ชีวิตชั่วคราว


    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นเอาอนัตตาก่อน เมื่อเข้าใจว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และสิ่งที่เกิดแล้วดับก็เป็นอนิจจัง เกิดแล้วไม่เที่ยง อนิจจัง ภาษาบาลีแปลว่าไม่เที่ยง นิจจัง แปลว่าเที่ยง พอมี “อ” ก็แปลว่า ไม่ เหมือนกับ “วิชชา” แปลว่า รู้ อวิชชา ก็คือไม่รู้

    เพราะฉะนั้นนิจจัง แปลว่าเที่ยง อนิจจัง แปลว่าไม่เที่ยง เที่ยง ที่นี่ หมายความถึงไม่เกิดไม่ดับ เพราะฉะนั้นอนิจจังหมายความว่าสิ่งนั้นต้องเกิดดับ การเกิดดับนี่น่าพอใจไหมคะ น่าเพลิดเพลินไหมคะ ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับ ได้ยินแต่คำว่า “เกิดดับ” แต่เวลานี้เราชอบสิ่งสวยๆ แน่นอนทุกคน เพราะไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่เราว่าสวย ปรากฏเมื่อกระทบตาแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่มันต่อจนกระทั่งว่า เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าประจักษ์ความจริงเมื่อไรว่า เราไปติดข้องในสิ่งซึ่งเกิดมาให้ติด แล้วก็ไปไหนก็ไม่รู้ ไม่เหลือเลย แล้วยังไปหลงติดข้องอยู่ วิชชา หรือ อวิชชา

    ผู้ฟัง อวิชชา

    ท่านอาจารย์ กว่าจะถึงวิชชาได้จริงๆ จนหมดกิเลส ต้องรู้ว่า กิเลสมากมายมหาศาลแค่ไหน ลึกเหนียวแน่นแค่ไหน และถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจ ไม่มีทางจะดับกิเลสเลย คนไม่รู้ก็ไปนั่งปฏิบัติ ทำอะไรต่ออะไร หวังว่าจะรู้ แล้วจะหมดกิเลส แต่ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ไม่ใช่ปัญญาเลย ไปเข้าใจอะไรที่ไม่ปรากฏ แล้วสิ่งที่ปรากฏไม่เข้าใจ แล้วจะบอกว่ามีปัญญาได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่ตรงอย่างยิ่งจึงจะได้สาระจากพระธรรม แล้วสามารถเข้าใจธรรม และอบรมเจริญปัญญา ซึ่งขณะนี้มีน้อยมาก เพราะว่ายากเลยไม่สนใจ ไม่อยากจะเรียน ไม่อยากจะรู้ ยอมจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้ ไปอย่างโง่ๆ เกิดมาอย่างโง่ๆ แล้วก็ไปอย่างโง่ๆ แล้วก็เต็มใจไปอย่างโง่ๆ ด้วย เพราะไม่รู้ อวิชชาครอบคลุมหมดทุกอย่าง นอกจากอวิชชาสิ่งที่ตามมาไปคู่กันก็คือ ความติดข้อง เพราะไม่รู้จึงติดข้อง ชอบอะไรที่สวยๆ ไม่รู้ว่า ความจริงแค่ปรากฏให้เห็น ยังคงยึดถือว่ายังมีอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่มี สิ่งนั้นจะจากเราไป ถูกคนเขาขโมยไปก็ได้ หรือเราจะจากสิ่งนั้นไป คือเราจะตายจากสิ่งนั้น ไม่เป็นเจ้าของสิ่งนั้นอีกต่อไปก็ได้

    เพราะฉะนั้นชีวิตชั่วคราวมาก แต่ก็เร็วจนกระทั่งเราคิดว่ามันนาน แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อ จึงมีความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ สิ่งเดียวที่จะติดข้องไม่ได้ คือ นิพพาน แต่ไม่มีทางไปรู้จักนิพพานได้เลย ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นต้องอบรมเจริญปัญญา อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะรู้แจ้งนิพพาน ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วเราวันนี้จะไปมีปัญญาถึงระดับนั้นก็ไม่ได้ แต่เข้าใจเพื่อเวลานี้ละความไม่รู้นิดหนึ่ง เข้าใจเมื่อไรก็เอาความไม่รู้ออกไปหน่อยหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นความรู้ของเราจะเพิ่มขึ้นเมื่อฟังแล้วเข้าใจ และจะจากโลกนี้ไปอย่างเข้าใจขึ้น ดีกว่าไม่เข้าใจเลย ถ้าพบพระพุทธเจ้าแล้วเราไม่เข้าใจมาก่อน ไม่มีทางฟังธรรมรู้เรื่องเลย แต่เพราะได้ฟังธรรมมาบ่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจขึ้น พอมีโอกาสสำหรับใครก็ตามแต่ ได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมก็สามารถเข้าใจได้

    พระพุทธเจ้าพระองค์นี้หลังจากที่ได้ฟังคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ผ่าน คือ ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ เพราะฉะนั้นของเราก็ไม่รู้ว่า มากน้อยแค่ไหนแล้ว เครื่องพิสูจน์คือฟังธรรมเข้าใจเร็วหรือช้า ถ้าเข้าใจได้เร็วก็คือสะสมมา


    หมายเลข 8654
    19 ก.พ. 2567