ขณะนี้เป็นนามธรรมและรูปธรรม


    ผู้ฟัง สงสัยว่าถ้ามีความเป็นเราเกิดขึ้นมาก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมหมายถึงปัญญาก็ต้องรู้ลักษณะของความที่มีความเป็นตัวตนเกิดขึ้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ปัญญาจะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เจริญตั้งแต่ขั้นฟังเข้าใจ และก็รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วแม้ว่าขณะนี้เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ก็ยังไม่ได้รู้ลักษณะจริงๆ ของจิต เจตสิก รูป แต่ละอย่างเลยทั้งสิ้น หรือแม้แต่เราจะพูดเรื่องโลภะ เราก็พูดได้เป็นความติดข้อง แต่ขณะที่โลภะกำลังติดข้องในสิ่งใดเราไม่ได้กล่าวถึง เพราะว่าสติสัมปชัญญะไม่ได้เกิดในขณะนั้นที่จะรู้ว่าขณะนั้นโลภะติดข้องอะไร ติดข้องรูป หรือติดข้องเสียง หรือติดข้องกลิ่น หรือติดข้องเรื่องราวต่างๆ นี่ก็แสดงว่าเรากล่าวถึงธรรมโดยที่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานไม่ได้เกิดระลึกรู้ในขณะที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดปรากฏ และกว่าจะรู้จริงๆ ประการแรกที่สุดก็คือว่าต้องรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรมเท่านั้น เพราะอะไร เกิดแล้ว ดับแล้ว เร็วมาก แล้วจะไปตามรู้ว่าเมื่อกี้นี้มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วยหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ปัญญาขั้นแรกของวิปัสสนาญาณจึงเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ เป็นการรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งปกติก็เกิดดับเร็วมาก เวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณหรือเมื่อไหร่ก็ตาม ก็ไม่ได้เปลี่ยนลักษณะว่าช้าลง ก็เป็นการเกิดดับนั่นเอง แต่ว่าความรู้ในขั้นต้นก็จะประจักษ์ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ขณะที่เป็นสติเพิ่งเริ่มจะเกิดเป็นสติปัฏฐาน แต่ต้องเป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น แล้วขณะนั้นก็มีสภาพธรรมที่ปรากฏความเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ซึ่งขณะนี้ก็เป็นนามธรรมต่างๆ เป็นรูปธรรมต่างๆ แต่ลักษณะนั้นไม่ได้ปรากฏในความเป็นรูปธรรม ในความเป็นนามธรรมที่ต่างกัน

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 119


    หมายเลข 8772
    27 ม.ค. 2567