จิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์


    ส.   เรื่องของโลกุตตรจิต ให้ทราบว่า มีทั้งหมด ๘ ดวง  ตายตัว คือว่านอกจากโสดาปัตติมรรคจิต โสดาปัตติผลจิต สกทาคามิมรรคจิต สกทาคามิผลจิต อนาคามิมรรคจิต อนาคามิผลจิต อรหัตมรรค อรหัตผลจิตแล้ว  จิตอื่นแม้มีนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ชื่อว่า โลกุตตรจิต อย่างนี้ก็ชักจะงงอีก เพราะเหตุว่าที่แรกก็คิดว่า เฉพาะโลกุตตรจิตเท่านั้นที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียดจะทราบว่า กามาวจรจิต คือ มหากุศลญาณสัมปยุตต์สามารถที่จะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ เช่น โคตรภูจิต ซึ่งเกิดก่อนมรรคจิต ในวิถีที่มรรคจิตจะเกิด คือการที่โสดาปัตติมรรคจิตจะเกิดก็ดี หรือว่าฌานจิตจะเกิดก็ดี จิตเหล่านี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมีปัจจัย อย่างเสียงกระทบหู แล้วจิตได้ยินก็เกิด หรือว่ากลิ่นกระทบจมูกแล้วจิตได้กลิ่นก็เกิด ไม่ใช่อย่างนั้น จะต้องมีการอบรมเจริญด้วยปัญญาเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ แล้วไม่ใช่ว่าเล็กน้อยเลย ถ้าเป็นฝ่ายสมถะ ความสงบ ชื่อว่า มหัคคตะ มีผลไพบูลย์ เพราะว่ากว่าจิตจะค่อยๆสงบ จนกระทั่ง สามารถที่จะดับหรือกั้นระงับนิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นสมถภาวนา ก็ต้องเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะประกอบด้วยปัญญาจริงๆ กว่าจิตจะสงบจนกระทั่งถึงอุปจารสมาธิ อัปนาสมาธิ เป็นฌานจิตขั้นต่างๆ

    เพราะฉะนั้นฌานวิถีก็ดี มรรควิถีก็ดี ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆก็มีฌานจิตเกิด หรือว่าโลกุตตรจิตเกิด จะต้องมีกามาวจรกุศลซึ่งเป็นญาณสัมปยุตต์เกิดก่อนตามลำดับ ซึ่งเราจะยังไม่กล่าวถึง แต่ให้ทราบว่า จิตเหล่านี้เกิดตามลำพังไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก่อนที่โสดาปัตติมรรคจิตจะเกิด จิตที่เกิดก่อนเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ชื่อว่า “โคตรภู” แต่แม้กระนั้นก็ไม่ใช่มรรคจิต ไม่ใช่ผลจิต ไม่ใช่โลกุตตรจิต เพราะเหตุว่ายังไม่ได้กระทำกิจดับกิเลส เพียงแต่ว่ามีนิพพานเป็นอารมณ์ เหมือนคำอุปมาที่ว่าคนที่จะไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน  แต่ว่าเห็นพระองค์อยู่ไกลๆ ยังไม่มีโอกาสที่จะเข้าใกล้ หรือปราศรัย หรือได้สนทนากันเลย เพียงแต่เห็น ฉันใด โคตรภูก็ฉันนั้น จึงไม่สามารถที่จะกระทำกิจดับกิเลสได้ แต่เวลาที่โคตรภูจิตดับไปแล้ว มรรคจิตเกิด ขณะนั้นเองเป็นขณะที่ประจักษ์แจ้งในสภาพของนิพพานโดยดับกิเลส

    เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่า “ประจักษ์แจ้งนิพพานโดยดับกิเลส” ซึ่งเป็นกิจของมรรคจิต การที่จิตทุกขณะเกิดขึ้นก็ทำกิจแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ตามสภาพของจิตนั้น สำหรับกุศลจิตทั้งหมดก็ทำชวนกิจ แม้แต่โลกุตตรจิต คือ มรรคจิตก็ทำชวนกิจ แต่ไม่ได้ทำชวนกิจอย่างกุศลอื่นๆ แต่ทำกิจดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพราะทุกคนจะทราบว่า กว่า จะถึงการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ต้องเห็นโลภะ เพราะเหตุว่าอริยสัจมี ๔ ทุกขอริยสัจจะ ทุกขสมุทยอริยสัจจะ ถ้าไม่เห็นโลภะ แล้วจะดับโลภะไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นต้องเห็นโลภะอย่างละเอียดจริงๆ กว่าจะไปถึงการหน่ายในสังขารทั้งหลาย แล้วก็มีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ เพราะเหตุว่าตราบใดที่แม้ประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วดับไปของนามธรรมและรูปธรรม เป็นวิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ  แต่ถ้าขณะใดที่ยังไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ดับกิเลสไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

    ถาม   ขออภัย ขอประทานโทษ ผมคิดว่าทุกคนก็อยากจะทราบเหมือนกันว่า คำว่านิพพานเป็นอารมณ์นั้น จริงๆแล้วมันเป็นอะไร

    ส.   ปรมัตธรรมมี ๔ จิตมีไหมคะ มี เพราะเป็นปรมัตธรรมหนึ่ง เจตสิกมีไหมคะ มี  เพราะเป็นปรมัตธรรมหนึ่ง รูปมีไหมคะ มี เพราะเป็นปรมัตธรรมหนึ่ง นิพพานมี เพราะว่าเป็นปรมัตธรรม ที่กล่าวถึงแล้วก็มีกามาวจรกุศลซึ่งเกิดก่อน แต่ยังไม่ใช่โลกุตตรจิต เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ทำกิจดับกิเลส มรรคจิตเกิดขึ้นทำกิจดับกิเลสใด กิเลสนั้นดับเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่แจ้งในลักษณะของนิพพานดับกิเลสยังไม่ได้ แม้ว่าจะมีนามรูปซึ่งกำลังเกิดดับเป็นอารมณ์ก็ตาม เยื่อใยของความผูกพัน ความเป็นตัวตน เหนียวแน่นจริงๆ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิด แม้ว่าจะดับก็ยังเกิดอีก

    เพราะฉะนั้นให้เห็นความพอใจความติดข้องในสภาพธรรมที่เกิดว่า ไม่มีใครพ้นไปจากความที่จะพอใจอยู่ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดแล้วก็ดับไป นอกจากสภาพธรรมที่เป็นนิพพานเท่านั้นซึ่งไม่เกิด นั่นจึงจะเป็นที่ดับของโลภะ ซึ่งจิตที่ประจักษ์แจ้งได้ก็คือ โลกุตตรจิตเท่านั้น ที่จะดับกิเลสได้ด้วย แล้วเมื่อโสดาปัตติมรรคจิตเกิดแล้วดับไป จะไม่เกิดอีกเลย โสดาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะในสังสารวัฏ ดับกิเลสใด กิเลสนั้นไม่เกิดอีก เพราะฉะนั้นเมื่อประจักษ์แจ้งนิพพานอีกครั้งหนึ่งโดยดับกิเลสเป็นสกทามิมรรค สกทามิมรรคก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่เกิดอีกเลย สำหรับผู้ที่เป็นพระสกทาคามี  โสดาปัตติผลก็เกิดอีกไม่ได้ หรือว่าโสดาปัตติมรรคจิตก็เกิดอีกไม่ได้ เพราะเหตุว่าโสดาปัตติมรรคผลเกิดแล้วดับกิเลส แล้วก็หมดเลย หมดหน้าที่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ส่วนโสดาปัตติผลจิต ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฌาน ก็ยังจะมีการน้อมระลึกถึงโสดาปัตติผลจิต และโสดาปัตติผลจิตก็เกิดขึ้นแทนฌานที่มีอารมณ์อื่น แต่หมายความว่าฌานนั้นมีผลจิต คือโสดาปัตติผลจิตเกิดขึ้น มีนิพพานเป็นอารมณ์ ชื่อว่า ผลสมาบัติ หมายความว่าต่างจากฌานสมาบัติ ซึ่งฌานสมาบัติจะมีกรรมฐานหนึ่งกรรมฐานใด อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดของฌานเป็นอารมณ์ แต่สำหรับผลสมาบัติแล้ว จะมีนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วแต่ว่าบุคคลนั้นเป็นบุคคลประเภทไหน ถ้าเป็นพระโสดาบันบุคคล โสดาปัตติผลจิตก็เกิด ตลอดระหว่างที่เป็นผลสมาบัติ  แล้วแต่ว่าจะเป็นระยะเวลานานเท่าไรก็ตามโดยไม่มีภวังคจิตคั่นเลย

    นี่คือความหมายของสมาบัติซึ่งจะต้องถึงขั้นอัปปนาสมาธิ จึงจะถึงกาลที่จะให้จิตนั้นๆเกิดขึ้นโดยไม่มีภวังคจิตเกิดขั้น

    นี่ก็คงจะเข้าใจตลอดจนไปกระทั่งถึงอรหัตมรรคจิต อรหัตผลจิต


    หมายเลข 8989
    13 ก.ย. 2558