จะเปลี่ยนนิสัยใครได้ไหม


    แต่ละคนก็แต่ละการสะสม แต่ละอัธยาศัย ในพระไตรปิฎกก็มีข้อความว่า เพียงแต่นั่งฟังต่อไป เขาก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แล้วมีคนสงสัยว่า ทำไมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอก ไม่ห้าม ไม่ให้เขาไป พระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้งการสะสมยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น ยุคปัจจุบันบางท่านก็อาจจะมีมิตรสหายที่กินเหล้าเมายา มีติดอบายมุข แล้วเขาก็รู้เพราะได้ฟังพระธรรม แต่อาจจะคล่องมาก พูดได้เลย แต่ก็ยังเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ ตรงกับที่ตรัสว่า ถ้าบุคคลนั้นจะนั่งต่อไปเพียงชั่วครู่ เขาก็จะได้เป็นพระโสดาบัน มีปัจจัยที่ทำให้เป็นอย่างนั้น เหมือนกับคนที่ว่า ถ้าเขาไม่กินเหล้าเมายา ไม่ทำให้จิตใจเสื่อมถอยจากการรู้ และเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง โดยสามารถไตร่ตรองให้เข้าใจขึ้น เขาก็สามารถจะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่สามารถบังคับการสะสมที่สะสมมาแล้ว

    เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เป็นมิตรสหายที่ดีของคนนั้น ก็รู้ว่า ช่วยทุกอย่าง แต่ได้ไหม อยู่ที่การสะสมของบุคคลนั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ทำอะไร แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงการสะสมที่มีกำลัง เป็นปกตูปนิสัยปัจจัยของบุคคลนั้นได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เห็นอยู่กับตา ก็ยังช่วยไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญาเท่านั้นที่มีกำลังขึ้น ก็ต่อเมื่อมีการสะสม แล้วไม่ใช่ขั้นระดับฟังเท่านั้น ฟังเพียงเป็นแนวทางให้รู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ความเป็นจริงคือเดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วเป็นเห็นแล้วก็ดับ คิดเกิดแล้วเป็นคิดแล้วก็ดับ อกุศลเกิดแล้วเป็นอกุศลแล้วก็ดับ

    นี่คือความจริงซึ่งเป็นแนวทางให้ค่อยๆ เห็นประโยชน์ว่า ความรู้สิ่งที่ถูกต้อง และเข้าใจมั่นคงขึ้นเท่านั้นที่เป็นปัจจัยทำให้มีการสะสมใหม่ ซึ่งการสะสมใหม่ก็ไม่แน่ก็ไม่แน่ว่า จะใช้คำว่า “รบราฆ่าฟัน” หรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่สะสมมามากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นชีวิตของคนที่สนใจธรรม หลากหลายมาก บางคนก็ฟังธรรม มีศรัทธามั่นคงจริงๆ ฟังแล้วเห็นประโยชน์ของการฟัง แต่กรรมที่ได้ทำไว้แล้วก็กั้น ไม่สามารถทำให้เป็นคนปกติที่จะเข้าใจธรรมอย่างคนอื่นได้ในชาตินั้น

    นี่แสดงให้เห็นว่า ประมาทไม่ได้เลย แม้อกุศลเพียงเล็กน้อย อย่างข้อความในพระสูตรที่แสดงก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า ถ้าเพียงนั่งฟังต่อไปอีกสักครู่ เขาก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ใครจะรู้ ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่ฟังธรรมก็มีการสะสมต่างอัธยาศัยมาก แต่เป็นผู้ไม่ประมาทก็รู้ว่า เพียงพลาดนิดเดียวก็ตกลงไปในเหวของอวิชชา และของความติดข้อง และของอกุศล ซึ่งยากจะขึ้นมาได้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะมีโอกาสได้ขึ้นมาจากอกุศล ต้องอาศัยกำลังของบารมี ที่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า เกิดมามีโอกาสได้ฟัง แล้วจะฟังไหม เมื่อมีโอกาสฟัง ต้องไตร่ตรอง เข้าใจเพื่อละความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางเดียว พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ ไม่น้อมพระทัยจะทรงแสดง ชั่วขณะที่เห็นความลึกซึ้งของพระธรรม ยากจะเข้าใจได้สำหรับผู้สะสมอัธยาศัยความติดข้อง และมีแต่ความไม่รู้ที่สะสมมานานแสนนาน แต่เพราะเหตุว่าบุคคลที่สะสมมาที่จะได้ฟัง ได้พิจารณา ได้อบรม ได้เข้าใจก็มี จึงทรงแสดงพระธรรม ซึ่งการแสดงพระธรรมในครั้งโน้นก็สืบทอดมาจนถึงในครั้งนี้ ซึ่งครั้งโน้นผู้มีโอกาสได้เฝ้าฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ เป็นผู้ได้สะสมบารมีมาพร้อมจะได้ฟัง พร้อมละความติดข้อง และความไม่รู้ สภาพธรรมจึงปรากฏตามความเป็นจริง จนกระทั่งปัญญาที่ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมก็สามารถจะละคลายจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่กว่าจะถึงวันนั้น แต่ละวันที่ผ่านมาแล้วในอดีตแสนโกฏิกัปป์ รวมทั้งชาตินี้ด้วย ก็เป็นปัจจัยที่มองไม่เห็นการปรุงแต่งของสังขารขันธ์เลย ในแต่ละวัน แต่ละขณะ เพราะเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้น จึงมีอัธยาศัยที่หลากหลาย

    เพราะฉะนั้น ปัจฉิมวาจาก็คือว่า ไม่ประมาท เพราะต้องนำไปสู่ความเสื่อมแน่นอน เป็นทางไปสู่ความตาย ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ


    หมายเลข 9687
    19 ก.พ. 2567