คนมักมุ่งสติเกิดแต่ลืมเรื่องเข้าใจ

 
เมตตา
วันที่  15 ส.ค. 2552
หมายเลข  13198
อ่าน  1,169

วันนี้มีชาวพม่า ๓ ท่าน กับชาวต่างชาติอีกหลายท่านมาสนทนากัน ชาวพม่า ๓ -

ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านได้นั่งสมาธิทำอานาปานะ รู้ที่ลมหายใจ เป็นหนทางลัดที่จะให้

มีสติรู้ที่กายของท่าน แล้วจะมีปัญญาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อ

ถามท่านว่าขณะนี้มีธรรมะกำลังปรากฏอยู่ ขณะเห็นเป็นธรรมะ สิ่งที่กำลังปรากฏกับจิตเห็นเป็นธรรมะ ท่านก็ยังสับสน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม ยังไม่

มีความเข้าใจแม้ปริยัติสัทธรรม ท่านกล่าวว่าในชีวิตประจำวันท่านเจริญสติไม่ได้ ต้องไปสู่สถานที่สงบเพื่อนั่งสมาธิ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วจะเกิดสติรู้ที่กายนี้

รู้เวทนาที่เกิดขึ้นว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

เชิญสหายธรรมร่วมสนทนา เพื่อเป็นปะโยชน์แก่ท่านที่มุ่งสติเกิดแต่ลืมที่จะเข้าใจ

ความจริงของธรรมะที่มีอยู่จริงๆ ที่กำลังปรากฏ

ขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
กิเลสเน่าหนา
วันที่ 16 ส.ค. 2552

ทางลัดไม่มีครับ วิธีก็ไม่มี มีแต่สภาพธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ความคิดที่จะฟัง

ธรรมก็มีเหตุปัจจัยให้เกิด การที่จะไปทำอานาปาก็เกิดจากความไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ

แล้วไปทำ ก็มีแต่ความไม่รู้เป็นผลอยู่นั่นเอง แล้วก็คิดว่าเข้าใจเป็นมิจฉาญาณ ดังนั้น

ควรเริ่มต้นจากการไม่ต้องไปทำอะไรโดยไม่เข้าใจอะไร แต่เริ่มจากการฟังธรรมจนกว่า

จะเข้าใจว่าธรรมมะคือสิ่งใด ก็จะไม่มีการไปทำอะไร แต่สติจะเกิดจากความเข้าใจเอง

จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 16 ส.ค. 2552

คุณเมตตาถามท่านว่าขณะนี้มีธรรมะกำลังปรากฏอยู่ ขณะเห็นเป็นธรรมะ สิ่งที่กำลัง

ปรากฏกับจิตเห็นเป็นธรรมะ ท่านก็ยังสับสน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรมแต่ถ้าคุณเมตตาถามผม ผมจะตอบว่า ขณะเห็นนั้นเป็นปรมัตถ์ นามรู้รูป ๑๗ ขณะจิตกิเลสกับรูปปรมัตถ์ที่ชวนจิต ๗ ขณะ และสิ่งที่ปรากฏกับจิตต่อมาทางมโนทวารเป็นคิดนึกคือบัญญัติ ก็ทำให้เกิดกิเลสกับรูปบัญญัติอีกต่อมาด้วยผมมีความเข้าใจปริยัติสัทธรรม ไหมครับ คุณเมตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 16 ส.ค. 2552

การเจริญสติปัฏฐาน ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดเวลา อยู่ที่ไหนสติก็เกิดได้ และเป็น

หนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้สิ้นอาสวะกิเลส ต้องอาศัยการฟังธรรม การพิจารณา

ธรรม ปัญญาจึงจะเจริญขึ้น และจะรู้ว่าไม่มีใครกำหนด มีแต่ปัญญาทำหน้าที่เองค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Pongpat
วันที่ 17 ส.ค. 2552

หลายท่านที่เคยสนทนาด้วย ท่านจะบอกว่าการดับทุกข์มีหลายทางตามจริต

แต่จริงๆ แล้วเรื่องจริตเป็นเรื่องของสมถภาวนา เพื่อข่มกิเลสตามอัธยาศัยที่สะสมมา

ให้ระงับลงพอที่จะอยู่อย่างเป็นสุขชั่วคราว ซึ่งไม่ใช่การดับกิเลสอย่างเด็ดขาด

ส่วนท่านที่บอกว่าการดับทุกข์เพื่อพระนิพพานมีหลายทาง ยิ่งเป็นการคัดค้านพระ

พุทธพจน์ เพราะว่ามีหนทางเดียวเท่านั้น คือ สติปัฏฐาน (อบรมเจริญปัญญาเพื่อสติ

ปัฏฐานเกิด)

หลายท่านเปรียบนิพพานกับสถานที่ต่างๆ ว่าสามารถไปได้หลายทาง แต่ความจริง

แล้วนิพพานไม่ใช่สถานที่ คนละเรื่องกับการเดินทางของชาวโลก

เพราะไปสถานที่ต่างๆ ก็เพื่อได้ แต่ไปนิพพานเพื่อดับไม่มีเหลือ จึงมีแค่ทางเดียว

จริงๆ คือปัญญา

ถ้าจะมีการทำหรือมีวิธีการตามจริต หรือเลือกทำแนวใดแนวหนึ่ง อารมณ์ใดอารมณ์

หนึ่ง นั่นเป็นทางไปที่ผิด เพราะเข้าใจผิด

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 18 ส.ค. 2552

ขณะใดที่รู้ตรงสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นสติปัฏฐาน
ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในการฟังธรรม เป็นสติระดับหนึ่ง
เป็นกุศลจิต
ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
suwit02
วันที่ 20 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ