ภาระหน้าที่ที่ประเสริฐ


    แต่ละคนนี่ไม่รู้เลยว่า เราจะอยู่ในโลกนี้อีกเท่าไร สิ่งที่เหมือนเป็นของเรา ไม่ใช่ของเราเลยสักอย่าง ตัวทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เพียงจิตไม่เกิดเท่านั้น ไม่มีแล้วที่จะนั่งอย่างนี้ได้ จะทำอะไรได้ ก็เหมือนท่อนไม้ แล้วมีกลิ่นเหม็นเน่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่หรือของเรา แต่ระหว่างที่ยังไม่เห็นความจริงว่า แท้ที่จริงไม่ใช่ของเราทุกขณะเลย เพราะว่าเป็นเพียงธาตุที่อ่อนหรือแข็ง ตาก็เป็นรูปที่กรรมที่ทำให้รูปนี้สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หูก็คือรูปที่กรรมทำให้รูปนี้กระทบกับเสียง แล้วยังไม่ได้ยินเพราะเสียงยังไม่เกิด หรือยังไม่กระทบ แม้เสียงเกิดกระทบแล้วต้องยังไม่ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับไปเลย

    นี่คือหน้าที่หรือภาระของสิ่งที่เกิดว่า จะต้องทำงาน ไม่ใช่เกิดมาเปล่าๆ แต่งานอย่างนี้เป็นงานของความไม่รู้ แต่ภาระหรืองานที่ยิ่งใหญ่ที่มีประโยชน์กับสัตว์โลกทุกชีวิตทุกคนก็คือว่า งานที่จะเข้าใจธรรม เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดค่ะ แก้วแหวนเงินทอง น้ำท่วมเอาออกมาได้ไหมคะ ทุกคนก็ต้องทิ้งบ้าน ทิ้งตั้งหลายอย่าง เปรียบเทียบแล้วสมบัตินั้นเล็กน้อยมาก เพราะเหตุว่าซื้อได้อีกถ้ามีเงิน แต่ความเข้าใจธรรม เงินซื้อไม่ได้ เงินเท่าจักรวาลก็ยังซื้อปัญญา ความเข้าใจธรรมไม่ได้ ต้องสะสม ต้องเกิดขึ้นเพราะเป็นธาตุที่ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร ถ้าใครเห็นประโยชน์อย่างนี้ แม่ที่กำลังฟังธรรม ลูกถูกงูกัด ประโยชน์อยู่ตรงไหน ทุกคนต้องเกิด และตาย ไม่ใช่ลูกจะไม่ตาย และลูกจะไม่เกิดอีก ลูกก็ต้องตาย และเกิดตามกรรมของลูก ทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ แต่ทุกคนลืมว่า ที่สุดแล้วก็คือทุกคนเกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไป แต่ว่าจะจากไปโดยไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่มีการเข้าใจความจริง ก็มืดบอดเหมือนนกที่อยู่ในข่าย ออกจากข่ายไม่ได้เลย แล้วเราก็หลงมากๆ เลย ที่ใช้คำว่า โลภะ โทสะ โมหะ โมหะ คือ ความไม่รู้ความจริง เป็นความหลง เป็นเหตุให้เกิดความติดข้อง เมื่อติดข้องแล้วไม่ได้สิ่งที่เราอยากได้ เราก็เกิดโทสะ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรอยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    เพราะฉะนั้นภาษาไทยใช้คำถูก แต่ไม่ได้เข้าใจความหมาย หลง รัก รักอะไร หลงชอบสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแว๊บเดียว ชั่วคราวแล้วไม่กลับมาอีก ผู้ที่รู้ความจริง รู้อย่างนั้นเลยค่ะ แล้วเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ควรรู้ไหม มีผู้ที่มีความเมตตาอนุเคราะห์บำเพ็ญด้วยความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสที่คนอื่นทำไม่ได้ เพื่อให้เรามีโอกาสได้ยินได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้อบรมปัญญาว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเป็นของเรา เราคิดว่าไม่เป็นของเราตอนเราจากโลกนี้ แต่ผู้ที่ตรัสรู้รู้ว่า ไม่ใช่ของเราเลยสักขณะเดียว เป็นธาตุหรือเป็นธรรมที่หลากหลายมาก ประมาณไม่ได้เลย เพราะมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แต่ก็มีปัจจัยทำให้สภาพธรรมไม่หยุดที่จะเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นก็เป็นเพียงการทำงานของธาตุ ซึ่งอวิชชาทำ หรือโลภะทำ หรือว่าโทสะทำ หรือว่าปัญญาทำ เพราะทุกอย่างที่เกิดสะสมอยู่ในจิตซึ่งไม่มีใครมองเห็นเลย เป็นเหตุให้ทุกคนมีอัธยาศัยต่างๆ กัน

    เพราะฉะนั้นภาระหน้าที่ที่ประเสริฐ คือ การเข้าใจธรรม ถ้าใครมีศรัทธาศึกษาธรรม ส่งเสริมให้เขาไปถึงที่สุด คือ การเข้าใจที่สุดที่จะเป็นไปได้สำหรับแต่ละบุคคล เพราะไม่รู้ข้างหน้าเลยว่า วันไหนจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมอีก ไม่ง่าย และเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาส ก็ไม่ได้สะสมมาที่จะฟัง ก็มีเยอะ สะสมมานิดๆ หน่อยๆ ก็ฟังนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เห็นประโยชน์มหาศาล ที่เราเคารพนับถืออย่างสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นความเป็นคนตรง เคารพใคร ต้องเคารพในคุณความดีสูงสุด ท่านต้องมีสิ่งที่ให้เรายิ่งกว่าคนอื่นให้ คือ ให้ความรู้หรือให้ปัญญา ซึ่งไม่สามารถคิดเองหรือทำอย่างไรๆ ก็ไม่มีทางที่จะได้ปัญญา เพราะเราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสาวก คือ ผู้ฟัง

    เพราะฉะนั้นเราก็รู้ฐานะของกำลังปัญญาของเราตามความเป็นจริง ฟังธรรม เข้าใจธรรมที่ฟัง ฟังน้อยก็เข้าใจเพียงเท่านั้น แต่มีโอกาสจะเข้าใจมากกว่านั้นอีก ถ้าฟังอีก ไตร่ตรองอีก แล้วเมื่อมีวาจาสัจจะ พระพุทธเจ้าตรัสคำจริงทุกคำนำไปสู่ญาณสัจจะ ปัญญาของคนที่ฟังแล้วเข้าใจ นำไปสู่มรรคสัจจะ หนทางที่จะดับกิเลส เพราะว่าไม่มีใครชอบกิเลสเลย ว่าแต่กิเลสกันทั้งนั้น ใส่ชื่อเข้าไป ความจริงก็เป็นกิเลส แต่จะให้รู้ว่า กิเลสไหนมากน้อยแค่ไหน ก็มีชื่อไว้ว่า คนนั้นชื่ออย่างนี้มีกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความจริงก็คือไม่มีใครชอบกิเลส

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีใครชอบ แล้วเราจะเป็นผู้มีกิเลสเยอะๆ อย่างนั้นหรือ เพราะวันหนึ่งต้องกิเลสมากแน่ เพราะกำลังสะสมอย่างไม่รู้ตัวด้วย

    เพราะฉะนั้นพระอภิธรรมแสดงเพื่ออะไร เพื่อให้รู้ความละเอียดยิ่งว่า จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้น เกิดดับสืบต่อเร็วแค่ไหน เพียงคร่าวๆ จิตเห็นกับจิตได้ยินเหมือนพร้อมกัน ได้ยินด้วย ก็ยังเห็นด้วย เหมือนพร้อมกัน แต่ความจริง คือ พร้อมไม่ได้เลย ที่เกิด และเหตุให้เกิดก็ยังต่างกัน ตาก็อยู่ตรงนี้ หูก็อยู่ตรงนั้น มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ และจะมาพร้อมกันได้อย่างไร จะห้ามไม่ให้เกิดอย่างรวดเร็วอย่างนี้ จนดูเสมือนว่าพร้อมกันก็ไม่ได้ แต่ความจริงเมื่อไม่พร้อมก็ต้องค่อยๆ เข้าใจว่า ก่อนเห็น ก่อนได้ยิน มีเห็น มีได้ยินไหม

    นี่คือความละเอียดของธรรมที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมจริงๆ แล้วถ้าใครมีโอกาสจะได้ฟัง อนุโมทนา ตราบใดที่ยังไม่มีเหตุจะทำให้เขาต้องไม่ได้ฟัง


    หมายเลข 8685
    19 ก.พ. 2567