แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 912

เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญเมตตา ต้องทราบว่า ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พึงแผ่ไมตรีจิตในสัตว์ทั้งหลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีวามสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ เป็นผู้สะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง ผอมหรือพี และสัตว์เหล่าใดมีกายยาวหรือใหญ่

กำลังจะท่องกันตามนี้ใช่ไหม ปานกลางหรือสั้น จะท่องกันตามนี้เลย

ที่เราเห็นแล้วหรือมิได้เห็น อยู่ในที่ไกลหรือที่ใกล้ ที่เกิดแล้วหรือแสวงหาที่เกิด กำลังจะท่องให้ครบหมดอย่างนั้นหรือคือการอบรมเจริญเมตตา นั่นคือเมตตา หรือท่อง แต่เมตตาจะเกิดเวลาเห็น สำหรับผู้ที่เริ่มจะอบรม หรือว่าเวลานึกถึง เช่น ผอมหรือพี กายยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น นี่รวมหมด แต่เวลาที่ท่านโกรธ จะโกรธคนผอมหรือคนอ้วน ท่านจะโกรธคนที่มีกายยาวหรือใหญ่ จะโกรธคนที่มีกายปานกลางหรือสั้น ท่านต้องนึกแบบนี้ไหม หรือจะต้องท่องว่า นี่ผอมหรือพี ปานกลางหรือสั้น ยาวหรือใหญ่ในขณะนั้นหรือเปล่า หรือว่าสติเกิด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จะเป็นคนอ้วน จะเป็นคนผอม จะเป็นสัตว์หนึ่งสัตว์ใดก็ตามแต่ ในขณะที่กำลังเห็นและจะโกรธ ควรเจริญเมตตา คนที่ท่านโกรธเป็นคนผอมมีไหม เป็นคนอ้วนมีไหม เป็นคนปานกลางมีไหม เป็นคนสูงมีไหม เป็นคนต่ำมีไหม ในขณะนั้นทั้งหมดทีเดียว ไม่ใช่มานั่งท่อง

ผู้ฟัง ช่วงนี้สำคัญ ที่อาจารย์บอกว่า เวลาจะโกรธคนประเภทไหนก็ตาม ขณะที่โกรธนั้น อาจารย์บอกว่า ให้นึกถึงส่วนที่เป็นความดีของเขา

สุ. อะไรก็ตามที่จะทำให้กุศลจิตเกิด แล้วแต่ว่าในขณะนั้นสามารถที่จะระลึกถึงส่วนใดหรือเรื่องใดที่จะทำให้กุศลจิตเกิด ย่อมเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศล เพราะนึกถึงส่วนที่ดีได้ ถ้านึกถึงอกุศลของคนนั้น จิตใจย่อมโกรธใช่ไหม ถ้าท่านยังไม่ได้อบรมเจริญกุศลพอ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลแล้ว จะเกิดเมตตา หรือกรุณา เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ความโกรธของท่านจะให้ผลแก่ตัวท่าน ความโกรธของเขา เขาก็ได้รับผลไป ทำไมจะต้องไปโกรธเขาด้วย ในเมื่อเขาก็ได้รับผลของความโกรธของเขาอยู่แล้ว

ผู้ฟัง อย่าว่าแต่ได้พบ ได้เห็น ได้ฟังก็ยังไม่พอใจ

สุ. ต้องเจริญให้มาก แต่อย่าท่อง เพราะถ้าท่อง ท่านก็นึกเป็นคาถาตามลำดับอย่างนี้ กุศลจิตก็ไม่เกิดเพราะคาถาที่ท่อง และเวลาเห็นคนที่จะโกรธ ก็โกรธ

ผู้ฟัง ผมเคยช่วยเหลือเพื่อนรุ่นน้องที่อ่อนกว่าผมราว ๒๐ ปี เขาเริ่มตั้งตัวใหม่ แล้วถูกขโมยสินค้าไปมากมาย ผมรู้สึกสงสารและเห็นใจเขา โดยที่เขาไม่ได้ขอร้องให้ช่วยอะไร แต่ก็พูดเป็นนัยๆ ว่า ไม่มีเงินจะซื้อเครื่องมือหากินต่างๆ ผมก็ช่วยเงินไปไม่กี่พันบาทเท่าที่จะช่วยได้ แล้วก็ช่วยเขาซื้อของมาทำลูกกรงเหล็กต่างๆ บอกเขาว่า มีเงินแล้วค่อยจ่ายคืนทีหลัง เมื่อไรก็ได้ และผมยังแนะนำเพื่อนฝูงที่พอจะช่วยเหลือเขาได้ในเรื่องกิจการค้า ต่อมานานๆ เข้า ก็เงียบหายไป ไม่ได้จ่ายคืน และยังซื้อรถใหม่มาขับสบายๆ ที่เคยเมตตาก็หายไป เหมือนกับจะเป็นความโกรธขึ้นมาแทน ทำนองนี้

สุ. เขามีกรรมของเขาเองหรือเปล่า

ผู้ฟัง ตัวผมเองมากกว่า

สุ. ทำไมไม่คิดว่า เป็นกรรมของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม เมื่อเขามีกรรมเป็นของเขา เราเองก็มีกรรมเป็นของเรา ถ้าอกุศลจิตเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้รับผลของอกุศล

ผู้ฟัง ถ้าไม่มีหลักธรรมมาคิดว่า เป็นกรรมของเรา คงยุ่ง คงจะเข็ดจนตาย

สุ. ควรจะคิดอย่างไร ข้อความใน ขุททกนิกาย ชาดก อนนุโสจิยชาดก ข้อ ๖๑๐ – ข้อ ๖๑๓ มีข้อความว่า

นางสัมมิลลหาสินีผู้เจริญได้ไปอยู่ในระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก เมื่อนางไปอยู่กับสัตว์เหล่านั้น จักชื่อว่าได้เป็นอะไรกับเรา เพราะฉะนั้น เราจึงมิได้เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินีที่รักนี้

อีกไม่นานก็อยู่คนละโลกกับเขาแล้ว ไม่ทราบว่าจะช้าหรือเร็ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรจะไปผูกโกรธเอาไว้เลย ที่จะไปคิดถึงทั้งที่เป็นที่รักหรือที่ชัง เพราะว่าคนที่ตายไปแล้วได้ไปอยู่ในระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหน ก็ไปเป็นบุคคลใหม่กับพวกใหม่ ไม่ใช่พวกเก่าด้วยกันแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านผู้นี้กล่าวว่า เมื่อนางไปอยู่กับสัตว์เหล่านั้น จักชื่อว่าได้เป็นอะไรกับเรา ไม่ได้เป็นอะไรกันอีกต่อไปแล้ว เราจึงมิได้เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินีที่รักนี้ ไม่มีประโยชน์เลยที่จะผูกพันไว้ หรือว่าที่จะเศร้าโศก

ข้อความต่อไปมีว่า

ถ้าบุคคลจะพึงเศร้าโศกถึงความตายอันจะไม่เกิดมีแก่สัตว์ ผู้เศร้าโศกนั้น ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตน ซึ่งจะต้องตกไปสู่อำนาจของมัจจุราชทุกเมื่อ

สัตว์ที่ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่ อายุสังขารหาได้เป็นไปตามด้วยไม่ วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะที่หลับตาและลืมตา

เพราะวัยเสื่อมไปอย่างนั้นหนอ อัตภาพย่อมบกพร่อง หนทางที่คนเดินเมื่อต้องมีความพลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ ควรมีเมตตาเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรจะต้องเศร้าโศกถึง

จบ อนนุโสจิยชาดกที่ ๘

สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ ที่ยังเห็นๆ กันอยู่ ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ด้วยกัน ยังไม่ได้ไปที่อื่น เพราะฉะนั้น ควรที่จะเมตตาเอ็นดูกัน ชั่วระหว่างที่ยังเหลืออยู่ด้วยกันในโลกนี้ เพราะคนที่ตายไปแล้วก็จากไปๆ อยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ส่วนที่ยังเหลืออยู่ด้วยกัน ก็ควรจะเอ็นดูกัน

สำหรับข้อความที่ว่า สัตว์ที่ยืน ใครก็ตามที่เห็น ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่ ในขณะนี้ อายุสังขารหาได้เป็นไปตามด้วยไม่ เพราะยังเห็นเหมือนคนยืนอยู่ ยังเห็นเหมือนยังเดินอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ แต่ตามความเป็นจริง อายุสังขารหาได้เป็นตามด้วยไม่ เพราะสภาพธรรมที่จะนั่งอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ ไม่มี เกิดขึ้นและดับไปทุกขณะอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เห็นว่า ยังนั่งอยู่ หรือว่ายังนอนอยู่ หรือว่ายืนอยู่ หรือว่ายังเดินอยู่ แท้ที่จริงแล้ว ทุกขณะเกิดและดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะที่หลับตาและลืมตา

ดูเหมือนว่าจะเร็ว ชั่วขณะที่หลับตาและลืมตา แต่ยังช้ากว่าความเกิดดับของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทั้งนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังเกิดดับอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อต้องมีความพลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่ ควรมีเมตตาเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรจะต้องเศร้าโศกถึง

ที่ว่าควรจะคิดอย่างไร ก็มีทางที่จะคิดได้หลายอย่างที่จะทำให้เกิดเมตตาต่อกันและกันได้ ที่ว่าเหลืออยู่ ไม่ทราบว่าจะเหลืออยู่ด้วยกันอีกสักกี่วัน กี่เดือน กี่ปี อาจจะเป็นชั่วขณะวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่เหลืออยู่ เพราะฉะนั้น อย่าโกรธกันเลย

ถ. อาจารย์พูดข้อความหนึ่งว่า ปัจจุบันนี้เราเป็นอย่างนี้ มีมิตรสหายอย่างนี้ เราละจากโลกนี้ไปแล้ว เกิดที่ใหม่ ก็มีมิตรสหายใหม่ มีพวกใหม่ อย่างนี้ใช่ไหม

สุ. ใช่

ถ. ผมเคยพิจารณา เคยคิดอยู่ว่า สิ่งที่เราเคยหลงรัก ไม่ว่าผู้หญิงหรือสิ่งของ หรือว่าอะไร บางครั้งคิดแล้วไม่น่ายินดี เพราะว่าจากกันไปแล้ว ไม่รู้จะเป็นของใคร หรือเป็นอะไร ไปหลงยินดียึดถือเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง หรืออะไรก็ตาม ประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น คิดแล้วทำให้เห็นว่า หนทางการเจริญสติปัฏฐานประเสริฐที่สุด เพราะสิ่งที่เราหวงแหนที่สุดในเรื่องกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ ไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อจากกันไปแล้ว ไม่รู้ใครเป็นใคร ภพใหม่จะเป็นของใคร ไม่ได้เจอกัน คนละชั้น คนละภูมิ ก็น่าจะทำให้ละคลายการยึดถือ และทำให้เห็นทางไปสู่นิพพานมากขึ้น

สุ. ชั่วขณะที่คิดอย่างนั้น ก็เป็นคิดถูกในขณะที่กำลังคิด แต่ต้องละเอียดยิ่งกว่านั้น เรื่องของการที่จะเห็นโทษของอกุศล ควรจะเห็นให้ละเอียดและลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น โดยสติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที เห็นโทษของทั้งโลภะ โทสะ และโมหะด้วย ถ้าตราบใดยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามความเป็นจริง อย่าเห็นโทษง่ายๆ โดยการเพียงแต่บอกว่าเป็นโทษ แต่ควรจะเห็นโทษให้จริงและลึก โดยที่ว่าสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่ไม่เคยรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน และศึกษา พิจารณา สังเกต จนกระทั่งเป็นความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น นั่นจึงจะชื่อว่าเห็นโทษของโมหะ ความไม่รู้ ซึ่งเป็นมูลให้เกิดโลภะ และโทสะจริงๆ

ผู้ฟัง โทษของโมหะที่อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ หรือว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เท่าที่เห็น หรือเกิดกับตัวเรา บางคนทำทุกอย่างแม้ว่าจะทุจริตเพื่อบุคคลที่ตนรัก จะเป็นบุตรธิดา หรือภรรยา หรือคนที่ชอบที่สุด โดยที่ตัวเองต้องทุกข์ยากต่างๆ นานา บางทีบุตรธิดาทำไม่ดี ก็เจ็บช้ำน้ำใจ และเมื่อตายจากกัน ก็ไปคนละทิศละทาง จะทำไปทำไม

สุ. คิดอย่างนี้ ก็คงไม่ได้คิดได้ตลอด หรือคิดได้บ่อยๆ เพราะฉะนั้น กุศลจึงควรเจริญทุกประการ พร้อมทั้งการเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน และให้เข้าใจ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ขอให้มีเหตุผล อย่างในเรื่องของคาถา เห็นหรือยังว่า จุดประสงค์ของการที่จะท่องเป็นคาถานั้นเพื่ออะไร

ผู้ฟัง ผมเข้าใจว่า เหมือนกับว่า ตัวเราไม่ปรารถนาความทุกข์ต่างๆ ก็ไม่ปรารถนาให้ตัวเองทำทุจริตให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน พร้อมกันนั้นปรารถนาให้คนอื่นเหมือนกับเรา ที่เราคิด ที่เราประพฤติอยู่ เพื่อความสุขโดยทั่วไป คือ ไม่มีจำกัด

สุ. เคยได้ฟังคาถา นะเมตตา ไหม เพื่ออะไร

ผู้ฟัง แต่ก่อนนั้นเข้าใจว่า เพื่อให้คนรักใคร่หรือให้เขาเห็นใจ

สุ. เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นผู้ที่ประกอบด้วยเหตุผลจริงๆ จะเห็นได้ว่า คาถานั้นเพื่อประโยชน์ของตน โดยต้องการผลที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น จะต้องพิจารณาเรื่องของคาถาให้ละเอียดจริงๆ ว่า แต่ละคาถาที่ท่านเคยท่อง หรือว่ายังท่องอยู่ เพื่อประโยชน์อะไร เพื่อตัวเอง เพื่อที่จะให้มีคนนิยมรักใคร่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการหวังผลจากคาถาที่ท่อง ไม่ใช่เป็นการที่จะสงบจากโลภะ โทสะ โมหะ และยังมีคาถาอีกมากมายใช่ไหม มีคาถาอื่นๆ อีกมาก ซึ่งท่านควรที่จะได้ทราบจริงๆ ว่า แต่ละคาถานั้นเพื่อประโยชน์อะไร เพื่ออกุศล หรือเพื่อกุศล ส่วนใหญ่จะเพื่ออะไร ถ้าจะเพื่อให้จิตสงบ ก็ไม่สงบ เพราะไม่ได้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะที่จะรู้สภาพของจิตในขณะที่ท่อง

ถ. คำว่า ท่อง ไม่ใช่ท่องอย่างแบบว่า สัตว์ทั้งหลายอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ ท่องไปอย่างนั้น เหมือนอย่างเด็กๆ ที่อ่าน ก. ข. เหมือนร้องเพลง แต่ไม่รู้เนื้อความ ไม่รู้ความหมาย ผมเข้าใจว่า จุดประสงค์ที่ถูกต้อง คือ ให้เข้าใจว่าประโยชน์อยู่ที่ไหนขณะที่ท่อง ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหม

สุ. เพราะฉะนั้น การท่องคาถามีมาแต่โบราณกาล และท่านผู้ใดที่ยังไม่ได้พิจารณาเหตุผล ก็ยังคงเพียรท่องอยู่ตามที่เคยได้ยินได้ฟัง หรือว่าตามที่ได้รับการสอนมาว่าให้ท่องคาถานั้นบ้าง คาถานี้บ้าง แต่อย่าลืมว่า การสวดก็ดี การท่องก็ดี แม้แต่การสวดพระอภิธรรมในงานศพ เพื่ออะไร เพื่อให้ฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าเพื่ออะไร

เพราะฉะนั้น ถ้ายังคงไม่ได้พิจารณาในเหตุผลว่า แท้ที่จริงเพื่อเตือนให้ศึกษา ให้รู้เรื่อง เมื่อยังไม่รู้เรื่อง ก็จะได้มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นรู้ว่า ไม่รู้เรื่องก็ควรที่จะได้ศึกษาให้เข้าใจ ให้รู้เรื่อง นั่นคือประโยชน์ จุดประสงค์ของการสวด ฉันใด แม้แต่เรื่องของการที่จะอบรมเจริญเมตตาก็เหมือนกัน จะได้ยินได้ฟังมาอย่างไรก็ตาม ให้เป็นคาถาอย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ คือ เมื่อไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องในลักษณะสภาพของเมตตา ก็ควรที่จะได้พิจารณาศึกษาให้เข้าใจในลักษณะของเมตตาเพื่อที่จะได้เจริญเมตตาขึ้น ไม่ใช่ยังคงเก็บไว้ในลักษณะที่ว่า ท่องไปโดยที่ไม่รู้เรื่อง หรือว่ายังไม่เข้าใจประโยชน์อย่างแท้จริงว่าท่องทำไม ไม่ว่าจะเป็นการสวด หรือไม่ว่าจะเป็นคาถาก็ตาม และถ้ายังคงสวด และเก็บความไม่รู้เรื่องต่อไป ก็ไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการสวดหรือการฟัง

ถึงแม้เมตตาที่พระผู้มีพระภาคตรัสแสดงไว้ ก็จะต้องศึกษาให้เข้าใจลักษณะของเมตตาที่ทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง ซึ่งการที่เมตตาจะมีกำลังขึ้น ก็ต่อเมื่ออบรมเจริญเมตตาให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่าท่องนานๆ เข้า เมตตาจะมีกำลังขึ้น แต่หมายความว่า เมื่อมีความเข้าใจ เมตตาเกิดบ่อยๆ ขึ้น เมื่อนั้นเมตตาจึงมีกำลังขึ้น

ถ. ผมจำได้สมัยเด็กๆ พ่อเคยให้ท่องหนังสือ ท่องได้หมดทั้งเล่มแต่ไม่รู้ว่า ความหมายเป็นอย่างไร เหมือนกับการท่องเมตตา ท่องไปอย่างนั้น ความหมายไม่รู้ จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

สุ. แน่นอน ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงว่า เพื่ออะไร ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง เหมือนอย่างถ้าจะมีคนบอกให้ท่านผู้ฟังอบรมเจริญปัญญาโดยการท่องว่า เห็นๆ ได้ยินๆ คิดๆ ให้ท่องอย่างนี้ตลอดชีวิต จะเป็นการอบรมเจริญปัญญาขึ้นหรือเปล่า

แต่เมื่อใดมีการฟังให้เข้าใจเรื่องของการเห็นเพิ่มขึ้น และรู้ว่า การที่จะรู้ชัดในลักษณะของการเห็นที่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษา ได้เข้าใจ ก็เพราะสติระลึกได้ว่า เป็นสภาพที่รู้ มีสภาพรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ เวลาที่เกิดขึ้นขณะใด สภาพนั้นเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้ แล้วแต่ว่าจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หรือว่ารู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางหู หรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางจมูก หรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางลิ้น หรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางกาย หรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางใจ ไม่ใช่ท่องว่า เห็นๆ แต่เข้าใจว่า เห็นคืออะไร โดยรู้หนทางที่จะทำให้เข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพเห็นที่กำลังปรากฏ และอบรมเจริญการระลึกรู้ลักษณะของการเห็น แต่ไม่ใช่หมายความว่า ทุกท่านจงท่องกันไปว่า เห็นๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่การอบรมปัญญาให้ยิ่งขึ้น

ถ. ทุกวันนี้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายทำวัตรเย็น ท่านก็สวดมนต์ไป จุดประสงค์ในการสวดมนต์ของท่านอยู่ที่ไหน

สุ. เพื่อเข้าใจ ไม่ว่าท่านจะสวดเรื่องของความไม่เที่ยงของรูปขันธ์ ความไม่เที่ยงของเวทนาขันธ์ ความไม่เที่ยงของสัญญาขันธ์ ความไม่เที่ยงของสังขารขันธ์ ความไม่เที่ยงของวิญญาณขันธ์ ความไม่ใช่ตัวตนของรูปขันธ์ ความไม่ใช่ตัวตนของเวทนาขันธ์ ความไม่ใช่ตัวตนของสัญญาขันธ์ ความไม่ใช่ตัวตนของสังขารขันธ์ ความไม่ใช่ตัวตนของวิญญาณขันธ์ เป็นการที่จะให้ระลึกรู้ลักษณะของรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ที่กำลังปรากฏว่า ไม่เที่ยง

เปิด  166
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565