ความวิจิตรของความคิด


    ในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคำที่จารึกพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ๔๕ พรรษา จะไม่กล่าวถึงอย่างอื่นเลย นอกจากสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ใครจะไม่ให้จิตเกิด รู้หรือเห็นก็ไม่ได้ เห็นแล้วจะไม่ให้คิด ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่มีใครไปบังคับบัญชาเลย และความคิดของแต่ละคนก็หลากหลายมาก ขณะนี้เดี๋ยวนี้คิดเหมือนกันหรือเปล่า ไม่เหมือนกันเลย ตามการสะสม แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็แล้วแต่จะคิดตามการสะสม

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า จริงๆ แล้วพระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย เรื่องสิ่งที่มีจริง เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน แต่เพราะไม่รู้จึงยึดถือในสิ่งนั้นอย่างมั่นคงว่า เป็นเรา เป็นเขา หรือเป็นของเรา หรือเป็นเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเพียงไม่คิด หลับสนิท มีเรื่องอะไรไหมคะ หลับสนิท รู้ไหมคะว่า น้ำท่วม ไม่รู้ แต่พอตื่น ได้ยินแล้ว เรื่องราวต่างๆ รู้จักคำว่า “น้ำ” หมายความถึงอะไร “ท่วม” หมายความถึงอะไร ก็คิดนึกเพราะจำคำ ซึ่งเกิดจากเสียงต่างๆ ถ้าเสียงเดียว จะเป็นคำไหมคะ จะรู้อะไรได้ไหม ไม่ได้ แต่แม้แต่เสียงก็ไม่เหมือนกัน เสียงหนึ่งเกิดแล้วก็ดับ เสียงที่ไม่ใช่เสียงเก่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็สืบต่อหลากหลาย จนกระทั่งจำไว้เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ

    นี่คือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ และความสุข ความทุกข์มาจากไหน ถ้าไม่มีการเห็น จะสุขทุกข์เพราะเห็นได้ไหมคะ มีใครชอบดอกกุหลาบบ้างไหมคะ ตามความเป็นจริงค่ะ ชอบกันเกือบจะทุกคน ถ้าไม่เห็น จะชอบไหมคะ ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะชอบไม่ได้เลย แต่พอเห็น จะให้ไม่ชอบได้ไหม

    นี่คือธรรม และไม่ใช่แต่ดอกกุหลาบ มีอื่นอีกตั้งเยอะแยะ ชอบไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ สีสันวัณณะต่างๆ วิจิตรมากขึ้นทุกวัน ตามความพอใจ วันนี้ชอบอย่างนี้ พรุ่งนี้เปลี่ยนแล้ว ได้ไหมคะ แม้แต่เป็นดอกไม้ การจัดดอกไม้ก็ยังไม่เหมือนกัน ตามความพอใจ

    เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเป็นธรรม ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ของใคร ใครก็ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้เลย และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย แล้ววันหนึ่งก็ต้องจากไปแน่ๆ จำไม่ได้ด้วยว่า มีอะไรเกิดบ้างในชีวิต

    เราเกิดมาต่างกัน เพราะว่าชาติก่อนๆ ๆ ๆ ๆ ก็เหมือนชาตินี้แหละ เพราะว่ามีธาตุที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น รู้มาตลอด นานแสนนานมาแล้วแต่ละภพแต่ละชาติ จนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อวานนี้กับวันนี้เหมือนกันหรือต่างกัน เห็น คิด เมื่อวานนี้ เป็นปัจจัยทำให้วันนี้เห็นแล้วก็คิดต่อจากการที่จำไว้ จากการเห็นเมื่อวานนี้ แม้แต่การฟังธรรม ได้ยินได้ฟังเมื่อวานนี้ พอเข้าใจอะไรบ้าง วันนี้ก็ได้ยินซ้ำอีก แต่ความเข้าใจเมื่อวานนี้ก็สามารถทำให้ความเข้าใจวันนี้เพิ่มขึ้นอีก

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปก็จริง แต่เป็นปัจจัยให้มีการสืบต่อของทุกสิ่งทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นคนที่มีอกุศลประเภทไหนเกิด อกุศลประเภทนั้นมีมาก อัธยาศัยของบุคคลนั้นก็เป็นคนที่ชอบ พอใจในอกุศลประเภทนั้น ถ้าถามกันเล่นๆ ดอกกุหลาบสีเหลืองกับสีม่วง ชอบดอกกุหลาบสีไหน เห็นไหมคะ แค่นี้ บังคับได้ไหม หรือว่าเป็นไปตามการสะสม ที่จะมีความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อยในสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป โดยไม่รู้ความจริงเลยว่า ทุกขณะที่เป็นสภาพธรรมที่ดีหรือไม่ดี ที่เกิดแล้ว สะสมอยู่ในจิต ไม่สามารถไปอยู่ที่อื่นได้เลย เมื่อเกิดกับจิต อยู่ที่จิต แม้สภาพธรรมนั้นดับไปแล้ว ก็ยังสะสมการที่เคยเป็นอย่างนั้นซ้ำ แล้วก็สะสมต่อไปอีกมากมาย

    ด้วยเหตุนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรศึกษา ควรเข้าใจอย่างยิ่ง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป


    หมายเลข 8695
    19 ก.พ. 2567