ประโยชน์ที่ถึงสันติสุข


    ถ้าธรรมไม่มีประโยชน์ ใครไม่ได้ประโยชน์ เรียนธรรมทำไม นี่ขั้นต้นทั่วๆ ไป เพราะฉะนั้นอกุศลคือไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจธรรม กุศลคือรู้ธรรม ก็ดีกว่าความไม่รู้

    นี่ขั้นแรกเบื้องต้นที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ทีนี้เมื่อรู้แล้ว ก็ได้ประโยชน์จากความรู้ นี่คือขั้นธรรมดา ขั้นต้นทีเดียว ลึกลงไปที่ว่า ธรรมลึกเป็นชั้นๆ เรารู้ว่า ลึกลงไปเรารู้ว่า ประโยชน์ที่ได้มาจากการละ คนส่วนใหญ่จะไม่ถึงจุดนี้ คนส่วนใหญ่พอศึกษาธรรมก็บอกว่ามีประโยชน์แล้วว่า เราก็เข้าใจอะไรขึ้น ยังคงเป็นตัวเรา มันก็มีการได้ประโยชน์ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่เป็นขั้นต้น ถ้าเราระลึกให้ลึกกว่านั้นอีกว่า มาจากไหน มาจากการที่เราละความไม่รู้ เพราะเราตั้งต้นด้วยคำว่า “รู้กับไม่รู้ อะไรดีกว่ากัน” เมื่อทุกคนเห็นด้วยยอมรับว่า รู้ดีกว่า เราทิ้งความคิด และความจริงตั้งแต่ต้นไม่ได้เลย จะตามไปจนกระทั่งถึงหมดกิเลสเลย ในการที่ทุกอย่างสอดคล้องกัน ไม่ใช่ค้านกันเลย

    เพราะฉะนั้นเป็นของธรรมดา ได้ประโยชน์อย่างนั้น ได้ประโยชน์อย่างนี้ เป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล แต่ให้เข้าใจความลึกจากนั้นอีก แล้วมันมาจากไหน ก็มาจากการที่เราละความไม่รู้ ใช่ไหม ก็เตือนให้คนมุ่งไปถึงจุดสุดท้ายสูงสุดที่ว่า ละความไม่รู้ ซึ่งมันมากมาย ตราบใดที่ยังเป็นอกุศลเมื่อไร มีความไม่รู้ตรงนั้น โลภะเกิดเมื่อไร มีความไม่รู้ตรงนั้น โกรธเกิดเมื่อไร ก็มีความไม่รู้ตรงนั้น

    เพราะฉะนั้นอกุศลทั้งหลายมีรากเหง้ามาจากความไม่รู้ และสำหรับพระพุทธเจ้า ความไม่รู้ก็ถึงกับทำให้เกิดกุศลด้วย อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ปฏิจจสมุปปาท สังขารที่นี่ทั้งกุศล และอกุศล เหมือนพื้นดินเป็นที่ปลูกของผลไม้มีพิษ และไม่มีพิษ แต่ก็อยู่บนดินนั้น

    เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้อยู่ บางคนเขาไปเชื่ออย่างอื่น แต่เขาก็ยังมีการให้ทาน มีการละเว้นทุจริต แต่เขาก็มีความไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ทำให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผล

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเราต้องตามลำดับขั้นจริงๆ ถ้าได้ประโยชน์ก็ยังต้องตรองต่อไปอีก แล้วประโยชน์มาจากไหน และในที่สุดพอกุศลมากขึ้น เราก็ยังรู้ว่า ถ้ายังเป็นกุศลอยู่ ก็ยังมีเหตุที่ทำให้เราได้ผล เพราะเมื่อเหตุมี ผลต้องมี แล้วท่านคิดลึกยิ่งไปกว่านั้นอีกกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ทุกอย่างมาจากเห็นใช่ไหม โลภะก็มาจากเห็น โทสะก็มาจากเห็น กุศลก็มาจากเห็น ต้องเห็น และถ้าเกิดมาชีวิตแล้ว มีใครบ้างที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ เพราะทั้งหมดเป็นธรรม แล้วถ้าไม่มีธรรมเสียเลย ไม่เป็นสันติสุข คือสุขอย่างยิ่ง ไม่ต้องมานั่งเดี๋ยวกุศล เดี๋ยวอกุศลชั่วคราวแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะท่านมีปัญญาที่ลึกที่จะไตร่ตรองว่า ตราบใดที่ยังมีการเกิด ตราบนั้นไม่ใช่สุขที่แท้จริง เป็นแต่เพียงสุขชั่วคราว คือความรู้สึกสุข เดี๋ยวความรู้สึกทุกข์ก็เกิดแล้ว เดี๋ยวความรู้สึกเฉยๆ ก็เกิด เพราะว่าตราบใดที่ยังมีปัจจัยที่จะให้โลก โล – กะ ทีนี่ หมายความถึงสิ่งที่เกิดแล้วดับ ตราบใดที่ยังเป็นโลกวนเวียนไป ก็ยังไม่พ้นจากการต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะฉะนั้นทรงแสวงหาทางที่จะดับโลก พ้นจากโลก คือไม่มีการเกิดอีก

    นี่ค่ะ เราต้องเข้าใจธรรมตามลำดับ

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ มี แต่ให้ไตร่ตรองเข้าไปอีก ไตร่ตรองไปอีก จนกระทั่งถึงเมื่อไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น นั่นคือไม่มีอะไรจะทำให้เราเดือดร้อนได้เลย เพราะไม่มีเรา แล้วไม่มีธรรมที่จะต้องมาเห็น ใครอยากเห็นไหมคะ เห็นเกิด แล้วติดข้องในเห็น อยากมาแล้ว ทีนี้ก็แสวงหาแล้ว เดือดร้อนกันไปทั้งวัน ทุกชาติด้วย

    เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ที่สอนจนกระทั่งไม่เหลือกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเราเกิดเพราะกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส ไม่ต้องเกิดเป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ใช้คำว่า “ปรินิพพาน” หมายความว่าดับแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็แสดงว่า ยังมีเชื้อของกิเลสที่ทำให้เกิด แต่ไม่เกิดในอบายภูมิ ไม่เกิดในนรก ไม่เกิดเป็นเปรต ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะเหตุว่าปัญญากว่าจะถึงการรู้ว่า เป็นธรรม สามารถไม่ไปเกิดในทางที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม แค่ให้เราเข้าใจเท่านั้นเอง และพอเข้าใจแล้ว เราก็เข้าใจลึกขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งรู้ว่า ธรรมก็เป็นธรรมแน่ๆ จะเป็นเราไม่ได้เลย เพราะว่าธรรมแต่ละอย่างก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด


    หมายเลข 8678
    19 ก.พ. 2567