ผู้สร้างเรือน


    อ.อรรณพ ผู้สร้างเรือน อะไรคือเรือน อะไรคือผู้สร้างเรือน สร้างอยู่ในขณะนี้หรือ แล้วจะพบหรือรู้จักผู้สร้างเรือนได้อย่างไร

    จากการสนทนาพระสูตร “ปฐมโพธิกาล” ที่ มศพ. ๒ มิถุนายน ๒๕๕๕

    ท่านอาจารย์ พบนายช่างผู้สร้างเรือนไหมคะ แม้ได้ยินคำนี้ ซาบซึ้ง แต่ต้องละเอียด เดี๋ยวนี้ค่ะ มีเรือนหรือเปล่า ใครสร้าง ได้แต่ฟังแล้วก็เผิน แต่ความจริงทุกคำ ถ้าเข้าใจก็จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นปัญญาที่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะแต่ละคนก็เห็น แล้วก็มีสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดดับสืบต่อ ที่ใช้คำว่า “สังสารวัฏฏ์” ก็คือสภาพธรรมในขณะนี้เกิดแล้ว ดับแล้ว ก็เกิดอีก ดับอีก สืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย ไม่ได้หยุดเลยด้วย เป็นเรือน ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ แต่ใครสร้าง ไม่รู้เลย จนกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมว่า กว่าที่พระองค์จะรู้จักนายช่างผู้สร้างเรือนเดี๋ยวนี้ ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น พระธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ และความจริงของสิ่งที่มีจริงละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องอาศัยการฟังเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตน ฟังอย่างไร ฟังตรงไหน แล้วฟังมากแค่ไหน จึงจะเข้าใจ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ละคำที่ได้ฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง นั่นคือจากการไม่รู้ แล้วค่อยๆ รู้ มิฉะนั้นแล้วจะละกิเลส ละความไม่รู้ แล้วจะไม่เจอนายช่างผู้สร้างเรือน ถ้าไม่เข้าใจธรรมจริงๆ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำก็คือไม่เผินที่จะรู้ว่า ขณะนี้กำลังไม่รู้อะไร แล้วฟังเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ที่แล้วเมื่อไรจะเข้าใจ แล้วเมื่อไรจะประจักษ์ตามที่ได้ยินได้ฟัง แต่ฟังเพื่อละความไม่รู้ เพราะกำลังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ซึ่งเป็นการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะคำที่ได้ฟังต้องพิจารณาว่า เป็นวาจาสัจจะหรือเปล่า เป็นวจีสุจริตหรือเปล่า

    ยังไม่พบนายช่างผู้สร้างเรือน เพราะอะไรคะ เดี๋ยวนี้เอง ใครพบนายช่างผู้สร้างเรือน หรือว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีนายช่างผู้สร้างเรือน หายไปแล้ว ไม่มีเลย แต่เรือนก็ยังมี นายช่างผู้สร้างก็ยังมี ยังคงสร้างเรือนไปเรื่อยๆ เพราะว่าไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ เวลาฟังธรรม คือ วาจาสัจจะซึ่งเป็นวจีสุจริต คำพูดซึ่งไม่ทุจริต ไม่เป็นไปเพื่อความชั่ว หรือความไม่รู้ แต่เป็นไปเพื่อความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น วาจาที่จริง และเป็นวาจาสุจริตที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์ ก็ต้องวาจาที่อิงอาศัยอริยสัจธรรม พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้รู้ความจริงว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดแล้วดับ ซึ่งยากที่จะรู้ได้ แต่ไม่ใช่ให้ใครไปรีบรู้ แต่ฟังให้เข้าใจว่า จริงหรือเปล่า ถ้าจริง ก็ต้องรับว่า รู้แค่ไหน แล้วต้องฟังต่อไปอีกมากเท่าไร จึงสามารถละคลายความติดข้อง และสามารถประจักษ์ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าเป็นความจริง เพราะเหตุว่าสภาพธรรมขณะนี้กำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น การฟังไม่ทิ้งสิ่งที่ฟังแล้ว ฟังแล้วเข้าใจมั่นคงว่า เป็นความจริงอย่างนั้น แล้วเป็นผู้ตรงด้วยว่า ยังไม่ได้เข้าใจความจริงอย่างที่ผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งว่า ขณะนี้สภาพธรรมที่ปรากฏทีละหนึ่งเกิดแล้วดับ ไม่ใช่หลายๆ อย่างรวมกัน จะประจักษ์การเกิดดับของอะไร ก็ต้องเข้าใจความละเอียดของธรรมเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 9466
    19 ก.พ. 2567