาน เพราะว่ามีลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง เป็นที่ตั้งของสติที่กำลังรู้เฉพาะลักษณะนั้น เพื่อปัญญาจะได้เห็นถูกว่าไม่มีเราเลย และไม่มีโลกใดๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๖ ทั้ง ๕ โลก ทางตา หู จมูก ลิ้น ไม่ปรากฏเลย มีแต่สิ่งที่ปรากฏทางกายถ้าเป็นปัญญาที่รู้ชัด ก็จะรู้ว่าสิ่งนั้นสามารถรู้ได้ทางใจด้วย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 27 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 27 ส.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณ
วันที่ 27 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 5 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chaweewanksyt
วันที่ 16 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 27 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ