รอบรู้คืออย่างไร


    อ.อรรณพ รอบรู้คืออย่างไร รอบรู้ในธรรมคืออย่างไร การจำชื่อหรือจำนวนของหมวดธรรมต่างๆ ได้ เป็นการรอบรู้หรือไม่ และการรอบรู้ในสิ่งที่ปรากฏขณะนี้จะเป็นประโยชน์อย่างไร

    จากการสนทนา “ทุติยสุริโยปมสูตร” และ “อรหันตสูตร” ที่ มศพ. ๑๙ พ.ค. ๒๕๕๕

    ท่านอาจารย์ ปริยัติคือความรอบรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ถ้าเราบอกว่า ทุกขอริยสัจจะมี ๑๖๐ เรารอบรู้อะไรหรือเปล่า การรอบรู้ต้องหมายความว่า ฟังธรรมเข้าใจลักษณะของธรรม เช่น จิตเห็นขณะนี้มี เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่ใช่อื่นเลย ไม่ใช่ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถรอบรู้ คือเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็รู้ด้วยว่า เกิดเพราะเหตุปัจจัยแน่นอน และปัญญาของใครสามารถรู้ปัจจัยอะไรได้บ้าง เราต้องรู้กำลังปัญญาของเราว่า เมื่อเทียบกับบุคคลในครั้งพุทธกาล พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ในสมัยโน้นกับแม้คนกำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้ แค่นี้ห่างไกลกันแค่ไหน ไม่ต้องกล่าวถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟ้ากับดินก็ยังใกล้ ต่อให้จักรวาลเท่าไรก็ยังไม่สามารถคำนึงถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แล้วเราได้ฟังธรรม ได้เข้าใจ ได้ค่อยๆ เข้าใจเพื่อรอบรู้ในความเป็นธรรม แต่เราจะไม่รอบรู้ในความเป็นธรรม เราจะไปเอาจำนวนมารอบรู้ เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ รอบรู้ในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ที่ได้ฟังแล้วฟังอีก จนสามารถค่อยๆ เห็นความจริงว่า เป็นธรรม เพราะจุดประสงค์จริงๆ ไม่ใช่เพียงพูดว่า ธรรม ยังไม่ต้องถึง ๑๖๐ เพียงแค่คำว่า “ธรรม” ความเข้าใจของเราจริงๆ ของเราแค่ไหน ผ่านหูแน่ จำคำนี้ได้แน่ จำชื่อได้แน่ แต่ลักษณะของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เป็นธรรมอย่างไร นี่ต้องอาศัยความรอบรู้

    เพราะฉะนั้น ปริยัติ คือ รอบรู้ในความเป็นธรรม ไม่ใช่ไปจำได้ว่า พระโสดาบันมีกี่ประเภท พระสกทาคามีเท่าไร ผู้เป็นพระอนาคามีในชั้นสุทธาวาสต่างกันเป็นกี่ประเภทเท่าไร นั่นไม่ใช่ความรอบรู้ แต่ความรอบรู้คือเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วได้ยินได้ฟังจนสัจญาณมีความมั่นคงว่า การที่จะเข้าใจแม้แต่คำที่พูดเพียงคำเดียวว่า “ธรรม” ก็ลึกซึ้ง และต้องอาศัยการละด้วย ไม่ใช่ติดข้องอยากจะรู้ก็ไปพยายามรู้ นั่นไม่ใช่การเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จากการฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง อันนี้จะมีประโยชน์มาก เพราะนำไปสู่การเข้าใจจริงๆ เป็นความรอบรู้ขึ้น รอบรู้ขึ้น จนกระทั่งเข้าใจความต่างของจิตว่า หลากหลายมากในแต่ละประเภท จะประมวลมา เรายังไม่ถึงมหากิริยาจิตหรืออะไรเลย เราเพียงได้ยินชื่อแล้วรู้ว่ามีจำนวนเท่านี้ จากผู้ตรัสรู้แล้วทรงแสดงว่า แม้จิตจะเป็นธาตุมีปัจจัยเกิดแล้วดับทันทีเลย ทำหน้าที่ของจิต คือเห็นก็ดับ ได้ยินก็ดับ หรือสัมปฏิจฉันนจิตก็ดับ สันตีรณจิตก็ดับ จิตทุกประเภทเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วดับ หลากหลายมากมายเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้น การที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่างมั่นคง เราก็สามารถจะรู้ได้ว่า ปัญญาของเรารู้ได้ระดับไหนที่เป็นความรอบรู้ เป็นความเข้าใจในแต่ละคำที่เราได้ยินโดยไม่ประมาท ไม่คิดว่า เราเข้าใจแล้วถึง ๑๖๐ แต่ที่พูดไว้ไม่ผิด แต่เรารู้ได้แค่ไหน แล้วที่สำคัญที่สุด รู้ไว้เพื่ออะไร บางคนอาจจะคิดว่า รู้จำนวน จำนวนนั่นแหละคือรอบรู้ แต่ไม่ใช่เลย ถ้าไม่ใช่ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ได้รอบรู้พอจะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นปฏิปัตติ จากปริยัติจะถึงปฏิปัตติ แล้วก็ถึงปฏิเวธได้


    หมายเลข 9439
    19 ก.พ. 2567