คุ้มครองจิต


    ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริง ความเป็นจริงก็คือมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้จริงๆ หรือยัง ค่อยๆ น้อมไปเข้าใจถูกต้องว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว และขณะที่กำลังพอใจ ก็จริง เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราว

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทำอะไรเลย นอกจากเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการฟัง วันก่อนฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน ก็รู้ได้จากวันนี้ เข้าใจอย่างที่เข้าใจวันก่อนหรือเปล่า เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ หรือเปล่าว่า มั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ เห็นไหมคะ จริงๆ กับความไม่จริงก็ต่างกันแล้ว สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ก็คือเพียงปรากฏเท่านี้แหละชั่วคราว แต่ความไม่จริงก็คือไม่รู้ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับ แล้วคิดนึก แล้วจำรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วพอใจ เร็วกว่าที่จะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร คือเพียงแค่ปรากฏ ก็ไม่สามารถกั้นการสะสมความติดข้องซึ่งสะสมมานาน เกิดแล้ว ดับโดยที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ไม่ประมาทอกุศลซึ่งเกิดมากมาย แต่รู้ว่า การสะสมความเข้าใจคุ้มครองในขณะนั้นทำให้เข้าใจ อย่างบอกว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็เป็นเครื่องวัดความเข้าใจแล้ว คุ้มครองแค่ไหน ถ้าเริ่มเข้าใจจริงๆ การเริ่มละมีในขณะนั้น เริ่มคุ้มครอง เริ่มละ เริ่มคลาย จนกว่าสามารถน้อมไปสู่การไม่เกิด เพราะเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เกิด ใครก็ยับยั้งไม่ได้ เกิดแล้วทั้งนั้น แต่เกิดแล้วก็ดับหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว พูดอย่างธรรมดาชาวบ้าน คือ เกิดมากิน เกิดมานอน เกิดมาคิด เกิดมาทำเยอะแยะ แล้วก็หายไป ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะคิดอะไร ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเข้าใจว่า สำคัญอย่างไร แต่ความจริงก็คือว่า ต้องเป็นไปด้วยความไม่รู้ แล้ววันนี้ถ้าพูดถึงการเกิดมากิน กินมากใช่ไหมคะ เช้า อาจจะสาย มีน้ำชากาแฟคั่น แล้วกลางวัน แล้วบ่ายอีก แล้วเย็นอีก บางคนก็รับประทานก่อนนอน ยังไม่เท่าการติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วยังมีความคิดมากมาย เป็นเรื่องสำคัญทั้งนั้นเลย คิดทุกวัน คิดมากขึ้น เพิ่มขึ้นทุกวันด้วยจากเรื่องหนึ่งสั้นๆ ก็เป็นเรื่องยาวต่อไปมากมาย แล้วก็ทำด้วย ทั้งคิดทั้งทำ เกิดมากิน มานอน มาพูด มาคิด มาทำ แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่มีความเข้าใจถูก ความเห็นถูกคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอกุศลในขณะนั้น จนกระทั่งสามารถค่อยๆ เพิ่มความมั่นคงของปัญญา แล้วรู้ว่า ปัญญาที่มีกำลังก็จะเห็นโทษของอกุศล แล้วก็เพียงชั่วหนึ่งขณะก็ประมาทไม่ได้ เคยโกรธใคร เคยไม่พอใจหรือไม่ชอบใคร ขณะนั้นถ้ารู้ว่าไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่เป็นธรรมที่เป็นอกุศลเกิดแล้ว แล้วก็สะสมมากขึ้นด้วย ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ขณะนั้นมีความเป็นมิตร ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็คุ้มครองแล้ว เฉพาะขณะนั้น แล้วยังต่อไปอีกในแสนโกฏิกัปป์ด้วย

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นประโยชน์ของการสละอกุศล ไม่ว่าประเภทใดๆ ก็ตามทั้งสิ้น ด้วยการเข้าใจธรรม


    หมายเลข 9278
    19 ก.พ. 2567