ที่พึ่งสูงสุด


    อ.อรรณพ ที่พึ่งสูงสุด อะไรเป็นที่พึ่งอันประเสริฐที่นำความสุขที่แท้จริงมาให้ และจะมีสิ่งประเสริฐนั้นเป็นที่พึ่งได้อย่างไร

    จากการสนทนาพระธรรมวินัย วันวิสาขบูชา ที่ มศพ. ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕

    ท่านอาจารย์ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยการทรงแสดงธรรม จากการสะสมบารมีทำให้พระองค์ทรงรู้ว่า ณ ขณะนั้น วันนั้นใครจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมขั้นไหน

    ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่ได้สะสมความเข้าใจธรรมมาแล้ว พร้อมจะได้รับฟังพระธรรมเทศนา พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมที่เหมาะที่จะให้บุคคลนั้นมีความเห็นถูก เข้าใจถูก แม้แต่อริยสาวิตรี เป็นสิ่งที่นำความแช่มชื่นหรือความปีติอย่างสูงมาให้ เมื่อได้ฟังที่พึ่ง เพราะแสดงให้เห็นว่า การที่ได้เกิดมาแล้วใครจะมีความสุข ความปีติ เพลิดเพลินยิ่งดีอย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นก็หมดไป ไม่ยั่งยืน และไม่ใช่สิ่งที่นำความปีติ ความแช่มชื่น ความบันเทิง ความโสมนัสมาให้อย่างแท้จริง เพราะเหตุว่าเพียงแค่ชั่วคราว ชั่วครู่ชั่วยามก็หมดไป

    ด้วยเหตุนี้ถ้าเราเข้าใจถูกต้องว่า พระธรรมที่ทรงแสดงละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่ได้ยินคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็ยังสามารถรู้ว่า คำนี้ใครเป็นผู้กล่าว เมื่อไร และกล่าวกับใคร

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมอย่างละเอียด ก็ทำให้เห็นว่า จากผู้ที่ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็สามารถรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรม แล้วก็ดับกิเลสได้เป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไม่มีหนทางที่จะหมดกิเลส แต่จะหมดได้ด้วยการเป็นผู้ได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อน จึงมีโอกาสได้ฟัง แม้พราหมณ์ผู้นี้ก็ต้องได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อน จึงเป็นเหตุให้ได้ฟังพระธรรม และความเข้าใจที่ได้สะสมมาทำให้เข้าถึงความเป็นที่พึ่ง โดยมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีอย่างอื่นเป็นที่พึ่ง

    ฟังเท่านี้ก็ไม่พอ เพราะทุกคนพูดคำนี้บ่อยมาก วันนี้พูดแล้วหรือยัง วันก่อนๆ ก็ไม่ขอถึงใครเป็นที่พึ่ง นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงขอ แต่ยังไม่ได้เข้าใจเลยว่า พึ่งอย่างไร และพึ่งเพื่ออะไร

    เพราะฉะนั้น ก็ควรจะรู้ความจริงที่จะกล่าวคำนี้ด้วยความจริงใจว่า พึ่งด้วยการฟังพระธรรม ได้ฟังคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสสอนเวไนยสัตว์ คือ ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าถ้าพระองค์ตรัสรู้พระองค์เดียว เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียดเพื่ออนุเคราะห์บุคคลอื่น

    เพราะฉะนั้น การที่จะบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องนานกว่า และมากกว่าการดับกิเลส โดยเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ด้วยเหตุนี้แต่ละคำมีค่ายิ่ง มหาศาล ที่ไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็ผ่านไป แม้แต่ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ คำว่าเป็นที่พึ่งก็ผ่านไป พูดเองบ่อยๆ หลายครั้ง แต่เข้าใจ และจริงใจ และรู้ว่าพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพึ่งอย่างไร แต่วันนี้ก็ได้ทราบแล้วว่า พึ่งโดยการฟังพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ได้ยินคำว่า พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดกว่านั้นคือพึ่งอย่างไร พึ่งคำที่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา ๔๕ พรรษา เพื่ออะไรคะ ไม่ใช่เพื่อทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ หรืออะไรเลยทั้งสิ้น แต่เพื่อเป็นกัลยาณมิตร เป็นผู้ที่หวังดีต่อสัตว์โลกด้วยการตรัสวาจาสัจจะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกล่าวคำไม่จริงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นคำจริง แต่ความลึกซึ้งของคำที่ได้ฟังต้องตามระดับของความเข้าใจ มิฉะนั้นก็จะไม่มีความต่างระหว่างปุถุชนกับผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำมีความลึกซึ้ง เพื่อให้เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงถ่องแท้ ไม่เปลี่ยน เพราะเหตุว่าธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นที่สุดของความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครไม่สามารถเปลี่ยนลักษณะที่มีจริงนั้นได้เลย แต่สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ก็เป็นจริง แต่ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยฟังพระธรรมด้วยความเคารพที่ไม่เผิน แต่ละคำ ถ้าเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงก็จะถึงความลึกซึ้งของแต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทุกอย่างที่กำลังปรากฏ โดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้ผู้ได้ฟังมีโอกาสได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูกในสิ่งซึ่งแม้มีจริงตลอดทุกภพชาติ แต่ก็ไม่มีโอกาสรู้ความจริงนั้นด้วยตัวเอง

    ด้วยเหตุนี้การเป็นสาวก คือเป็นผู้ฟังพระธรรม แล้วไม่ประมาทในความลึกซึ้งของพระธรรมด้วย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จะพึ่งอะไร พึ่งพระธรรมที่ทรงแสดง พึ่งพระธรรมที่ทรงตรัสจากพระโอษฐ์ ๔๕ พรรษา และคำนั้นก็เป็นคำจริงทุกคำ

    เพราะฉะนั้น ได้ฟังคำจริง พึ่งคำจริงนั้นเพื่ออะไร นี่คือความละเอียดของการไตร่ตรอง จนกระทั่งเรารู้คุณค่าของการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม


    หมายเลข 9468
    19 ก.พ. 2567